นิตยสาร Secret
สูตรยาระงับสรรพทุกข์ สร้างสรรค์สูตรโดย ท่านพุทธทาสภิกขุ
คำเตือน: ยาขนานนี้ผสมสูตรจากคำสอน ท่านพุทธทาสภิกขุ โปรดอ่านสรรพคุณให้ดีก่อนนำไปใช้ เครื่องยา : สามารถหาได้กาย วาจา ใจของตัวเอง
เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ เมื่อโลกและธรรมหมุนไปพร้อมกัน
เชอรี่ - เข็มอัปสร นางเอกสาวมากความสามารถ ล่าสุดเธอเป็นผู้รณรงค์ปลูกป่าจากกลุ่ม Little Help และสิ่งที่เธอได้พบเห็นมาเปลี่ยนความคิดของเธอไปอย่างไรบ้าง
แม้ล้มกี่ครั้งก็ลุกได้ ด้วยใจที่เข้มแข็ง อากี – ลี เหว่ย กี (Lee Wai Kei)
แม้ล้มกี่ครั้งก็ลุกได้ ด้วยใจที่เข้มแข็ง อากี – ลี เหว่ย กี (Lee Wai Kei) ชีวิตของ “อากี” เริ่มต้นจากศูนย์และไต่ขึ้นไปจุดสูงสุดด้วยความขยันขันแข็ง
สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ ลูกกรรมกรผู้กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพราะธรรมะ
สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ นักธุรกิจกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร้อยล้าน เหมาะกับคำๆ นี้ “แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกกำหนดชีวิตของตนเองได้”
ทำไมทำบุญแล้วชีวิตไม่ดีขึ้นเลย
ทำไมทำบุญแล้วชีวิตไม่ดีขึ้นเลย เคยสงสัย และ เกิดตั้งคำถามในตัวเองใช่ไหมว่า ทำไมทำบุญแล้วชีวิตไม่ดีขึ้นเลย ไปดูกันค่ะว่าเพราะอะไร หนึ่งในสถานการณ์ที่มักจะสร้างความคลางแคลงใจให้แก่คนที่เพิ่งจะหันมาศึกษาธรรมะ รวมไปถึงผู้ที่ศึกษาธรรมะมานาน แต่ยังไม่มีความหนักแน่นมากพอที่จะเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็คือ ทำไมทำบุญแต่ชีวิตไม่ดีขึ้นเลย ชาวพุทธจำนวนมากทำกิจกรรมทางศาสนาหลายอย่างแล้วคิดว่า การกระทำดังกล่าวได้บุญแต่ความจริงแล้วบางอย่างก็ได้บุญน้อยมากบางอย่างไม่ได้บุญเลย เหตุการณ์ดังกล่าวมักจะทำให้ความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาของบางคนสั่นคลอน แล้วกลายเป็นคนหลงผิด ผมจึงขอรวบรวมเหตุผลส่วนหนึ่งมาอธิบายว่า เพราะเหตุใดการทำบุญจึงไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นดังนี้ 1. ทำบาปเอาไว้มาก แต่ยังทำบุญน้อย ลองคำนวณดูคร่าว ๆ ว่าเราเริ่มศึกษาธรรมะตอนอายุเท่าไร แล้วลองเปรียบเทียบดูว่า จำนวนปีที่เราทำบาปกับจำนวนปีที่เราทำบุญแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าผู้อ่านส่วนใหญ่ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังในช่วงอายุ30 กว่า ๆ ต่อมาได้หยุดทำบาปแล้วหันมาทำบุญในช่วงไม่เกิน 5 ปีหลัง ก็แปลว่าก่อนหน้านั้นเราทำบาปมาประมาณ 30 ปีและเริ่มทำบุญจริงจังมาประมาณ 5 ปี จะเห็นได้ว่า ปริมาณการทำบาปในชาตินี้ยังมากกว่าการทำบุญ ฉะนั้น ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชีวิตอาจจะยังไม่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 2. บุญก็ทำ บาปก็ไม่เลิก คนจำนวนไม่น้อยศึกษาธรรมะ แต่เข้าถึงหลักธรรมเพียงด้านเดียวคือการทำบุญ โดยไม่ได้สนใจเลิกทำบาป จึงทำบุญไปด้วย ทำบาปไปด้วยชีวิตโดยรวมก็จะมีสภาพลุ่ม ๆ ดอน ๆเดี๋ยวชีวิตก็ดีเพราะผลบุญที่ทำ เดี๋ยวชีวิตก็แย่เพราะผลของบาปที่ไม่ได้ลดละลงเลย 3. เข้าใจผิด คิดว่าทำบุญอยู่ ชาวพุทธจำนวนมากทำกิจกรรมทางศาสนาหลายอย่าง แล้วคิดว่าการกระทำดังกล่าวได้บุญ แต่ความจริงแล้ว บางอย่างก็ได้บุญน้อยมาก บางอย่างไม่ได้บุญเลย หนำซ้ำกิจกรรมบางอย่างก็ได้บาป ทำให้ไม่มีบุญมาส่งเสริมให้ชีวิตดีขึ้น เช่น การเข้าวัดเฉย ๆ การกราบพระพุทธรูปเพื่อขอพรการสวดมนต์เพื่อให้ร่ำรวย การแก้กรรมการรดน้ำมนต์ การไปร่วมพิธีกรรมต่าง ๆเป็นต้น 4. ทำบุญมาก แต่ได้บุญน้อย หลายคนยังคงทำมาหากินในอาชีพที่ผิดศีล เงินที่หามาได้จึงเป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์ ซึ่งเงินก้อนนี้หากเอาไปทำบุญก็จะได้บุญน้อยมาก จึงไม่มีผลบุญที่จะมาช่วยให้ชีวิตดีขึ้น 5. เข้าใจผิด คิดว่าละบาปแล้วหลายคนมีความเข้าใจเรื่องการทำบาปไม่ครบถ้วน จึงคิดว่าการกระทำของตนไม่บาป และยังคงทำกรรมนั้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดทำให้ยังคงได้บาปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเช่นกัน ส่งผลให้มีบาปที่รอแสดงผลเป็นจำนวนมาก เช่น การใช้ของละเมิดลิขสิทธิ์การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ยังไม่ได้สู่ขอ การพูดให้คนทะเลาะกัน การพูดจาเสียดแทงจิตใจ เป็นต้น 6. ทำบุญไม่ตรงกับผลที่ต้องการ ชาวพุทธจำนวนมากมีความต้องการให้ชีวิตบางด้านดีขึ้น แต่เนื่องจากขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมที่ถูกต้อง จึงทำบุญไม่ตรงกับความต้องการ เช่น คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับความรัก ความจริงแล้วควรจะรักษาศีลอุโบสถ เลิกพูดโกหก พูดส่อเสียด พูดหยาบ แต่ก็กลับไปทำสังฆทานที่จะช่วยเรื่องเงินทอง คนที่มีปัญหาเรื่องการทำงานความจริงแล้วควรทำบุญถวายสังฆทาน แต่กลับไปปล่อยปลา ไถ่ชีวิตสัตว์ ซึ่งจะช่วยให้อายุยืนและสุขภาพดี คนป่วยที่ควรจะทำบุญด้วยยาหรือปล่อยปลาที่กำลังจะถูกฆ่า แต่กลับไปซื้อปลาที่เขาเตรียมจับไว้แทน ซึ่งบุญที่ได้จะช่วยเรื่องอิสรภาพมากกว่า 7. บุญยังไม่แสดงผล คนจำนวนหนึ่งมีความเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง และได้เริ่มต้นทำบุญละบาปมาต่อเนื่องยาวนานนับสิบ ๆ ปี แต่ชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้น ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะบุญที่ทำยังไม่สบช่องแสดงผล เพราะในชาติที่แล้ว และชาติก่อนหน้านั้น อาจจะเคยทำบาปเอาไว้มากบาปที่เคยทำจึงยังตามแสดงผลให้เราพบเจอความทุกข์ไม่หยุด ชีวิตจึงยังไม่ดีขึ้น ตัวอย่างเหตุผลดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านทุกคนได้ลองหันกลับมาพิจารณาว่า ตัวเราเองเข้าใจเรื่องบาปบุญอย่างถูกต้องแค่ไหน และแท้จริงแล้วตัวเราทำบุญหรือทำบาปมากกว่ากัน ถ้าเรามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะเห็นความจริงว่า เราทำดีมากพอหรือยัง (ส่วนใหญ่มักจะยังทำบุญไม่มากพอ และยังทำบาปควบคู่ไปด้วย) ในขณะเดียวกัน ก็หวังว่าความเข้าใจดังกล่าวจะทำให้ทุก ๆ คนสามารถรักษาความมุ่งมั่นในการทำบุญละบาปต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะถึงอย่างไรเส้นทางนี้ก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ และเป็นเส้นทางที่จะช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย (หมายเหตุ : อ่านความรู้จากพระไตรปิฎกเกี่ยวกับการทำบุญได้ในหนังสือ “ทำดี24 ชั่วโมง” ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการทำบาปอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ “ถ้ารู้…(กู)…ไม่ทำ”) เรื่องจาก : นิตยสาร Secret […]
Dhamma Daily: พักอยู่คอนโดสูง ควร กรวดน้ำ อย่างไรดี เพราะไม่มีต้นไม้ใหญ่
Dhamma Daily: พักอยู่คอนโดสูง ควร กรวดน้ำ อย่างไรดี เพราะไม่มีต้นไม้ใหญ่ – พระครูสังฆรักษ์สงบ ตอบปัญหานี้ไว้ว่า การทำบุญมีอยู่ 3 ทางด้วยกัน คือทาน ศีล
Dhamma Daily: ตักบาตรพระ ด้วยอาหารค้างคืน บาปไหม
Dhamma Daily: ตักบาตรพระ ด้วยอาหารค้างคืน บาปไหม อาหารที่เราขายไม่หมด แล้วเก็บไว้ ตักบาตรพระ ในวันถัดไป จะบาปไหม ผลหรืออานิสงส์แห่งทานก็ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ตนได้ทำไว้ ให้สิ่งใดก็ได้รับสิ่งนั้น
สูตรแก้ ปัญหา ครอบจักรวาล! โดยคุณพศิน อินทรวงค์
สูตรแก้ ปัญหา ครอบจักรวาล! โดยคุณพศิน อินทรวงค์ ธรรมชาติของ ปัญหา ในโลก จะประกอบไปด้วยสองส่วนหลัก ๆ คือ ปัญหาภายใน และ ปัญหาภายนอก ผู้มีจิตอริยชนควรมีสติมองปัญหาให้ทะลุ ควรจับปัญหาทั้งสองส่วนแยกออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การสะสางปัญหาที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องตรงธรรม ปัญหาภายนอก ให้วิเคราะห์ตามความเป็นจริงว่า เรากำลังมีสถานการณ์อะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ วิธีแก้ไข ให้แก้ไปตามเหตุปัจจัยที่เหมาะสม โดยย้อนกลับมามองที่ความบกพร่องของตนเองก่อน แล้วตั้งต้นว่า เราจะแก้ไขความผิดพลาดของตนก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยแก้ที่คู่กรณี หาทางเจรจาในเวลาที่เหมาะสม ระลึกอยู่เสมอว่า การเจรจานี้เป็นไปเพื่อสะสางปัญหา มิใช่เพิ่มพูนปัญหา ในด้านสถานการณ์ต่าง ๆ ก็เช่นกัน เมื่อคิดจะแก้ไข ให้ทำอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มองเป้าหมายให้ทะลุ ว่าอะไรคือเป้าหมายของการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง จากนั้นจึงค่อย ๆ คลีคลายออกมาเป็นกรรมวิธีดำเนินการที่ชัดเจน แก้ไขอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ใช้เวลากี่วัน พร้อมด้วยวิธีประเมิณผลที่จับต้องได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องทำด้วยจิตที่ขาวสะอาด ใช้วาจาสุภาพเรียบร้อย ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นไปด้วยลักษณะของผู้ทรงคุณธรรมที่มีทั้งความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น […]
“รู้แล้ววาง” คือ “ทางพ้นทุกข์” ข้อธรรมให้แง่คิดโดย ส. ชิโนรส
ท่าน ส. ชิโนรส ได้แสดงข้อธรรมให้แง่คิดในเรื่องของการพ้นทุกข์ไว้ดังนี้ ธรรมชาติของกายและใจตามเป็นจริง คือ “มันเป็นอย่างนั้นเอง” กายและใจ รูปธรรมและนามธรรมทั้งหมด มีแต่เกิดกับดับ เกิดกับตายทุกวินาที (อนิจจัง) มีเหตุปัจจัยต่าง ๆ บีบคั้น บีบบังคับให้ต้องเกิด – ดับอยู่ตลอดเวลา (ทุกขัง) และไม่มีใครมีอำนาจสั่งให้เป็นไปตามความต้องการ ไม่มีตัวกูของกูที่แน่นอน ไม่มีค่าที่ตายตัวเที่ยงแท้ ว่างเปล่าจากตัวตน (อนัตตา) “อนิจจัง – ทุกขัง -อนัตตา” คือ ธรรมชาติแท้ของกายและใจมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผู้เจริญวิปัสสนาเคยเห็นธรรมชาตินี้มาแล้ว ก่อนที่ยังไม่พ้นวิปัสสนูปกิเลส แต่ตอนนั้นสติปัญญายังไม่แจ่มแจ้งเต็มร้อย เพราะวิปัสสนูปกิเลสทำให้เขว และยังมีความสงสัยคลำหาทางออกไม่พบ แต่ตอนนี้มองเห็นได้แจ่มแจ้งแล้วว่า “กายและใจมันเป็นอย่างนี้เอง เราหนีธรรมชาตินี้ไม่พ้น ต้องยอมรับมัน” การเห็นอนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตาได้ชัดเจนกว่ากันหรือไม่ แต่ละคนไม่เหมือนกัน บุญใครบุญมัน ผู้ที่มีความเชื่อเลื่อมใสมาก (ศรัทธา) จะเห็นการเกิด – ดับได้ชัดเจน ผู้ที่มีความเพียรมาก (วิริยะ) จะเห็นความทุกข์ได้ชัดเจน ส่วนผู้ที่มีปัญญามาก (ปัญญา) จะเห็นอนัตตาความว่างได้ชัดเจน […]
ในวัดควร มีสัตว์เลี้ยง หรือนําสัตว์เลี้ยงเข้าไปหรือไม่ โดย ณัฐพบธรรม
ณ วัดแห่งหนึ่ง ปกติในวัดไม่ มีสัตว์เลี้ยง ใดๆ และที่หน้าประตูวัดก็มีป้ายห้ามนําสัตว์เลี้ยงเข้ามาในวัด แต่ช่วงหลังผมเริ่มเห็นทั้งแมวและสุนัขในวัด คาดว่าน่าจะเป็นคนที่ไปอยู่วัดเลี้ยงเอาไว้ด้วยใจที่มีเมตตา 1 นอกจากนี้เราคงเคยเห็นข่าวเกี่ยวกับสุนัขแสนรู้ที่ช่วยพระบิณฑบาต ภาพที่ดูน่ารักดังกล่าวนํามาสู่ความอยากเล่าให้ฟังว่า ในวัดควรมีสัตว์เลี้ยงหรือไม่ เราควรนําสัตว์เลี้ยงเข้าวัดหรือไม่ เพราะอะไร 2 แน่นอนว่า หากมองในมุมของการช่วยเหลือสัตว์ การได้บุญและความมีเมตตา การให้อาหารและที่อยู่อาศัยกับสัตว์ก็เป็นสิ่งที่สมควรทําอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หากนําเรื่องสถานที่มาพิจารณาร่วมด้วย การกระทําที่ถือว่าดีต่อสัตว์ อาจไม่ใช่การให้พวกเขาอยู่ในวัด 3 หลายคนพอได้อ่านประโยคดังกล่าว อาจเกิดความรู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะพระพุทธศาสนาสอนเรื่องความเมตตาและการทําบุญ วัดซึ่งเป็นสถานที่เผยแผ่คําสั่งสอนจึงควรมีเมตตาด้วยการเลี้ยงสัตว์และให้ที่พักอาศัย และหากสัตว์เลี้ยงบางตัวมีจิตอนุโมทนาในขณะที่มีคนทําบุญ หรือฟังธรรมและจิตน้อมตามบทธรรมเขาก็จะได้บุญด้วย การนําสัตว์เลี้ยงเข้าวัดจึงเป็นสิ่งที่ควรทํา 4 ก่อนอื่นผมต้องขอสนับสนุนว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับความเมตตาและเรื่องบุญนั้นถูกต้องแล้วแต่ความเข้าใจดังกล่าวทําให้ลืมพิจารณาองค์ประกอบอื่นซึ่งมีความสําคัญเช่นกัน จึงทําให้เจตนาที่ดีนั้นกลับกลายเป็นการทําร้ายสรรพสัตว์โดยไม่รู้ตัว 5 องค์ประกอบสําคัญที่ผมกล่าวถึงคือ บาปที่สรรพสัตว์มีโอกาสได้รับเมื่ออยู่ในวัด เพราะสัตว์เหล่านี้ต้องขับถ่าย ซึ่งทําให้วัดสกปรก หรือสัตว์บางตัวอาจกัดหรือข่วนทําให้ทรัพย์สินของวัดเสียหาย การกระทําดังกล่าว ได้บาปหนักมาก ๆ เพราะเป็นการทําให้ของสงฆ์สกปรกเสียหาย 6 บางครั้งการส่งเสียงของสัตว์ตามสัญชาตญาณทั่วไปก็รบกวนการปฏิบัติธรรมหรือการจําวัดของพระ บางครั้งสัตว์อาจกัดหรือทําร้ายพระ ซึ่งก็จะได้บาปหนักมาก 7 ในขณะเดียวกันสัตว์บางตัวอาจรบกวนหรือกัดคนที่ไปทําบุญ หรือการที่ในวัดมีสัตว์บางชนิดอาจทําให้บางคนที่ไม่ชอบสัตว์ดังกล่าวไปวัดอย่างไม่มีความสุข ขาดความสงบและไม่อยากไปทําบุญ การขัดขวางการทําบุญดังกล่าวก็ทําให้สัตว์เหล่านั้นมีโอกาสได้บาปเช่นกัน (สัตว์ทําบุญก็ได้บุญ […]
เบญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ เล่าขานตํานาน หลวงพ่อลอยน้ำ 5 องค์
เบญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ เล่าขานตำนาน หลวงพ่อลอยน้ำ 5 องค์ ตามตํานานกล่าวว่า พี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน บวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา และสําเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน จึงพร้อมใจกันตั้งสัจอธิษฐานว่า “เกิดมาชาตินี้จะขอบําเพ็ญบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ แม้ตายไปแล้วก็จะสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน” 1 เมื่อพระอริยบุคคลทั้ง 5 ดับขันธ์แล้ว ก็เข้าสถิตอยู่ในองค์พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์ ด้วยปรารถนาจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้คนที่อยู่ทางใต้ จึงลอยน้ำลงมาตามแม่น้ํา 5 สาย 2 เมื่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ํำเห็นพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์ลอยน้ํำมา ต่างพากันเลื่อมใส จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นฝั่งและอาราธนาให้ขึ้นประดิษฐานที่วัดใกล้กับจุดที่ชะลอองค์พระขึ้นจากแม่น้ํำ ดังนี้ 3 • หลวงพ่อโสธร ลอยมาตามแม่น้ํำบางปะกง ประดิษฐานที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร อําเภอเมืองฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา 4 • หลวงพ่อโต ลอยมาตามแม่น้้ำเจ้าพระยา ประดิษฐานที่วัดบางพลีใหญ่ในอําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 5 • หลวงพ่อบ้านแหลม ลอยมาตามแม่น้ํำแม่กลอง ประดิษฐานที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม) อําเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม 6 • […]
ตำรวจใจดี ช่วยเลี้ยงลูกให้คุณแม่บาริสต้าที่งานเข้าเพราะหาพี่เลี้ยงเด็กไม่ได้
ตำรวจใจดี ช่วยเลี้ยงลูกให้คุณแม่บาริสต้าที่งานเข้าเพราะหาพี่เลี้ยงเด็กไม่ได้ ถ้าเป็นคุณแม่ที่ต้องทำงานไปด้วยก็ต้องมีพี่เลี้ยงมาช่วยเลี้ยงลูกเวลาที่ไปทำงาน หากวันไหนหาพี่เลี้ยงไม่ได้เป็นอันงานเข้า อย่างที่เกิดกับ แชนทาเฟ เบลกส์ (Shantaphae Blakes) วัย 26 ปี บาริสต้าพาร์ทไทม์ของสตาร์บัคส์ที่เมืองวินสตัน-เซเลม รัฐนอร์ทแคโรไลนา เธอโทร.หาเจ้านาย ฮาร์เปอร์ สเปล ตอนตีสี่ครึ่งทั้งน้ำตา บอกว่าเช้านี้เธอกำลังจะออกไปทำงาน แต่ไม่มีใครเป็นพี่เลี้ยงให้หนูน้อย ดิลิน (Dilynn) ลูกสาวของเธอเลย เธอไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ลูกสาวก็นั่งอยู่ในรถ จะเป็นอะไรมั้ยถ้าเธอเอาลูกสาวไปทำงานด้วย เจ้านายก็แสนดีบอกให้เธอพาลูกมาทำงานได้ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวทางร้านจะช่วยดูแลลูกให้เอง เมื่อแชนทาเฟมาถึงร้าน เธอก็จัดที่นั่งให้ลูกนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งในมุมที่เธอและเจ้านายจะมองเห็นได้ ฮาร์เปอร์เล่าถึงความน่ารักของลูกสาวของลูกน้องตัวเองว่า หนูน้อยเอาแต่ทำตาโตจ้องมองเธอและแชนทาเฟ เธอหาอะไรให้หนูน้อยไว้เล่นแก้เบื่อ และก็หาอะไรให้กินนิดหน่อย ซึ่งหนูน้อยดิลินก็ทำตัวดีมาก ไม่ร้องไห้โยเยเลย หลังจากนั้นไม่นาน แบรด มาร์แชลล์ (Brad Marshall) และ ออสติน ไวท์ (Austin White) สองตำรวจซึ่งมาซื้อกาแฟที่ร้านเป็นประจำแทบทุกเช้าก็เดินเข้ามาในร้าน เมื่อรับรู้สถานการณ์ทั้งคู่ก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือทันที แบรดและออสตินไม่เพียงมาซื้อกาแฟ หากแต่ยังช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้หนูน้อยเป็นเวลาถึง 2 ชั่วโมง คอยอุ้มคอยเล่นด้วยตลอดเวลาไม่ให้คลาดสายตาเลยแม้แต่น้อย ฮาร์เปอร์และแชนทาเฟทำงานไปก็มองภาพน่ารักประทับใจที่ได้เห็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตัวโต […]
ขายให้เป็น เห็นเงินล้าน โอม – กิตติทัต ปานคง กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอเชีย โปรดัก ซัพพลาย จำกัด
ขายให้เป็น เห็นเงินล้าน โอม – กิตติทัต ปานคง กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอเชีย โปรดัก ซัพพลาย จำกัด หลายคนเริ่มทำธุรกิจ เพราะมีความฝันอันแรงกล้า แต่ถ้ามีใครคนหนึ่งบอกคุณว่ามีคนที่เริ่มธุรกิจจากความต้องการรับประทานอาหารดีๆ ในงานสัมมนา คุณจะเชื่อไหม และคุณโอม – กิตติทัต ปานคง คือคนคนนั้น ไม่มีความสุขกับการอยู่ในกรอบ ผมเกิดในครอบครัวต่างจังหวัด ครอบครัวของผมฐานะปานกลาง คุณพ่อเป็นตำรวจ ครอบครัวเรามีกัน 4 คน คือ คุณพ่อ คุณแม่ ผม และน้องสาว ผมเป็นเด็กเรียนดี เพราะคุณพ่อเคี่ยวเข็ญ บังคับว่าต้องเรียนให้ดี ท่านเอาตัวเลขเป็นที่ตั้งว่าต้องสอบได้ที่ 1 – 3 เท่านั้น ผมก็ทำได้มาตลอด จนกระทั่งครั้งหนึ่งผมสอบได้ที่ยี่สิบกว่า ตอนนั้นคุณครูเรียกผู้ปกครองมา พอคุณพ่อทราบเรื่อง ท่านบอกว่าพ่อขาอ่อนเลยนะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ผมเพิ่งโดนคุณพ่อตีจริงจังเป็นครั้งแรกช่วงประถมศึกษาปีที่ 3 ผมรู้ว่าเราไม่ได้แย่ลง แต่ทุกคนเขาก็เก่งขึ้นหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในตอนนั้น ตอนสอบเข้าโรงเรียนมัธยม ผมรู้ตัวเลยว่า ถ้าผมสอบได้ไม่ดีต้องโดนคุณพ่อจัดการอีกแน่ […]
อยู่คนเดียวให้ได้ แง่คิดธรรมะดี ๆ โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
อยู่คนเดียวให้ได้ แง่คิดธรรมะดี ๆ โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ เห็นท่านนะ ไม่เหมือนฆราวาส ฆราวาสอายุเยอะขึ้น แค่เกษียณอายุก็แย่แล้วละ เกษียณอายุใจก็เศร้าหมองแล้ว เคยมีอํานาจก็ไม่มี รายได้ก็ลดลง อะไรอย่างนี้ ลําบาก กลุ้มใจ กลุ้มใจแล้วก็เลยคิดมาก 1 ทําไมลูกไม่มาเยี่ยม หลานไม่มาเยี่ยม โกรธมันอีก พอมันมาก็ด่ามัน มันก็ยิ่งกลัวหนักใหญ่ มันไม่มาเลย คราวนี้ไม่มาก็เที่ยวด่ามันลับหลังอีก ใจเต็มไปด้วยโทสะ ไม่มีความสุข พวกเราเตรียมตัวไว้นะ วันข้างหน้าตอนที่เราแก่ มันไม่มีแล้ว ระบบครอบครัวแบบโบราณ อยู่ตัวคนเดียวแทบทั้งนั้น อยู่กันสองคนบ้าง อยู่คนเดียวบ้าง 2 วันข้างหน้าเราจะเหงา เราจะว้าเหว่ “ถ้าเราภาวนาไม่เป็น” เหมือนพวกฝรั่งแก่ ๆ ถึงมีเงินก็เหงา คุยกับหมา คุยกับแมวไปวัน ๆ คุยกับคนไม่ได้ ไม่มีใครคุยด้วย ต่างคนต่างอยู่ 3 วันข้างหน้าพวกเราก็จะเหงามากนะ “ต้องฝึก” ฝึกการอยู่คนเดียวให้ได้ ที่จริงเราไม่ได้อยู่คนเดียว เราอยู่กับธรรมะ 4 […]
สนทนาธรรมร่วมสมัย ระหว่าง “พระนักเผยแผ่รุ่นใหม่” และ “ลูกศิษย์สุดแนว”
ฉบับนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ พระวิปัสสนาจารย์ผู้มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ได้มาให้ความรู้ทางธรรมและตอบข้อสงสัยที่หลายคนอยากรู้โดยมีลูกศิษย์สุดแนว ป๊อด – ธนชัย อุชชิน เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ ตั้งคำถามสุดจี๊ด พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั้งทางโลกและทางธรรมกับพระอาจารย์ ก่อนการสนทนาธรรม Secret ได้ซักถามถึงความเป็นมาในการทำงานร่วมกันทั้งทางโลกและทางธรรมระหว่างพระอาจารย์และลูกศิษย์ ย้อนไปเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว คุณป๊อดและพระอาจารย์พบกันได้อย่างไรคะ พระอาจารย์นวลจันทร์ : เจอกันครั้งแรกที่สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า ประเทศเนปาล เมื่อก่อนอาจารย์ก็แทบไม่รู้จักป๊อดเลย แต่เคยได้ยินชื่อบ้าง เพราะเราเป็นพระสายปฏิบัติความเคลื่อนไหวทางโลกหายไป ช่วงที่อาจารย์พาคณะลูกศิษย์ไปอินเดีย และเดินทางไปที่เมืองลุมพินี ในประเทศเนปาลได้มาเจอป๊อดที่ที่พักโดยบังเอิญ หนึ่งในลูกศิษย์ที่ไปด้วยกันเป็นรุ่นพี่ของป๊อดที่โรงเรียนสวนกุหลาบฯ จึงชวนป๊อดมารู้จักพระอาจารย์ ป๊อด : ครับ รุ่นพี่คนนั้นชื่อ พี่ใหญ่ เจอกันโดยบังเอิญที่ที่พัก พี่เขาชวนมากราบพระอาจารย์ ผมก็เข้าไปกราบท่านพอได้เจอท่าน ท่านก็ชวนคุย แล้วพี่ใหญ่ก็แนะนำว่า “คนนี้ชื่อป๊อด เป็นนักร้องที่เรานำเพลงเขามาใช้ในคอร์สปฏิบัติธรรมครับ” ผมดีใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าเพลงของเรานำไปใช้ในสถาน-ปฏิบัติธรรมได้ด้วย จากนั้นท่านได้มอบหนังสือที่ท่านเขียนให้ผมนี่เป็นครั้งแรกที่พบท่านครับ วันนั้นคุณป๊อดก็ได้รู้ว่าตัวเองเกิดวันเดียวกับพระอาจารย์ด้วย ป๊อด : วันนั้นอยู่ ๆ พระอาจารย์ก็ถามว่าผมเกิดวันที่เท่าไหร่เดือนอะไร ปีอะไร ผมตอบไปว่า 24 พฤษภาคม 2514 ท่านก็ว่า “อ้าว ตรงกับอาตมาเลย” เลยได้รู้ว่าเกิดวันเดียวกับท่าน คุณป๊อดเข้ามาช่วยงานพระอาจารย์ได้อย่างไรคะ ป๊อด : หลังจากนั้น คุณจอม (ปรียวิศว์ โยธีพิทักษ์) ลูกศิษย์ท่านก็โทร.มาหา บอกว่าพระอาจารย์เชิญไปแลกเปลี่ยนมุมมองในคอร์สปฏิบัติธรรมของท่าน และให้เอากีตาร์มาเล่นดนตรีด้วยปกติผมเล่นคอนเสิร์ตให้คนสนุก กระโดดตัวลอย เฮฮาครั้งนั้นเล่นให้ผู้ชมที่ใส่ชุดขาว นั่งกับพื้นดู และทุกคนดูสงบถือเป็นมิติใหม่ในการแสดงดนตรีของผมมาก (หัวเราะ) พระอาจารย์ให้คุณป๊อดมาช่วยงานด้านไหนคะ พระอาจารย์นวลจันทร์ : จริง ๆ แล้วเขาก็เหมือนเทศน์กัณฑ์บทเพลง บทธรรม ถ้าฟังดี ๆ ก็เหมือนเทศน์กัณฑ์หนึ่งเลยนะคนทั่วไปอาจไม่ได้สนใจหรือตรึกตรองตรงนี้เท่าไร แต่พอทีมงานนำเพลงมาใช้ในหลักสูตรปฏิบัติธรรม เราเอาเพลงเขามาทำเป็นสื่อการสอน เช่น เพลง “มา” ที่มีเนื้อร้องว่า “ทุกอย่างแล้วก็ว่างเปล่า ทุกสิ่งเพียงแค่ชั่วคราว เมื่อเห็นทุกข์ในเรื่องราวและรู้ว่าทุกสิ่งต้องปวดร้าว” นี่เป็นหลักธรรมตั้งแต่ไตรลักษณ์หลักอริยสัจ เชื่อมโยงไปถึงวงจรปฏิจจสมุปบาท จึงมองว่าน่าจะมาทำงานเผยแผ่ธรรมะร่วมกันได้ เพื่อเสริมให้คนทั่วไปเห็นว่าธรรมะแฝงอยู่ทั่วไป ทั่วทุกอณูในชีวิต และทุกอย่างในโลก ในฐานะศิลปินเขาก็แฝงบทธรรมเหล่านี้ไว้ จึงขอให้เขามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ทางธรรมด้วยกัน เพราะฉะนั้นเวลามีคอร์สปฏิบัติธรรมจึงเชิญเขามาเสริมด้านเนื้อธรรม แก่นธรรม โดยเฉพาะหลัง ๆ มีคนรุ่นใหม่มาเข้าคอร์สกันมาก ถ้าเขาได้ฟังบทเพลงธรรมะประกอบก็จะปรุงจิตให้อ่อนโยน นี่แค่เพลงเดียวเองนะ เพลง “มา” ที่พระอาจารย์พูดถึงนี้ คุณป๊อดได้แรงบันดาลใจในการเขียนมาจากไหนคะ ป๊อด : หลังจากผมบวชประมาณ 4 เดือนครึ่ง เมื่อกลับมาเป็นฆราวาสก็ตรึกตรองดูว่าเราเข้าใจอะไรที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบ้าง จึงได้เขียนเพลง “มา” ซึ่งผมซ่อนความหมายในเนื้อเพลงไว้ว่า “(พระพุทธเจ้า) มาทำให้ฉันมีความสุข ในโลกที่ไม่เคยหยุด และไม่เคยรู้มาก่อน มาทำให้ฉันมองดูใหม่ ลึกลงไปในจิตใจ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน” ผมซ่อนความหมายนี้เอาไว้เนียน ๆ เพราะจริง ๆ แล้วเราแต่งเพื่อบอกตัวเอง ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่จะไปสอนใคร เราแค่เข้าใจอะไรก็เขียนเป็นเพลง เพื่อสอนใจตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพลง “มา” “ตาสว่าง” หรือเพลงอื่น ๆ ผมเพียงคิดว่าหากเพลงนี้ไปตรงกับชีวิตใคร แล้วทำให้เขาตาสว่างขึ้นด้วยนับเป็นเรื่องดี จนกระทั่งลูกศิษย์พระอาจารย์มาถอดรหัสและนำไปใช้ ซึ่งผมก็ดีใจที่สุดท้ายแล้วมันเป็นประโยชน์ต่อคนที่มาปฏิบัติธรรม การสนทนาธรรม ป๊อด : ในฐานะที่ผมเป็นคนทำงานในวงการบันเทิงมักได้ยินคำถามที่ว่า คนที่ทำอาชีพแบบนี้ คือในวงการบันเทิง ทั้งนักร้อง นักแสดง ทำให้คนเกิดกิเลส ผิดศีล พระอาจารย์เห็นอย่างไรครับ พระอาจารย์นวลจันทร์ : ลองตัดคำว่า “อาชีพแบบนี้” ออกไปก่อน และมองว่าอกุศล กาม หรือแม้แต่โทสะ หรือกิเลสอื่น ๆ ล้วนเกิดขึ้นที่ ใจเรา ไม่ได้เกิดขึ้นที่การเป็นนักร้องนักแสดง สิ่งสวยงามในโลกนี้ไม่ใช่กาม ทุกอย่างเป็นกลาง ๆและเป็นอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้เราเน้นดูที่ “ข้างใน”เพราะเรายังต้องอยู่กับโลก ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ คนส่วนมากมองว่า การละเล่น การแสดง การละครทำให้คนเกิดกิเลส เกิดอกุศล ถ้าตอบว่า “ใช่” แล้วอาชีพอื่นและสิ่งอื่น ๆ ในโลกนี้ล่ะ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส เกิดอกุศลเลยหรือ นอกจากนักร้อง นักดนตรี และนักแสดงแล้วสิ่งอื่น ๆ คุณไม่เคยมองเห็นโทษเลยใช่ไหม เช่น การช็อปปิ้งการกิน ไม่เป็นกิเลสเลยหรือ จริง ๆ แล้วทุกอย่างเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราดูเจตนาข้างใน แม้แต่ผู้ที่ทำอาชีพบันเทิงก็ต้องดูว่ามีจุดมุ่งหมาย ความตั้งใจจะสื่ออะไรให้ผู้ชม ผู้ฟัง มีเจตนาที่จะมอมเมาหรือยั่วให้คนที่ยังไม่เกิดโลภะให้มีโลภะ หรือที่ยังไม่เกิดโทสะก็ทำให้เกิดโทสะ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นอกุศล ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรามีเจตจำนงสนับสนุนให้เกิดการตื่น ตาสว่าง เกิดปัญญา เข้าใจชีวิต เข้าใจสัจธรรมว่า ทุกสิ่งเพียงชั่วคราว ทุกอย่างแล้วว่างเปล่า หากเป็นเช่นนี้ตอบได้เลยว่าไม่ผิดศีล เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าเรามีเจตนาเช่นไร ป๊อด : พระอาจารย์มีคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมสำหรับคนในวงการบันเทิงหรือทำงานกลางคืนอย่างไรบ้างครับ พระอาจารย์นวลจันทร์ : อาจารย์พูดเสมอว่า การปฏิบัติธรรมไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน ทำอะไรก็ทำไป แต่ไม่ไปจากธรรม ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าทำอะไร แต่อยู่ที่ว่ามีธรรมอยู่หรือเปล่าถ้าธรรมไม่อยู่แล้วก็ไม่น่าทำ เพราะธรรมไม่อยู่แล้วจะเป็นกรรม ถ้ายังเลิกทำอาชีพแบบนี้ไม่ได้ก็ให้มีธรรมประจำใจ เช่นสมาธิ สติ หรือกุศลอื่น ๆ โดยเฉพาะธรรมภาคปฏิบัติ เช่นการกลับมาดูลมหายใจเป็นช่วง ๆ ในระหว่างการทำงาน ทั้งกลางวันและกลางคืน หรือทำอาชีพอะไรก็ตาม แม้จะไม่ได้บริสุทธิ์ทั้งหมด แต่ช่วงเวลาที่กลับมาอยู่กับลมหายใจ จิตก็มีที่ตั้ง มีสติ มีสมาธิ เรียกว่า ธรรมยังประกบอยู่กับโลก ต่อให้อาชีพนั้นเป็นบาป เป็นอกุศล แต่ถ้าคุณไม่ได้เอาจิตไปอยู่กับงานตรงนั้นทุกวินาที ทุกนาที หรือทุกชั่วโมง โดยมีบางช่วงที่ถอนจิต ถอนความรู้สึกให้มาอยู่กับกุศล ให้ใจสงบ ร่มเย็นธรรมก็ยังมีส่วนร่วมกับโลก เมื่อธรรมอยู่กับโลก ธรรมก็คุ้มครองโลก ป๊อด : การปฏิบัติเช่นนี้น่าจะเหมาะกับทุกคนทุกอาชีพใช่ไหมครับ พระอาจารย์นวลจันทร์ : ส่วนมากจะเน้นอาชีพที่ล่อแหลมเมื่อเรายังไม่หลุดพ้นและยังต้องอยู่ในโลก ก็ไม่ควรหนีไปจากโลก แต่ขอแค่ให้ธรรมได้มีส่วนร่วมอยู่ในชีวิตของคุณ ขอให้ธรรมมีส่วนแทรก แหวก เจาะ ทะลุทะลวง แทรกเข้าไปในเวลาที่คุณประกอบกิจนั้น ๆ ให้ธรรมะภาคปฏิบัติ เช่น การดูลมหายใจชะแว้บเข้ามา ในช่วงที่อยู่กับลมหายใจจะไม่มีความคิดคำนึงถึงใคร ไม่มีเหตุการณ์ ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่จิตจะว่าง ว่างจากอารมณ์ ว่างจากโลภะ โทสะ โมหะ ว่างจากอกุศล ว่างจากกิเลส เมื่อจิตกลับมาอยู่กับกุศลได้มากเท่าไหร่ ก็จะลดปริมาณของการเกิดอกุศลได้มากขึ้นเท่านั้น ป๊อด : ถ้ายกตัวอย่างคนทำอาชีพโฆษณาล่ะครับบางครั้งต้องโกหก อวดอ้างสรรพคุณสินค้าการกระทำแบบนี้เป็นบาปหรือเปล่า พระอาจารย์นวลจันทร์ : แค่ “บางครั้ง” ดีแล้ว น่าอนุโมทนาแต่ถ้าไม่ใช่บางครั้ง แล้วเป็นทุกครั้ง อันนี้ไม่น่าอนุโมทนาเมื่อเรายังอยู่ในโลกิยะ อยู่ในวงการธุรกิจ วงการตลาดที่ต้องใช้กิเลสมาปรุงแต่งย้อมจิต ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถามว่าบาปไหม ก็ตอบว่าเป็นบาปแน่นอน แต่ไหน ๆ จะบาปแล้วก็ต้องมีความฉลาด หรือเรียกว่าการบริหารจัดการ ต้องฉลาดในการทำบาป คือนาน ๆ ทำที ไม่ได้ทำถี่ ๆ หากทำเพียงบางครั้งก็ถูกต้องแล้ว น่าอนุโมทนา ป๊อด : การทำบาปที่พระอาจารย์กล่าวถึงนี้ คือผิดศีลข้อ 4 ใช่ไหมครับ พระอาจารย์นวลจันทร์ : ถ้าทำงานอยู่ในวงการโฆษณา รักษาศีลข้อ 4 หรือข้อมุสายากมาก คุณก็ไม่ต้องสมาทานศีลข้อนี้เลยแต่อีกสี่ข้อก็ต้องรักษาอย่าให้ขาด ต้องรักษาไว้ให้ได้มากที่สุดความผิดพลาด ความบกพร่องมีอยู่หนึ่ง แต่ส่วนที่ดีมีประโยชน์มีอีกสี่ เราควรมามองที่สี่ข้อที่เหลืออยู่ ต้องรักษาไว้ให้ดี ป๊อด : ตอนนี้ผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยห่วงว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่มองว่าธรรมะเป็นเรื่องของคนสูงอายุเป็นเรื่องเชย พระอาจารย์มีกลยุทธ์อย่างไรให้เด็กวัยรุ่นหันมาสนใจธรรมะ พระอาจารย์นวลจันทร์ : ง่ายนิดเดียว กลยุทธ์อยู่ที่ “การนำเสนอ” ต้องให้เหมาะกับคนรุ่นใหม่ ธรรมะเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วแต่หลายคนไม่เข้าหาธรรมะเพราะรูปแบบการนำเสนอไม่น่าสนใจ ไม่ถูกจริต ไม่เร้าใจ จึงไม่มีโอกาสเรียนรู้แก่นธรรมถ้าเราหวังให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจธรรมะ อาจลองเปลี่ยนจากฟังพระเทศน์มาฟังเพลงธรรมะบ้างก็ได้ ป๊อด : พระอาจารย์ใช้วิธีการไหนในการนำเสนอธรรมะครับ พระอาจารย์นวลจันทร์ : หลักของอาจารย์อยู่ที่กลุ่มผู้ฟังหรือผู้รับ สมมุตินั่งฟังกันอยู่ แล้วเริ่มเห็นว่าบรรยากาศไม่ไหวแล้วก็พาเขาเปลี่ยนกิจกรรมไปทำอย่างอื่นบ้าง จริง ๆ แล้วอาจารย์ก็ดำเนินตามรอยพุทธจริยา พระพุทธเจ้าทรงมองดูกลุ่มผู้รับเป็นหลักเสมอ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับเขาเอง ไม่ใช่ว่าเราให้ในสิ่งที่เราอยากจะให้ แต่ควรคำนึงว่าเขาต้องการอะไรต้องมีศิลปะในการให้ คนรุ่นใหม่ไม่อยากเข้าวัด ต้องถามว่าวัดน่าเข้าไหมมีอะไรที่เด็กสนใจไหม จะไปโทษเด็กฝ่ายเดียวไม่ได้ เราต้องมองตัวเองด้วย แต่ตอนนี้ก็มีนิมิตหมายอันดี น่าอนุโมทนาที่มีนักเผยแผ่รุ่นใหม่หลายท่านปรุงวิธีการนำเสนอธรรมะได้อย่างลงตัว หากเขาไม่ได้สนใจพระ ไม่เข้าหาพระ เราก็ไม่ต้องเอาพระไปหาเขา หรือถ้าไม่อยากไปวัด ก็ไม่ต้องไปวัด สมัยนี้จึงมีสวนธรรม มีบ้านปฏิบัติธรรม อย่างน้อยคนที่รู้สึกไม่ดีกับวัดและพระก็ไปปฏิบัติธรรมได้ ตอนนี้ก็มีประยุกต์จัดบ้านจัดสวน จัดบรรยากาศโรงหนัง โรงละครในการเสนอธรรมะอย่างการจัดงานวัดลอยฟ้าที่สยามพารากอนที่ผ่านมา ทำให้คนได้ความรู้ทั้งทางโลกทางธรรม โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสียตอนหลังก็มีการนำเสนอช็อปปิ้งบุญ ธนาคารออมศีล กิจกรรมเหล่านี้ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ทั้งสิ้น ป๊อด : เรื่องวัยรุ่นชอบยกพวกตีกันก็เป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง เรื่องนี้พระอาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรครับ และทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดทุกยุคทุกสมัย พระอาจารย์นวลจันทร์ : จริง ๆ แล้วเกิดจากการปลูกฝังจากผู้ใหญ่และการเห็นชอบตามกันรุ่นต่อรุ่น เรียกได้ว่าเป็นวงจรที่สืบต่อกันมา เช่น เด็กรุ่นใหม่เห็นว่ารุ่นพี่ทำอะไรกันมาก็โอ้โห ฮีโร่ สุดยอด ซึ่งที่จริงแล้วการนำเสนอและการป้อนข้อมูลก็สำคัญ หากมีการให้ข้อมูลที่ไม่ดี แต่นำเสนอว่าดี เด็กรุ่นใหม่ไปเห็นก็กลายเป็นว่าข้อมูลที่ไม่ดีกลับเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่พึงกระทำ น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เช่น ถ้าเข้าอาชีวศึกษา ไม่ยกพวกตีกันเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นว่าเขามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดี ป๊อด : ผมเคยพูดในคอนเสิร์ตเวลาที่มีการตีกันว่า “ยุคนี้ยังตีกันอีกเหรอ เชยมาก” เขาจะรู้สึกอายว่าสิ่งที่เขาทำมันเชยเพราะอาจเคยคิดว่าทำแล้วเท่ แต่พอเราบอกไปว่ามันไม่ใช่ของเท่เลยนะ เขาเลยหยุดตีกัน พระอาจารย์นวลจันทร์ : วิธีที่ป๊อดพูดคือการป้อนข้อมูลใหม่ซึ่งเป็นคำตอบของปัญหานี้ได้ เราต้องสร้างค่านิยมใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นสิบปี ยี่สิบปี หรืออาจเป็นร้อยปี แต่เราต้องสร้างค่านิยมที่ว่าอย่าตีกันเลย เชยแล้ว ซึ่งเราต้องหาทางออกให้เขาด้วย ถ้าเราไม่บอกทางออก ไม่บอกวิธีทำ แต่ไปโทษเขาว่าไม่ดี ๆ แล้วดีคืออย่างไรล่ะ มีใครบอกไหมว่าดีคืออย่างไร ทำแบบไหน ไม่เห็นมีใครบอกเลย ป๊อด : อีกคำถามที่น่าสนใจคือ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่เรียกร้องและไม่คาดหวังกับความสัมพันธ์บาปไหม ในเมื่อใคร ๆ ก็ทำกัน พระอาจารย์นวลจันทร์ : ประเด็นนี้ดี ที่ว่า “เมื่อใคร ๆ ก็ทำกัน”ถามว่า เมื่อใคร ๆ ทำกัน แล้วเราต้องทำตามหรือ ไฉนเราต้องทำตามใคร ๆ เพราะเห็นใคร ๆ เขาทำ เราจึงต้องทำหรือ ทำไมไม่เป็นตัวของตัวเองบ้าง ถ้าสิ่งที่ใคร ๆ ทำกันไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรม จะทำอย่างไร กลายเป็นว่าเราต้องทำในสิ่งที่ไม่เป็นธรรมเหมือนที่ใครเขาทำกันน่ะสิ ฉลาดนักเหรอ เช่นเราเห็นคนโดดลงนรกไปเป็นหมื่นเป็นล้าน เรายังจะกระโดดลงไป อย่างนี้ฉลาดนักหรือ ป๊อด : พระอาจารย์มีคำแนะนำสำหรับคนที่กิเลสหนา ทั้งโลภ โกรธ หลง ให้มีดวงตาเห็นธรรมได้อย่างไรครับ พระอาจารย์นวลจันทร์ : คนเรามีกิเลสเท่ากันหมดนั่นแหละทุกคนกิเลสหนา ปัญญาทึบ ที่เรากลับมาเกิดเป็นปุถุชนอีกเพราะไม่มีใครกิเลสบางกว่าใครหรอก ตามพุทธวิธี ท่านจึงประทานหลักปฏิบัติมาให้ คือ มรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมนูญชีวิต เอามรรคทั้ง 8 ไปใช้ ไปสวมชีวิต แจกแจงและน้อมนำมาใช้ทีละข้อ เอามาใช้จริงในชีวิตประจำวัน น้อมนำมาใช้เท่าที่จะใช้ได้ บางวันอาจไม่ครบทั้ง 8 องค์ บางครั้งอาจนำมาใช้แค่ข้อใดข้อหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้ปฏิบัติตามพระศาสดา เพราะเมื่อปฏิบัติตามหลักมรรคแล้ว จะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด พ้นจากกิเลส หากบางคนไม่เข้าใจเรื่องมรรคมีองค์ 8 ก็ลองฟังแบบเป็นคีตะก็ได้ ลองให้ป๊อดเล่าประสบการณ์ที่ถ่ายทอดเรื่องมรรคมีองค์ 8 ออกมาเป็นเพลงให้ฟัง ป๊อด : พอดี พี่เอก – ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ทำโปรเจ็กต์“ด้วงแมงแสดงธรรม” โดยน้อมนำธรรมะ เช่น บทปฏิจจสมุปบาทและมรรคมีองค์ 8 มาแจกแจงให้อยู่ในท่วงทำนองเพลง ผมในฐานะนักร้องก็ต้องอ่านบทมรรคมีองค์ 8 ทั้งหมด ต้องทำความเข้าใจแต่ละประโยค เรียกว่าเริ่มจากผู้ส่งสารต้องซึมซับความหมายก่อนเลย และเชื่อว่าสารนี้จะเข้าไปแทรกอยู่ในสมองของคนฟัง หลังจากดูโชว์แล้วบางคนอาจนำมรรคไปใช้ อย่างน้อยถือเป็นการซึมซับโดยใช้ดนตรีเป็นพาหนะในการสื่อสาร โดยนำโอวาทของพระพุทธเจ้ามาสื่อถึงปุถุชน โปรเจ็กต์ด้วงแมงแสดงธรรมถือเป็นไอเดียหนึ่งในการนำเสนออย่างที่พระอาจารย์กล่าวมาครับ เมื่อผมได้มาถ่ายทอดเพลงนี้ ทำให้คิดถึงมรรคมีองค์ 8ได้คล่องขึ้น และได้เห็นความสัมพันธ์ของศีล 5 และมรรคมีองค์ 8 ว่ามีความทับซ้อนกันอยู่ ก่อนหน้านี้เราอาจมองแยกกันแต่เมื่อเข้าใจแล้วจะรู้ว่ามรรคมีองค์ 8 ก็คือศีล 5 ที่นำมาขยายความอีก เช่น ข้อมุสาของศีล 5 ขยายได้ไปถึงการไม่พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ซึ่งทำให้เราเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้น ป๊อด : โปรเจ็กต์ด้วงแมงแสดงธรรม อาจารย์คิดไว้นานหรือยังครับ พระอาจารย์นวลจันทร์ : ไม่ได้คิดอะไรเลย (หัวเราะ) ไม่ได้คิดอะไรล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะ ทุกอย่างมาตามเหตุ ตามปัจจัย ตามความลงตัวเป็นธรรมะจัดสรร แม้แต่คนที่มาร่วมก็ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะไปเจอใคร ที่ไหนทุกอย่างเป็นความประจวบเหมาะพอดี […]
Dhamma Daily: เคยพลาดทำแท้งมาครั้งหนึ่ง จะ ลดวิบากกรรม นี้ได้อย่างไรคะ
Dhamma Daily: เคยพลาด ทำแท้ง มาครั้งหนึ่ง จะลดกรรมนี้ได้อย่างไรคะ – ถาม: ดิฉันเคยพลาดทำแท้งมาครั้งหนึ่ง จะลดกรรมนี้ได้อย่างไรคะ พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ ตอบคำถามเรื่องนี้ไว้ว่า
วัดบุคคโล ประกายศรัทธาแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา
วัดบุคคโล ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตธนบุรี ย่านถนนเจริญนคร แม้ความงดงามของวัดจะดึงดูดให้ผู้คนไปเยี่ยมชมกันไม่ขาดสาย แต่ว่ากันว่า ประวัติความเป็นมาของวัดแห่งนี้ก็มีคุณค่าน่าจดจำและบอกต่อสู่คนรุ่นลูกรุ่นหลานเป็นอย่างยิ่ง
ความรัก ความทุกข์ ต้นเหตุของความสุขในปัจจุบัน – ต้อม รชนีกร พันธุ์มณี
ความรัก ความทุกข์ ต้นเหตุของความสุขในปัจจุบัน – ต้อม รชนีกร พันธุ์มณี – แน่นอนว่าความล้มเหลวในความรักสร้างทุกข์ให้เธออย่างมาก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป