พระอนุรุทธะ
พระอนุรุทธะ หรือ พระอนุรุทธเถรศากยะ เป็นพระภิกษุสาวกเอตทัคคะของพระพุทธเจ้า นับเนื่องในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์สำคัญในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล พระอนุรุทธะ เป็นพระประยูรญาติของพระพุทธเจ้า โดยท่านเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ พระอนุรุทธะออกผนวชพร้อมกับเจ้าราชกุมารอีก 5 พระองค์ และนายอุบาลีภูษามาลา ณ อนุปิยนิคม เมื่อท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านมักตรวจดูสัตวโลกด้วยทิพยจักษุอยุ่เสมอ พระพุทธเจ้าจึงยกย่องท่านให้เป็นพระเอตทัคคะผู้เลิศทางทิพยจักษุยาณ (ตาทิพย์) พระอนุรุทธเถระ เป็นพระประยูรญาติของพระพุทธเจ้า โดยท่านเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายอนุรุทธะมีพระภาดาพระภคินีร่วมมารดาเดียวกันอีก 2 พระองค์คือ พระเชษฐาพระนามว่ามหานามะ และพระกนิษฐภคินีพระนามว่าโรหิณี เจ้าชายอนุรุทธกุมาร เมื่อยังเป็นฆราวาส ดำรงพระสถานะเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ผู้สุขุมาลชาติ มีปราสาท 3 หลัง แม้แต่คำว่าไม่มีก็ไม่เคยรู้จัก เมื่อเหล่าศากยราชกุมารพระองค์อื่นออกผนวชติดตามพระพุทธเจ้า เจ้ามหานามะผู้เป็นพระเชษฐาจึงปรารภเรื่องออกบวชกับท่านอนรุทธะว่าควรตัดสินใจเลือกคนในตระกูลสักคนออกบวชบ้าง แต่ท่านอนุรุทธะปฏิเสธว่าตนคงออกบวชไม่ได้เพราะเคยได้รับความสุขอยุ่ไม่อาจจะบวชอยู่ได้ เจ้ามหานามะจึงรับอาสาบวช โดยได้สั่งสอนการทำนาข้าวโดยละเอียยดตั้งแต่ไถจนถึงเก็บเกี่ยว เวียนไปทุกฤดูกาลทุกปี ๆ ไป แก่ท่านอนุรุทธะ ท่านอนุรุทธะฟังแล้วคิดว่า การงานไม่มีที่สิ้นสุด จึงบอกว่าตนจะอาสาบวชเอง จากนั้นท่านได้ไปขออนุญาตพระมารดา พระมารดาคงไม่ประสงค์ให้ท่านบวชจึงกล่าวท้าทายว่าถ้าหากชวนพระเจ้าแผ่นดินศากยะออกบวชได้ จึงจะอนุญาตให้บวช ท่านจึงไปรบเร้าและชวนพระเจ้าภัททิยะราชาให้ออกบวช ในขั้นแรกพระเจ้าภัททิยราชาปฏิเสธ จนสุดท้ายพระอนุรุทธะรบเร้าหนักเข้าและพระเจ้าภัททิยะราชาคงเห็นคุณแห่งการออกบวชจึงยอมสละราชสมบัติออกผนวชตาม ดังนั้นเจ้าชายอนุรุทธะจึงพร้อมกับเจ้าราชกุมารทั้ง 5 คือ พระเจ้าภัททิยะศากยะราชา, เจ้าชายอานันทะ, เจ้าชายภัคคุ, เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายเทวทัตต์ และนายช่างกัลบกนามว่านายอุบาลีภูษามาลาอีก 1 ท่าน รวมเป็น 7 ออกบวช ณ อนุปิยอัมพวัน ในอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ โดยในวันผนวชนั้น เจ้าชายทั้ง 6 ได้ตกลงกันให้นายอุบาลีผู้เป็นช่างภูษามาลาออกบวชก่อนตน เพื่อจะได้ทำความเคารพเป็นการลดทิฐิและมานะแห่งความเป็นเชื้อสายกาษัตริย์ ของตนลง โดยทั้งหมดได้อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า เมื่อพระอนุรุทธะออกบวชแล้ว ได้ไปเรียนกัมมัฏฐานกับพระสารีบุตร แล้วเข้าไปปฏิบัติพระกรรมฐานในป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ได้ตรึกถึงมหาปุริสวิตก 7 ประการ ว่าเป็นธรรมะของผู้ปรารถนาน้อย ยินดีด้วยสันโดษ ไม่ใช่ธรรมของผู้มักมาก พระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงทรงทราบความนั้นจึงตรัสแสดงมหาปุริสวิตกข้อที่ 8 ว่าเป็นธรรมของผู้ไม่เนิ่นช้า พระอนุรุทธะเจริญสมณธรรมต่อไปก็ได้บรรลุอรหันต์ เมื่อท่านบรรลุสมณธรรมแล้ว ท่านชอบตรวจดูสัตวโลกด้วยทิพยจักษุอยู่เสมอ ยกเว้นแต่เวลาฉันภัตตาหารเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงยกย่องท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้าน ผู้มีทิพยจักษุญาณ ท่านพระอนุรุทธเถระ ก็ได้กระทำบุญญาธิการไว้ ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลาย ก่อสร้างบุญทั้งหลาย อันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพาน ไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ อันสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ พอเจริญวัยแล้ว วันหนึ่งไปวิหารฟังธรรม ในสำนักของพระศาสดา เห็นพระภิกษุรูปหนนึ่ง ที่พระศาสดาทรงแต่งตั้งไว้ ในตำแหน่งเลิศแห่งภิกษุทั้งหลาย ผู้มีจักษุทิพย์ แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงให้มหาทานให้เป็นไป ๗ วัน แด่พระผู้มีพระภาค ซึ่งมีภิกษุบริวารแสนหนึ่ง ในวันที่ ๗ ได้ถวายผ้าชั้นสูงสุด แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ แล้วได้ทำความปรารถนาไว้ ฝ่ายพระศาสดา ก็ได้ทรงเห็นความสำเร็จของเขา โดยไม่มีอันตราย จึงพยากรณ์ว่า จักเป็นผู้เลิศ แห่งผู้มีทิพยจักษุทั้งหลาย ในศาสนาของพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล เขาเองก็กระทำบุญทั้งหลาย ในพระศาสนานั้น เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยประทีปอันโอฬาร ที่สถูปทองขนาด ๗ โยชน์ และประทีปกระเบื้อง กับถาดสำริดเป็นอันมาก ด้วยอธิษฐานว่า จงเป็นอุปนิสัย แก่ทิพยจักษุญาณ เขาทำบุญทั้งหลายอยู่ตลอดชีวิต ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ เมื่อพระศาสดาปรินิพพาน เมื่อสถูปทองขนาด ๑ โยชน์สำเร็จแล้ว จึงเอาถาดสำริดจำนวนมาก มาบรรจุให้เต็มด้วยเนยใส อันใสแจ๋ว และให้วางก้อนน้ำอ้อยงบ ก้อนหนึ่งๆ ไว้ตรงกลาง ให้ขอบปากจรดกัน แล้วให้ตั้งล้อมพระเจดีย์ ให้เอาถาดสำริด ที่ตนถือบรรจุด้วยเนยใส อันใสแจ๋วให้เต็ม จุดไฟพันไส้ แล้ววางไว้บนศีรษะ เดินเวียนพระเจดีย์อยู่ตลอดคืน ได้กระทำกุศล จนตลอดชีวิต แล้วบังเกิดในเทวโลก ดำรงอยู่ในเทวโลกตลอดชั่วอายุ
พระอนุรุทธะ เจ้าชายศากยวงศ์ผู้ไม่เคยปราศจากขนม เพราะบุญจากชาติก่อน
พระอนุรุทธะ เจ้าชายศากยวงศ์ผู้ไม่เคยปราศจากขนม เพราะบุญจากชาติก่อน พระอนุรุทธะ เป็นเจ้าชายพระองค์หนึ่งในศากยวงศ์ เป็นพระญาติผู้ใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า ครั้งเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พระญาติทั้งหลายต่างยกพระโอรสให้บวชเป็นพระภิกษุในสำนักของพระองค์ จนกระทั่งเหลือเจ้าชาย 6 พระองค์ ได้แก่ ภัททิยราชา อนุรุทธะ อานันทะ ภคุ กิมพิละ และ เทวทัต พระญาติทั้งหลายแลเห็นว่าเจ้าชายทั้ง 6 ควรผนวชเป็นพระภิกษุเพื่อติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้า เจ้าชายศากยะทั้ง 6 จึงพากันผนวช แต่พระพุทธเจ้ากลับทรงเลือกบวชให้นายอุบาลีก่อน ซึ่งเป็นภูษามาลา เจ้าชายทั้ง 6 พระองค์ สุดท้ายเจ้าชายทุกพระองค์ต่างบรรลุคุณวิเศษ อย่างพระอนุรุทธะได้สำเร็จดวงทิพย์ ต่อมาได้สดับเรื่อง มหาปุริสวิตักกสูตร จึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ มีหลายเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าพระอนุรุทธะเป็นผู้สะสมบุญมาดีคือ ครั้งก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกผนวช ทรงพนันกีฬาลูกขลุบกับพระญาติทั้งหลายด้วยขนม ปรากฏพระอนุรุทธะแพ้ถึง 3 ครั้ง ทรงต้องเป็นฝ่ายนำขนมมาให้พระญาติทั้งหลายเสวย จนถึงตาที่พระองค์ทรงต้องเสียขนมถาดที่ 4 พระมารดาไม่สามารถทำขนมได้เพราะส่วนผสมหมดจึงส่งคนไปทูลเจ้าชายว่า “ขนมไม่มี” เจ้าชายทรงได้ยินดังนั้นก็ทรงคิดว่าเป็นชื่อขนมชนิดหนึ่งจึงตรัสไปให้นำขนมชื่อนี้มา พระมารดาทรงจำพระทัยส่งถาดว่างไปให้เจ้าชายแทน เทวดาผู้รักษาเมืองทราบว่าในอดีตพระชาติ พระอนุรุทธะเคยถวายภัตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า “อุปริฏฐะ” จึงได้เนรมิตขนมทิพย์ถวายจนเต็มถาด เจ้าชายทอดพระเนตรขนมแล้วไม่พอพระทัย […]
อานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญ เรื่องเล่าสมัยพุทธกาล
เรื่องอานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญ ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 26 ข้อ 44 ได้กล่าวถึงการอนุโมทนาบุญของเพื่อนนางวิสาขาไว้
นางฟ้าถวายผ้าบังสุกุลพระอนุรุทธะ
นางฟ้าถวาย ผ้าบังสุกุล พระอนุรุทธะ ด้วยบุญแต่ชาติปางก่อน ทำให้นางฟ้าชาลินีพบกับพระสวามีของนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นั้นนางจะสมหวังหรือไม่ ติดตามได้ในเรื่อง… นางฟ้าถวาย ผ้าบังสุกุล พระอนุรุทธะ ครั้งพระอนุรุทธะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว พำนักอาศัยปลีกวิเวกในป่านอกเมืองแห่งหนึ่ง ในเขตแคว้นโกศล นางฟ้านางหนึ่งนามว่า “ชาลินี” ผ่านมาในป่านี้ได้พบพระอนุรุทธะก็จดจำได้ว่าพระองค์คือพระสวามีของนางเมื่อในอดีตชาติ นางฟ้าชาลินีพยายามให้พระเถระระลึกถึงชาติก่อนที่เคยเป็นสามีภรรยากัน พระเถระจึงกล่าวว่า “นางเทพธิดาผู้ขลาดเขลา สังขารทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดแล้วย่อมดับไป การระงับสังขารเท่านั้นคือความสุข บัดนี้เรากลับไปอยู่ร่วมกับเจ้าเฉกเช่นแต่ก่อนมิได้ ตัณหาไม่ต่างจากตาข่ายที่ลัดเราไว้ การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี ภพใหม่ก็ย่อมไม่มีอีกแล้วเช่นกัน” นางฟ้าทราบทันทีว่าพระเถระบรรลุอรหันตผลแล้ว คงยากที่จะกล่อมจูงใจให้กลับไปเป็นดั่งวันวาน นางจึงกราบลาแล้วกลับไปยังวิมานของนาง แต่นางก็ยังไม่ตัดขาดจากพระอนุรุทธะอย่างสิ้นเชิง วันหนึ่งพระอนุรุทธะกำลังแสวงหาผ้าบังสุกุลจากเพื่อนำมาย้อมทำเป็นจีวร นางฟ้าชาลินีทราบจึงเนรมิตผ้าทิพย์ขึ้นมา 3 ผืน ตั้งใจจะถวายพระเถระ แต่แกรงว่าพระเถระจะไม่รับ นางจึงนำไปซุกไว้ในกองฝุ่น แล้วจัดชายผ้าให้พ้นออกมาหน่อย เพื่อให้พระเถระสังเกตเห็นว่ามีผ้าอยู่ตรงนี้ พระอนุรุทธะเห็นชายผ้าของผ้าผืนหนึ่งโผล่ออกมา ก็ค้นและปัดฝุ่นออก พบว่าเป็นผ้าผืนดีที่มีคนทิ้งไว้ จากนั้นท่านจึงนำผ้าทิพย์ทั้ง 3 ผืนนี้ไปย้อมสีทำเป็นวีจร หนังสือ พระอนุรุทธะ มหาสาวกผู้เป็นเลิศทางด้านทิพยจักษุ เรียบเรียงโดย น.ชนินาถ Photo by photo-nic.co.uk […]