วันที่เก้า
เช้านี้ฝนตกหนักมากเลย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรำกระบองให้ได้ เลยย้ายตัวเองมารำกระบองในห้องแทน แต่ทำได้ไม่คล่องเท่าไร แค่พอเหงื่อซึม (บางครั้งสถานที่ก็มีผลเหมือนกัน แต่ไม่เกินความตั้งใจของเราหรอก)
และหลังจากรำกระบองเสร็จจึงต่อด้วยการทำดีท็อกซ์ รู้สึกว่าวันนี้จะกลั้นได้ถึง 10 นาที ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการดึงท็อกซินที่จะออกมาได้มากทีเดียว
ส่วนอาหารมื้อเช้ากินข้าวกล้องกับผัดคะน้าปลาเค็ม จากนั้นตอนสายๆ ดื่มน้ำเอนไซม์แครอท 1 แก้ว มื้อกลางวัน อะแฮ่ม! ยำเห็ดรวมของโปรด และตบท้ายมื้อเย็นด้วยส้มตำไทย (รสอ่อนๆ)
วันนี้เสียค่าใช้จ่ายประมาณร้อยกว่าบาท
วันที่สิบ
วันนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องไปทำงาน หลังจากปฏิบัติภารกิจสุขภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงเกิดแรงฮึดอยากจัดห้องใหม่ รื้อโน่นรื้อนี่ออกมากองเกลื่อน (แม่ยังแซวว่า ทำสูตร 14 วัน จะมีแรงทำเหรอ เดี๋ยวก็เป็นลมหรอก)
ใครว่าคะแม่ ตอนนี้สดชื่นเป็นพิเศษ เดินเหินคล่องแคล่ว ว่าแล้วจึงจับโน่นจัดนี่ แต่ปรากฏว่าเพราะความสะเพร่าอีกเช่นกัน ยกของผิดท่า รู้ได้ทันทีว่าเจ็บแปลบตรงหัวไหล่ เพราะเคยบาดเจ็บมาแล้วจนต้องไปโรงพยาบาลและกินยาคลายกล้ามเนื้อ
รวมถึงกังวลว่าพรุ่งนี้จะรำกระบองไหวไหม
วันนี้ไม่ต้องทำอาหารเอง แม่ทำอาหารแสนอร่อยให้กิน คือก๋วยเตี๋ยวปลา ส่วนตอนเย็นก็กินน้ำพริกปลาทู
ถือว่าวันนี้ไม่ต้องเสียเงินสักบาท
วันที่สิบเอ็ด
ภารกิจสุขภาพวันนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อย รำกระบองที่กังวลว่าจะรำไม่ได้เพราะเจ็บไหล่ก็ทำได้ และรู้สึกได้เลยว่ากล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เพราะไม่มีอาการเจ็บปวดเหมือนครั้งก่อน ต้องขอยกความดีให้กับการรำกระบอง
และ ณ ตอนนี้ไม่ได้มีความเขินอายต่อสายตาเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องอีกแล้ว ที่สำคัญคือ ทำท่าไหว้พระอาทิตย์ได้ดีขึ้นจากที่โค้งกระบองไปได้ไม่กี่องศาก็โค้งไปได้ไกลขึ้น และเพิ่มจำนวนครั้งในการทำจากครั้งแรก 30 ครั้งเป็น 40 ครั้งได้อย่างสบายๆ
นี่คือความภูมิใจที่รู้ว่าร่างกายเราก็สามารถยืดหยุ่นได้ และเช่นเคย การกินอาหารของเราก็ไม่ได้ยากลำบากเหมือนช่วงวันแรกๆ ที่กังวล มื้อเช้า กลางวัน เย็น เราก็หุงข้าวกล้อง และอร่อยกับน้ำพริกปลาทู (น้ำพริกกะปิฝีมือแม่เช่นเคย) กินกับผัก แค่นี้ก็อิ่มอร่อยและสดชื่นเป็นก่ายกอง
วันนี้เรียกว่าแทบไม่ต้องเสียเงินสักบาท
