ทำอย่างไรถึงจะเลิกเป็นคนที่ชอบพูดแก้ตัวได้

ทำอย่างไรถึงจะเลิกเป็น คนที่ชอบพูดแก้ตัว ได้ คนที่มักแก้ตัวเวลาทำงานจะสูญเสียความน่าเชื่อถือจากคนรอบข้าง เรามักได้ยินบ่อย ๆ เวลาหัวหน้าถามว่า “ใบเสนอราคาของบริษัท 000 มาหรือยัง เป็นไงบ้าง” แล้วลูกน้องตอบว่า “ฝ่ายโน้นยังไม่ได้ตอบกลับมาเลยครับ” แต่การตอบแบบนี้เหมือนบอกกลาย ๆ ว่า “ทางโน้นผิด ไม่ใช่ผม” และย่อมถูกหัวหน้าตวาดว่า “งั้นก็รีบไปตามสิ ! ” คำตอบควรเป็น “ขอโทษครับ ผมควรติดตามให้ถี่กว่านี้ เดี๋ยวจะโทร. ถามให้เขารีบส่ง ผมตรวจเอกสารเสร็จแล้วตอนบ่ายจะเข้าไปรายงานอีกทีนะครับ” กล่าวคือ นอกจากขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วยังรายงานวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมด้วย เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะเห็นว่าต้องทำอะไรต่อ หัวหน้าก็ไม่มีเหตุผลให้โกรธอีก คงแค่บอกว่า “งั้นรีบจัดการละกัน” คนที่เอาแต่แก้ตัวไม่ว่าเรื่องอะไร จะตั้งดันมาจากความคิดว่า “ฉันไม่ผิด” “คนอื่นต่างหากที่ผิด” คนแบบนี้จะปกป้องตัวเองว่า “จะให้เรื่องจบโดยไม่ต้องรับผิดชอบได้อย่างไร” หรือ”จะทำอย่างไรให้ตัวเองไม่โดนตำหนิ” เวลาบริษัทหรือนักการเมืองคนไหนทำเรื่องเสื่อมเสียแล้วแก้ตัวเวลาให้สัมภาษณ์นักข่าว สื่อและสังคมจึงมัก “ประโคมข่าว” เรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ คนแบบนี้มักยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางว่า “การขอโทษก็เหมือนพ่ายแพ้ มันน่าเจ็บใจ”  “ถ้าตัวเองต้องถูกตำหนิแล้วไม่ลากคนอื่นมาเอี่ยวด้วยคงไม่หาย” พวกเขาไม่เคยคิดว่า “ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา” หรือ “การแสดงความรับผิดชอบเป็นเรื่องที่พึงกระทำ” ทำไมผู้บริหารบริษัทที่เคยล้มละลาย ถึงฟื้นกิจการขึ้นมาใหม่ได้ […]

วิธีทำให้เจ้านายรักด้วยธรรมะ ท่าน ว. วชิรเมธี

วิธีทำให้เจ้านายรัก ด้วยธรรมะ ท่าน ว. วชิรเมธี คลายข้อสงสัยว่าทำอย่างไรจะทำให้เจ้านายรัก ซีเคร็ตนำเสนอโอวาทธรรมน่าคิดของท่าน ว.วชิรเมธีที่ได้มอบ วิธีทำให้เจ้านายรัก ด้วยธรรมะ ดังนี้ การที่คนเราจะถูกชะตากันหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า “ธาตุถูกกัน” หรือ ภาษาชาวบ้านว่า “ดวงสมพงศ์” นั่นเเหละ ในโลกนี้คนเรามีธาตุหรือจริต (behavior) แตกต่างกัน จริตบางอย่างดึงดูดกัน บางอย่างก็เป็นปฏิปักษ์กัน ถ้าเจ้านายกับเราเป็นคนละจริต รับรองว่ายากจะอยู่กันได้อย่างราบรื่น ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากเจ้านายเป็นคนศรัทธาจริต ชอบธรรมะ ชอบพระชอบวัด ชอบปาฏิหาริย์ทางจิต และกฎแห่งกรรม ใครมาคุยเรื่องศาสนาปรัชญาละตาใสแจ๋ว คุยได้เป็นวัน ๆ แต่เรื่องการเมืองละส่ายหัวดิก ส่วนลูกน้องกลับเป็นคนพุทธิจริต ชอบใช้เหตุผล รักการใช้ปัญญาวิพากษ์วิจารณ์ขอรับรองว่ายากจะไปด้วยกันได้ และยากที่ลูกน้องจะชนะใจเจ้านาย วิธีทำงานแล้วให้สามารถอยู่ร่วมกับเจ้านายได้อย่างเนียนสนิทก็คือ 1. ทำงานให้ยอดเยี่ยม เมื่อทำงานดีจนเจ้านายขาดเราไม่ได้ หรือขาดแล้วองค์กรติดขัดมีปัญหา จากนั้นเจ้านายจะมองข้ามความไม่ชอบกันเป็นส่วนตัวไป สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยผลงานแท้ ๆ อยู่กันไปนาน ๆ สักวันคงรักกันเองนั่นแหละ 2. สังเกตเจ้านายให้ดีว่าเป็นคนจริตอย่างไร แล้วพยายามปรับปรุงตัวให้มีบางอย่างที่สามารถเชื่อมโยงกับเจ้านายได้ […]

มองตัวตนผ่านกระจกแห่งสติ บทความธรรมะเตือนสติจากท่านว.วชิรเมธี

มองตัวตนผ่าน กระจกแห่งสติ บทความธรรมะเตือนสติท่านว.วชิรเมธี มนุษย์มีตัวตนอยู่ 3 ตัวตน การส่องกระจกธรรมดาไม่สามารถมองเห็นทั้งสามตัวตนได้ จะต้องใช้ กระจกแห่งสติ จึงจะมองเห็นตัวตนทั้งสามด้าน ประกอบด้วย 1. ตัวตนที่เราเป็นอยู่ทุก ๆ วัน เป็นอย่างที่เป็น เป็นอย่างที่เห็น มนุษย์ทุกคนมีตัวตนอย่างที่เป็น บางคนก็มีตัวตนอย่างที่ใคร ๆ เห็นก็ชื่นใจ บางคนก็มีตัวตนอย่างที่ใครเห็นก็หวาดกลัว เพราะตัวตนนี้ก็คือผลของบุคลิกภาพที่เราสั่งสมมาอย่างยาวนานนั่นแหละ ตัวตน อย่างนี้ก็คือตัวตนที่เป็นธรรมชาติของทุกคน (ฉันเป็นฉันเอง) 2. ตัวตนที่เราอยากให้สังคมมองเห็น ตัวตนเช่นนี้ก็คือตัวตนที่เกิดจากการเสแสร้งแสดงนั่นเอง อยู่ที่บนเป็นแบบหนึ่ง เข้าสังคมเป็นอีกแบบหนึ่ง และวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อนก็เป็นอีกแบบหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่า ตัวตนที่เกิดจากการเสแสร้งแสดง (ฉันเป็นอย่างที่เธอเห็น) 3. ตัวตนที่เราต้องการไปให้ถึงในอนาคต เรียกว่า ตัวตนในอุดมคติ ตัวตนนี้จะชัดมาก ถ้าไปถามดารานักร้องซูเปอร์สตาร์ทั้งหลาย ก็จะได้คำตอบชัดเจน คือมีความคาดหวังว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต ถ้าไปไม่ถึงก็อยู่ที่ตัวตนเดิม ๆ ไปก่อน (ฉันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น)     มนุษย์มีตัวตนสามตัวตนอย่างนี้ตลอดไป และเมื่อเราไม่เคยฝึกสมาธิ ไม่เคยฝึกตัวตน เราก็ไม่รู้ว่าตัวตนไหนที่กำลังออกโรงแสดงอยู่และกำลังพาเราโลดแล่นไปในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนั้น คนเราโดยมากแสดงผิดแสดงถูกอยู่ตลอดเวลา […]

จะตามหาความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของตนเองเจอได้อย่างไร 

จะตามหา ความเชี่ยวชาญ เฉพาะทางของตนเองเจอได้อย่างไร สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ กำหนดว่าจะทำอะไรให้กลายเป็น ความเชี่ยวชาญ เฉพาะทางของตน น่ากลัวว่าคงมีหลายคนที่สับสนมากใช่ไหม ผมคิดว่าเงื่อนไขในการเลือกมีหลายข้อ เช่น 1. เลือกความถนัดที่ตอนนี้ได้สะสมประสบการณ์มามากพอแล้ว  ไม่ถึงกับจะให้เลือกความถนัดที่มีประสบการณ์ในการทำงานจริงพอสมควรมากกว่าความถนัดที่ไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติเลย และก็ไม่ได้หมายความว่ามีเงื่อนไขตายตัว ถ้าไม่มีความสุขกับความถนัดที่มีประสบการณ์มาจนถึงตอนนี้และไม่คิดว่าจะทำให้มันเป็นความถนัดที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ ผมคิดว่าลองหาอย่างอื่นและนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่ต้นก็ได้ ในกรณีนั้นขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงภายในของบริษัทเป็นเงื่อนไขสำคัญว่าจะมีตำแหน่งที่สามารถใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นให้เกิดประโยชน์เต็มที่ (สามารถเรียนรู้) หรือไม่ถ้าจินตนาการภาพสถานที่ที่จะสะสมประสบการณ์ในการปฏิบัติจริงไม่ได้หนทางไปสู่ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางก็จะสูงชันขึ้นพอสมควร   2. เข้าใจความต้องการของสังคมอย่างชัดเจนว่า ความเชี่ยวชาญนี้มีแนวโน้มที่จะมีคุณค่าในบริษัทหรือไม่  เนื่องจากเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่จะเป็นประโยชน์ในการทำงานจึงจำเป็นต้องมองเห็นปลายทางในสายตา (โอกาส) ที่จะได้ใช้ประโยชน์จากนี้เป็นต้นไป การลองคิดดูว่าความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่จำเป็นต่อบริษัทของคุณและสิ่งที่ภายในบริษัทมีบุคลากรไม่เพียงพอคืออะไร ก็คงจะดีให้ความสนใจแก่งานที่ต้องจ้างคนจากภายนอกเข้ามากลางคันเพราะบุคลากรภายในบริษัทมีไม่เพียงพอ 3. เลือกความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่สามารถทำได้บางระดับในเวลาอันสั้นเมื่อเทียบกับการทำงานอื่น ๆ การจะรับเงินในฐานะมืออาชีพต้องไปให้ถึงระดับที่เหมาะสม ดังนั้นควรพยายามเต็มที่ที่จะหลีกเลี่ยงความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ต้องใช้เวลาตั้ง 10 ปี หรือ 20 ปีกว่าจะมีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์นำหน้าคนอื่น ลองมองหาด้วยมุมมองว่าสิ่งที่สามารถสร้างผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยใช้ความพยายามน้อยที่สุดคืออะไร   4. จินตนาการภาพตัวเองที่กำลังทำงานเฉพาะทางนั้นอย่างมีความสุข  เพราะมีหน้าที่ที่เหมาะสมกับแต่ละคน จึงไม่ควรเลือกสาขาที่ไม่ค่อยเหมาะกับตนเอง คนที่ไม่ถนัดตัวเลขและไม่ชอบงานละเอียดกองพะเนินเทินทึก แม้ตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีก็ไปได้ไม่ราบรื่น ควรถือโอกาสนี้ลองเข้ารับการตรวจสอบความเหมาะสมกับงาน   ที่มา : ทิ้งคนเก่าที่ไม่เก่ง มาเป็นคนใหม่ที่เจ๋งกว่า โดย ยูคิโอะ โอคุโบะ […]

ถ้ายังหางานที่เป็นตัวของตัวเองที่สุดไม่ได้ ควรทำอย่างไรดี 

ถ้ายังหา งานที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด ไม่ได้ ควรทำอย่างไรดี มีหลายคนที่เรียกร้องหาแต่ ” งานที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด “ มากจนเกินไป จนทำให้ดูเหมือนไม่มีความสุขในชีวิต บางคนถึงกับเก็บตัวซึมเศร้า เพราะสิ่งที่ได้รับมอบหมายไม่ใช่งานที่ชอบ หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะยังค้นหา “สิ่งที่ตนอยากทำ” ไม่เจอสักที  การที่บางคนวิ่งไล่ตามคำบางคำที่เป็นเหมือนภาพลวงตา เช่น ความเป็นตัวเอง ค้นหาตัวเอง เพียงเพราะอยากยกย่องเชิดชูตัวเอง แสดงลักษณะเฉพาะของตนผ่านผลงาน เพื่อยืนยันการมีตัวตนบนโลกใบนี้  ทิศทางของสังคมที่มุ่งเน้นความสำคัญไปที่ การหาค้นหาตัวเองผ่านหน้าที่การงาน เกิดจากสภาพแวดล้อมในการทำงานที่สลับซับซ้อนมากขึ้น จนทำให้ปัจจุบันกลายเป็นยุคที่คนทำงานไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของตนเองในการทำงาน     เทียบกับสมัยก่อนที่ “การทุ่มเททำงาน” เพื่อสังคมหรือครอบครัวเปรียบเหมือนการได้ทำความดี ทำให้รับรู้ถึงคุณค่าในการทำงานได้มากกว่า และยังมีสภาพแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นให้ทุ่มเทกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จึงทำให้สามารถฝึกปรือความสามารถของตนได้ และผลลัพธ์คือ ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นดีขึ้นนั่นเอง ในยุคปัจจุบัน ความสำคัญของงานไม่ใช่แค่การค้นพบ “ความเป็นตัวเอง” เท่านั้น แม้จะไม่ได้ทำงานที่ชอบ ก็ขอให้เลี้ยงดูครอบครัวได้ มีรายได้ที่แน่นอน ตราบใดที่ตั้งใจทำงานไปเรื่อย ๆ ก็ต้องได้อะไรหลาย ๆ อย่างจากการทำงานบ้าง หรืออย่างน้อยขอให้คิดแค่ว่า ได้มีเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และทำงานให้ใครสักคนพอใจก็ใช้ได้แล้ว   […]

วิธีการแก้ปัญหาการทำงานที่ดีที่สุดคือ การพาตัวเองไปอยู่ในงานนั้น

วิธีการแก้ปัญหาการทำงาน ที่ดีที่สุดคือ การพาตัวเองไปอยู่ในงานนั้น หากจะทำงาน เราจำเป็นต้องมี วิธีการแก้ปัญหาการทำงาน การจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องมองดูงานอย่างละเอียด กล่าวคือ เราต้องมองให้เห็นถึงปัญหาและเมื่อมองเห็นปัญหาแล้วก็พาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น   นี่หมายความว่าอย่างไรกันนะ คนเราจะขยับตัวเท่าที่จำเป็น นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองกล่าวว่า แม้สมองเราจะมีความสามารถแบบไร้ขีดจำกัด แต่มักจะขี้เกียจ หมายความว่าสมองจะแสดงความสามารถระดับสุดยอดออกมาเฉพาะตอนที่จำเป็นเท่านั้น แต่ในเวลาปกติก็จะทำตามที่เคยทำมา และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงพยายามใช้หัวในแบบที่ไม่เคยใช้ และค้นหาวิธีใหม่ ๆ เจอต่อเมื่อสถานการณ์รีบเร่ง ส่วนใหญ่เมื่อเราได้ทำงานที่ไม่เต็มใจทำเราจะไม่คิดและไม่พิจารณามันอย่างที่ควรจะทำ (พูดกันตรง ๆ ก็คือ ทำงานในแบบที่ไม่เรียกว่าทำงาน) ถ้าทำงานแบบนี้ เราจะมองไม่เห็นว่าปัญหาอยู่ที่ไหน แล้วจะไม่คิดถึงมันด้วย     แล้วถ้าอยู่ ๆ เพื่อนร่วมงานที่ทำงานเหมือนกับเรากลับค้นพบปัญหา แล้วบอกคนอื่นว่า มันมีปัญหา แถมยังคิดแนวทางแก้ไขเอาไว้ด้วย หลายคนน่าจะเคยอับอาย และเสียหน้า เพราะเพื่อนร่วมงานเช่นนี้มาก่อน แม้จะทำงานเหมือนกัน แต่การรับรู้ของแต่ละคนแตกต่างกัน ซึ่งการรับรู้ที่แตกต่างกันเช่นนี้แหละทำให้คนหนึ่งมองเห็นปัญหาจริง ๆ แต่อีกคนกลับมองไม่เห็นปัญหาอะไรเลย   ทำไมถึงแตกต่างกันแบบนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือ “ความจำเป็นแตกต่างกัน” ความจำเป็นที่พูดถึงตรงนี้ ไม่ใช่ความหิวโหยแบบมิติเดียว แต่หมายถึงความจำเป็นที่จะต้องค้นหาปัญหาอย่างต่อเนื่องแล้วแก้ปัญหา […]

9 เคล็ดลับ ทำงานไป พักผ่อนไป…สบายอารมณ์

ลองปรับชีวิตการทำงานให้มีความสุขมากขึ้น แทนที่จะรู้สึกเบื่องานและต้องฝืนใจทำ ก็ทำให้เหมือนกับกำลัง ทำงานไป พักผ่อนไป ดูนะคะ

เคล็ดลับแก้อาการ ” เบื่องาน เบื่อออฟฟิศ “

เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึก เบื่องาน แต่มีน้อยคนนักที่กล้าปฏิเสธว่าเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไม่ใช่การทำงาน เพราะ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”

9 เทคนิค การทำงานกับคนต่างวัย ร่วมงานกันได้แบบไม่ต้องทะเลาะ

เชื่อว่าใครหลายคนคงเคยประสบปัญหาในการทำงานอันเกิดจากวัยที่แตกต่างกันของ เพื่อนร่วมงาน ซีเคร็ตมีวิธีรับมือกับปัญหานี้อย่างมืออาชีพ

เป็นลูกน้องหรือเป็นนายตัวเอง อย่างไหนดีกว่ากัน

เป็นลูกน้องหรือ เป็นนายตัวเอง อย่างไหนดีกว่ากัน พอถึงช่วงหนึ่งของชีวิตการทำงานที่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ การออกไปมีธุรกิจเป็นของตนเอง เป็นนายตัวเอง ก็ดีไม่น้อย เป็นความฝันของชาวออฟฟิศหลายที่อยากให้เป็นจริง อยากพ้นจากความทุกข์ที่โดนกดดันด้วยงาน พ้นจากการเป็นลูกน้องที่ต้องรับฟังคำสั่ง ไปสู่ชีวิตที่เสรีและทำตามความคิดของตนเอง คนที่อยากสร้างธุรกิจในฝัน มักเป็นคนที่มองโลกเชิงบวกและมีความกระตือรือร้นกว่าคนที่คิดจะเปลี่ยนงาน คนเหล่านั้นไม่ได้ทอดทิ้งงานเพราะเกลียดบริษัท แต่เพียงอยากทำความฝันของตนเองให้ลุล่วง มองในอีกมุมหนึ่ง ความฝันที่สวยงามอาจกลายเป็นหลุมพราง ทำไมถึงกล่าวแบบนี้ สมัยก่อนการเป็นนายตัวเอง อาจเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน แต่สมัยนี้การขายของออนไลน์ก็สามารถทำให้เราไต่เต้าไปสู่การประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจได้ แต่ผลแห่งความสำเร็จไม่ได้เจริญงอกงามได้กับทุกคน หากพิจารณาดูการทำธุรกิจมีหลายปัจจัยมาก กว่าจะสร้างฐานที่แข็งแกร่ง หากทำเพื่อฝันว่าอยากขายสินค้านี้ ชอบสินค้านี้ และลาออกจากงานประจำมาขายเต็มตัว เพราะวาดฝันไว้สวยหรูว่าจะได้เป็นเจ้าของกิจการที่มั่นคงแน่นอน แต่ทว่าความฝันก็ดับเพราะการไม่เข้าใจการตลาดที่แน่นอน ไม่ทราบความต้องการของลูกค้า ธุรกิจในฝันก็ล่มจมไป จากจุดนี้จะไปไหนต่อ เมื่อน้ำเลี้ยงหลักของเราไม่มีแล้ว เงินที่จะใช้จ่ายในชีวิตที่เคยได้มาหล่อเลี้ยงเป็นเดือน ๆ จากงานประจำไม่มีแล้ว จำนวนประชากรทุกวันนี้ สูสีกับปริมาณสินค้าที่เราขายไหม หากสินค้ามากกว่าผู้ซื้อ ผลต่อมาคือไม่สามารถจัดการสินค้าที่เหลือได้ สินค้าส่วนใหญ่อิงกระแสความต้องการของผู้บริโภค แต่เมื่อกระแสความสนใจเปลี่ยนทิศทาง ก็กลายเป็นปัญหาของเราผู้ออกมาตามฝัน นายตัวเองนอกจากธุรกิจแล้ว การเป็นฟรีแลนซ์ก็เป็นอีกงานที่ไม่ได้รับการกดดันจากบริษัท แต่ฟรีแลนซ์จะไม่ได้รับการคุ้มครองและสวัสดิการการช่วยเหลือใดใดเลย ซึ่งถ้าวันหนึ่งเจ็บป่วยขึ้นมา ก็ลำบากเราไม่น้อย นอกจากจะขยันหางานได้ทีไรมาก ๆ แล้วมีเงินเก็บพอรักษาตัวเอง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ก้าวออกมาจากงานประจำ สู่งานอิสระและการเป็นนายตัวเอง ผลที่ตามมาหลายคนขาดทุน ไม่ได้กำไร […]

การรับมือกับความทุกข์ของคนโดนไล่ออกจากงาน

การรับมือกับความทุกข์ของคน โดนไล่ออกจากงาน โดนไล่ออกจากงาน เป็นอีกหนึ่งความกลัวของชาวออฟฟิศ เมื่อได้ยินคำนี้แล้วต่างหวาดผวา ขนลุกขนพองไม่แพ้เรื่องผีหรือเรื่องเล่าสยองขวัญเลย การโดนไล่ออกจากงานนอกจากจะเป็นสิ่งที่ชาวออฟฟิศกลัวแล้ว ยังเป็นความทุกข์อีกอย่างหนึ่งของชาวออฟฟิศด้วย คนที่ตกอยู่ในสภาพนี้ ไม่ต่างจากต้นไม้ที่ถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง กลายเป็นคนขาดเงินเลี้ยงชีพ ความเครียด ความกังวลเกาะกุมหัวใจ ทำให้กลายเป็นความทุกข์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้มาจากงานเขียนของ นัมอินซุก นักเขียนนิยายและบทความสำหรับผู้หญิงชาวเกาหลีคือหนังสือเรียก “ตั้งศูนย์ที่เลขสาม 30s” คุณนัมอินซุก ยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และใช้นามสมมติแทนตลอดทั้งเรื่องว่า คุณ D ทำเรื่องผิดพลาดให้กับออฟฟิศ เธอรู้สึกเป็นทุกข์มากจนทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเธออัพเดตข้อมูลของบริษัทผิดพลาด ทำให้ลูกค้าเข้าใจข้อมูลนั้นผิด มีผลต่อบริษัทคือ ทำให้บริษัทต้องชดเชยค่าเสียหาย เธอกังวลเรื่องนี้จนแทบจะเสียสติ ช่วงสอง-สามวันที่ผ่านมา เธอแทบจะลมจับจนเข้าโรงพยาบาลด้วยความเครียด แต่ก็ยังแบกสังขารมาทำงาน หัวหน้าเห็นอาการของเธอไม่ค่อยดีจึงขอนัดเธอกินข้าวหลังเลิกงาน เวลานั้นช่วงไม่ต่างจากสวรรค์ย่อม ๆ เธอได้โอกาสปรับทุกข์และระบายเรื่องนี้กับหัวหน้า “หัวหน้าคะ หนูควรทำอย่างไรดีคะ…..” หัวหน้าผู้ผ่านโลกมามาก แต่คุณ D มองเป็นพี่สาวคนหนึ่ง เธอนิ่งแล้วตอบว่า “กลุ้มใจขนาดนี้แล้ว อะไรจะดีขึ้น ตั้งสติแล้วคิดดูสิว่า ต่อจากนี้ไปจะทำอย่างไรต่อ” “สถานการณ์เป็นแบบนี้จะไม่ให้หนูกลุ้มใจเหรอคะ” “แล้วสิ่งที่เรากังวลใจคืออะไร” “กลัวโดนไล่ออกจากบริษัทค่ะ หนูใส่ข้อมูลของบริษัทผิด ทำให้ลูกค้าเข้าใจผิด […]

4 สิ่งที่ชาวออฟฟิศไม่ควรทำ เพื่อให้ทำงานมีศักยภาพมากขึ้น

4 สิ่งที่ชาวออฟฟิศไม่ควรทำ เพื่อให้ทำงานมีศักยภาพมากขึ้น หลายคนแนะนำให้เอาใจเจ้านายจะได้มีหน้าที่การงานที่ดีขึ้น  ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ล้าสมัยมาก เพราะปัจจุบันมีเจ้านายหลากหลายรูปแบบ อาจจะไม่ได้เป็นเจ้านายที่ชื่นชอบการยกยอเสียทุกคน ดังนั้นจึงขอนำเสนอ 4 สิ่งที่ชาวออฟฟิศไม่ควรทำ เพื่อให้ทำงานมีศักยภาพมากขึ้น       1. การทำงานตามแนวทางและความชอบของเจ้านายไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จของการทำงาน จริงอยู่ที่เราต้องทำงานตามคำสั่งของเจ้านาย แต่ถ้าเจ้านายไม่มีความแน่นอนในโครงการฯ หรืองานที่สั่งลงมา ไม่มีระยะเวลาที่แน่ชัด ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เท่ากับว่าคุณต้องทำงานแบบลู่ลมไปเรื่อย ๆ ซึ่งการปรับตัวให้ทำงานตามความชอบของเจ้านายเป็นผลดีที่จะทำให้คุณอยู่ในองค์กรได้ก็จริง แต่ทว่าการทำงานที่ไม่โน้มเอน ตามใจผู้บังคับบัญชาก็เป็นสิ่งจำเป็น เรามีเหตุผลเพียงพอที่จะถามถึงงานที่ไม่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นงานจะสะเปะสะปะไร้จุดหมาย     2. การผูกมิตรกับเจ้านาย ไม่ใช่การเมืองที่ฉลาดเลย มิตรภาพในออฟฟิศเป็นเรื่องของมายาใคร ๆ ก็ทราบกันดี แต่ใช่ว่ามิตรภาพที่ดีจะหาไม่ได้เลยจากออฟฟิศ ด้วยความเป็นมายานี่เอง จึงควรใส่ใจกับการสร้างผลงานมากกว่าบุคคล การผูกมิตรกับเจ้านายในฐานะกัลยาณมิตรหรือเป็นเพื่อนที่สามารถรับฟัง หรือให้คำปรึกษาเรื่องส่วนตัวนั้นเป็นได้ยาก ถึงจะเป็นไปได้ แต่ด้วยสถานะของความเป็นเจ้านายที่สูงกว่า หรือบางครั้งเกิดความตึงเครียดขึ้นทั้งสองฝ่ายในการทำงาน มิตรภาพที่มีมาที่แสนเปรอะบางอาจพังทลายลง แล้วควรทำอย่างไรล่ะให้มิตรภาพระหว่างลูกน้องกับเจ้านายเดินไปได้ด้วยดี มันก็พอมีคือต้องเอาเรื่องส่วนตัวแบบฉันเพื่อนออกไป  แล้วเปลี่ยนเอาเรื่องงานมาคุยแทน นอกจากการปรึกษาหารือเรื่องงานจะทำให้เจ้านายเห็นว่าคุณใส่ใจงานมากน้อยแค่ไหนแล้ว ยังทำให้การทำงานของคุณคืบหน้า ส่งผลต่อองค์กรให้ขับเคลื่อนไปได้อีกด้วย     3. การหนีปัญหาไม่ใช่ทางออกที่ควรหลีกเลี่ยง […]

10 วิธีปรับออฟฟิศเพื่อสร้างความสุขในการทำงาน

ปัจจุบันคนเราใช้เวลาในที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้าน หาก ออฟฟิศ มีลักษณะและบรรยากาศที่เหมาะสมย่อมสร้างสุขให้แก่พนักงาน ซึ่งจะนำไปสู่ผลงานที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง

Dhamma Daily : ทำอย่างไรดีเมื่อต้องทำงานกับ คนที่เห็นแก่ตัว

ถาม : ดิฉันต้องทำงานกับ คนที่เห็นแก่ตัว โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เขาพูดถึงดิฉันในทางที่ไม่ดีกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ พอรู้ตอนแรกก็โกรธมากค่ะ แต่พอผ่านไปสักครู่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ช่างมัน แต่เดี๋ยวก็ไม่สบายใจอีก ควรทำอย่างไรคะ

ปัญหาธรรมประจำวันนี้ : ทำงานอย่างไรให้มีความสุข

ปัญหาธรรมประจำวันนี้ : ทำงานอย่างไรให้มีความสุข ทำงานอย่างไรให้มีความสุข ถาม : อาจารย์คะถ้าเราทำงานแล้วไม่มีความสุขเป็นเพราะอะไรคะ ตอบ : เราทำงานแล้วจะมีความสุขหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเราได้ทำตามหลักในการทำงานให้มีความสุขแล้วหรือยังหลักที่ว่านั้นได้แก่ งานนั้นต้องเป็นงานที่ดี คือไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม เราต้องมีทัศนคติในการทำงานที่ถูกต้อง คือทำงานเพื่อให้งานนั้นสำเร็จโดยไม่ยึดเอาประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้งแต่ให้คิดว่าในเมื่อเรารับจ้างเขามาแล้ว เราต้องทำงานให้สำเร็จด้วยวิธีการที่ดีที่สุด เราต้องทำงานให้สำเร็จโดยปฏิบัติตามหลักอิทธิบาท4 ได้แก่ฉันทะ คือยินดีพอใจในงานที่ทำและทำงานด้วยใจรักวิริยะ คือมีความเพียรในงานที่ทำและทำงานอย่างทุ่มเทจิตตะ คือมีใจจดจ่ออยู่กับงานและวิมังสาคือใช้ปัญญา  ไตร่ตรองว่างานที่ทำออกมานั้นคุณภาพเป็นอย่างไรดีพอ นอกจากทำงานดีแล้ว เรายังต้องทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลาด้วยการเว้นจากอบายมุข ได้แก่ดื่มน้ำเมาเที่ยวกลางคืนเที่ยวดูการเล่นเล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านทำการงาน หากทำได้ตามนี้แล้วเราจะทำงานลุล่วงได้ทันเวลา ทำผลงานให้เข้าตาเจ้านายผู้ใช้บริการพึงพอใจ หากทำตามนี้ได้นอกจากเราจะมีความสุขและมีความภาคภูมิใจอยู่กับการทำงานแล้ว ผลงานยังจะเป็นที่เรียกหาเรียกใช้ และมีงานเข้ามาให้ทำอยู่เรื่อยๆไม่รู้จบ ถาม : เรารู้สึกว่างานที่เราทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำล่ะคะอาจารย์ ตอบ : นั่นเป็นความคิดเห็นที่ผิด เพราะไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม หากไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม แล้วงานนั้นถือว่าเป็นงานที่ดีที่สุด การยึดเอาความอยากของเราเป็นสำคัญ คิดว่างานไหนไม่ถูกใจเรา ไม่ทำนั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะมีกิเลสนำ เพราะไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาหากงานนั้นเป็นงานที่ดีที่ถูกต้อง เราต้องทำได้หมดแม้กระทั่งงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของเราโดยตรงก็ตามถ้ามีเหตุให้เราต้องทำเราก็ต้อทำได้ ถาม :  มีวิธีไหนที่จะทำให้เราทำงานได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบ้างไหมคะ ตอบ : ทำงานด้วยใจไงลูกคือการทำงานโดยไม่หวังผลเลิศคิดแต่ว่าจะใช้วิธีการทำงานอย่างไรจึงจะดีที่สุดการทำงานด้วยใจจะทำให้เราทำงานได้มาก และทำงานได้เร็ว โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย […]

4 เคล็ดลับเพิ่ม EQ แก้สารพัดปัญหาคนทำงาน

เพิ่ม EQ เพื่อแก้ปัญหาคนทำงาน หลายคนอาจต้องเผชิญอยู่แทบทุกวัน ไหนจะต้องสู้รบกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ไหนจะปัญหาจากคนรอบข้าง ทำเอาว้าวุ่นเสียสมาธิไปหมด

ปัญหาธรรมประจำวันนี้ : ว่างงานจนเครียดและจิตตก ต้องทำอย่างไร

ว่างงานจนเครียดและจิตตก เหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่ามาก ไม่อยากให้พ่อแม่ทำงานหนักอีกแล้ว แต่ก็ช่วยอะไรพ่อแม่ไม่ได้ เพราะลาออกจากงานเสียแล้ว ทำอย่างไรดี

keyboard_arrow_up