แมลงกัด อาจอันตรายกว่าที่คิด! แมลงตัวร้ายที่เป็นภัยสุขภาพ!!!

สำหรับอาการจากพิษของแมลงก้นกระดกนั้น สถาบันโรคผิวหนังระบุไว้ว่า แมลงชนิดนี้ไม่ได้กัด หรือถ้ากัดก็ไม่ได้เป็นอะไร เพราะพิษจะอยู่ในช่องท้องของแมลง เรียกว่า พีเดอริน (Paederin) โดยสารชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ซึ่งถ้าไม่บี้ หรือตบ จนทำให้ท้องของแมลงแตกก็จะไม่เป็นอะไร แต่หากทำโดยที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจนท้องแตก สารชนิดนี้หลุดออกมาก็จะทำให้เกิดอันตรายกับผิวหนังได้ และหากโดนร่างกายจะทำให้ผิวหนังไหม้ แดง โดยในระยะแรกที่โดนจะยังไม่มีอาการ แต่พอหลายชั่วโมงผ่านไปจึงจะเริ่มเห็นเป็นรอยแดงเกิดขึ้น หรือรอยแผลอักเสบ หลังจากนั้นอีก 1-2 วัน จึงจะมีตุ่มน้ำใส่ขึ้นมาเป็นหนองเล็กๆ

ภาพจาก: สถาบันโรคผิวหนัง

ส่วนลักษณะของแผลที่ถูกพิษของแมลงก้นกระดกนั้น แผลจะมีลักษณะเป็นทางยาวเหมือนโดนป้าย ซึ่งอาจทำให้สับสนว่า คล้ายกับงูสวัด ซึ่งจะมีลักษณะเป็นแนวเหมือนกันแต่เป็นแนวตามเส้นประสาทในร่างกาย ขณะที่ พิษของแมลงก้นกระดก แผลจะเป็นตามรอยมือที่ป้ายไป จะไม่ตรงตามแนวเส้นประสาท แต่ถ้าถามว่าปวดแสบปวดร้อนเหมือนกันหรือไม่ ตอบได้ว่าคล้ายกัน มีตุ่มหนองคล้ายกัน เพียงแต่จะแตกต่างตามประวัติการสัมผัส และแนวของผื่น

ทีนี้เราลองไปดูการป้องกันและการรักษากรณีถูกพิษของแมลงก้นกระดกกันดีกว่าค่ะ

1.ถ้ามีแมลงมาเกาะ ห้ามบี้ หรือ ตบ จนอาจทำให้ท้องของแมลงแตก แต่ให้ใช้สก๊อตเทปแปะออกจากผิวหนัง เป่าออกไป หรือใช้กระดาษเขี่ยออก โดยไม่ให้ท้องของแมลงก้นกระดกแตก

2.กรณีที่โดนพิษให้รีบล้างน้ำในลักษณะเปิดน้ำให้ไหลผ่านแผล เพื่อชะล้างสารพิษออกให้ได้มากที่สุด

3.จากนั้นใช้สบู่ทั่วไปที่ใช้ มาถูบางๆ และล้างออก เนื่องจากสบู่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะทำปฏิกิริยากับพิษที่เป็นกรด เพื่อกำจัดสารพิษให้ออกจากร่างกายให้ได้มากที่สุด

4.ช่วงแรกที่เกิดจะแสบๆ ร้อนๆ แต่เมื่อผ่านไป 4-6 ชม. เริ่มจะเห็นผื่นแดงขึ้น โดยใช้สเตียรอยด์อ่อนๆ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปมาทาที่แผล เพื่อลดปฏิกิริยาการอักเสบ หลังจากนั้นให้คอยสังเกตแผลว่ามีอาการดีขึ้นหรือไม่

5.หากอาการยังไม่ดีขึ้น และอีก 2-3 วันมีตุ่มน้ำใสๆ หรือตุ่มหนองขึ้นที่แผล ให้ไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจจะรุนแรงมากเกินไปจากการติดเชื้อซ้ำเติม เพราะเกาแผลหรือมีแผลเปิดทำให้มีแบคทีเรียเข้าไปจนทำให้เกิดตุ่มหนอง ดังนั้น จึงต้องพบแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะ

6.การรักษาผลข้างเคียงจากแผลที่ถูกพิษของแมลงก้นกระดกนั้น จะมีลักษณะเป็นสีดำอยู่นานพอสมควร โดยทั่วไปประมาณ 2-6 เดือน แล้วแต่ว่าโดนพิษมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่น่าเกลียดมากก็รอจนกว่าผิวหนังจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่หากอยู่บริเวณที่สังเกตเห็นได้ง่าย สามารถมาพบแพทย์เพื่อช่วยรักษาได้

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ บริเวณรอบดวงตา ให้คนไข้รับมาพบแพทย์เพื่อรักษาในทันที

อย่างไรก็ตาม เมื่อใครโดนแมลงกัดแล้วมีอาการรุนแรงมักจะโทษว่าเป็นเจ้าแมลงก้นกระดกเสมอ แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีแมลงหรือปรสิตที่น่ากลัวแบบเดียวกัน

ล่าสุดเราได้ไปอ่านเจอข่าวที่วัยรุ่นออสเตรเลียออกไปพายเรือเล่น แล้วเผลอเอาเท้าจุ่มลงไปในน้ำ จากนั้นเขาก็ถูกรุมกัดจากแมลงกินเนื้อ หรือ Flesh-eating bug กัดผิวหนัง และทำให้เขาเลือดออกปริมาณมากหลังจากนั้นเขาก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล จากนั้นพ่อของเขาก็กลับไปที่แม่น้ำแห่งนั้นอีกครั้ง พร้อมถ่ายภาพแมลงที่กัดลูกชายเอาไปให้นักวิจัยทำการพิสูจน์ดูก็พบว่า แมบงที่กัดกินเนื้อลูกชสยของเขา คือ “เหาทะเล” ปรสิตที่อยูในน้ำเค็มซึ่งจะกินเนื้อ ผิวหนัง และเลือดของปลา และหากมนุษย์เจอเจ้าพวกนี้ก็ไม่รอดจากการถูกกัดกินเช่นกัน

ภาพจาก: iflscience

แต่ยังไม่มีการระบุหรือมีผลวิจัยออกมาแน่ชัดว่าในประเทศไทยมีใครเคยเจอพิษของเจ้าปรสิตเหาทะเลแบบหนุ่มออาเตรเลียมาบ้าง ก็เลยทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่า ทะเลในไทยมีอันตรายแฝงอยู่หรือเปล่า แต่หากใครไปเล่นน้ำทะเลแล้วเกิดเป็นแผลแบบไม่รู้สาเหตุ เลือดออกมากผิดปกติ ไม่แน่ว่าอาจโดนเข้าแล้วก็เป็นได้ ทางที่ดี หากเป็นอะไรขึ้นมาก็รีบไปพบแพทย์ให้ทันเวลา น่าจะดีที่สุดค่ะ

ด้วยความรัก ความห่วงใย และปรารถนาดีต่อผู้อ่านทุกท่านนะคะ!

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

สารอาหารสำคัญ ช่วย รักษาแผล หายไวใน 4 ขั้นตอน

10 เมืองน่าอยู่ เพื่อสุขภาพสุขภาพแข็งแรง

“ปล่อยเนื้อปล่อยตัว” สัญญาณหนึ่งของ โรคสมองเสื่อม + ความแก่ชรา

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.