มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล บริจาคเงินสมทบทุนการวิจัยเพื่อการรักษาโรคมะเร็ง

มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล บริจาคเงินสมทบทุนการวิจัยเพื่อการรักษาโรคมะเร็ง นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เมื่อดาราชายวัยรุ่นอย่าง มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล บริจาคเงินร่วมกับแฟนคลับมอบให้กับมูลนิธิศิริราช  อย่างที่ทราบกันดีว่าหนุ่มมาร์ชจะบริจาคเงินให้กับมูลนิธิศิริราช เพื่อเป็นการสมทบทุนการวิจัยเซลล์บำบัด เพื่อการรักษาโรคมะเร็งเนื่องในวันเกิดของเขา ซึ่งบริจาคอย่างนี้มาประมาณ 3 ปีแล้ว เมื่อ พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา ได้โพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัวถึงยอดบริจาคของผู้สนใจ แฟนคลับ และมาร์ชเองเป็นจำนวนเงิน 250,000 บาท       เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา มาร์ชได้โพสต์ข้อความพร้อมกับภาพถ่ายของใบเสร็จที่ได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับมูลนิธิศิริราชว่า “นอกจากที่ผมได้นำปัจจัยไปถวายสร้างพุทธคยามหาเจดีย์ เงินที่ทุกคนร่วมทำบุญกันมาอีกส่วนหนึ่งผมนำไปบริจาคให้ศิริราชมูลนิธิครับ อนุโมทนาบุญนะครับ”  ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเงินจำนวนนี้มาจากการบริจาคของบรรดาแฟนคลับ และการขายโฟโต้บุ๊ก ข้าวของเครื่องใช้ของตนเอง เป็นต้น       สาเหตุที่มุ่งเน้นบริจาคเกี่ยวกับโรคมะเร็งเพราะคุณแม่ป่วยเป็นโรคนี้อยู่ ตอนที่ท่านป่วย มาร์ชได้ทำการศึกษาเพื่อให้ตนเองได้เข้าใจโรคนี้มากขึ้น แล้วได้เห็นว่าโรคมะเร็งเป็นภัยร้ายที่คุกคามคนไทย การสมทบทุนวิจัยนี้จึงไม่ต่างจากการต่อสู้เพื่ออนาคต เขาเชื่อว่าถ้าวันหนึ่งการรักษาโรคนี้มีความล้ำสมัยจะเป็นผลดีต่อคนไทยและคนทั้งโลก มาร์ชยังเผยความในใจที่เป็นห่วงคุณแม่ แต่สุขภาพของท่านเป็นปกติและท่านก็มีความสุขดี สังเกตได้จากคลิปในยูทูปที่ท่านจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ถึงสุขภาพจิตของท่านจะดีมาก จนเหมือนว่าท่านไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเลย แต่คนรอบข้างต่างกลับรู้สึกปั่นทอนเพราะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดกับคนที่เขารัก […]

“ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวัง” บิ๊ก – ศรุต วิจิตรานนท์

“ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวัง” บิ๊ก – ศรุต วิจิตรานนท์ หลายคนรู้จัก บิ๊ก – ศรุต วิจิตรานนท์ ในฐานะดาราเจ้าบทบาท ที่ฝากผลงานละครไว้หลายเรื่อง และเขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในบทบาทของพระเพทราชา จากละครเรื่องบุพเพสันนิวาส เขายอมรับว่าชีวิตที่ผ่านมา สร้างวีรกรรมไว้มาก เพราะเป็นคนอารมณ์ร้อน ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา แต่เมื่อเขาได้มาพบธรรมะ ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป     ย้อนวันวานของเด็กเลือดร้อน ตอนนั้นผมเป็นเด็กเกเรมาก สร้างวีรกรรมไว้เยอะ ทั้งโดดเรียน ต่อยครู ต่อยกับเพื่อน และขโมยรถพ่อไปซิ่ง ถือว่าเป็นคนที่ขึ้นชื่อลือชาในโรงเรียนเลยก็ว่าได้ (หัวเราะ) มีเรื่องกับคนอื่นไปทั่ว แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องของเรานะ เป็นเรื่องของเพื่อนทั้งนั้น เพราะในช่วงเวลานั้นคำว่า “เพื่อน” มันสำคัญมาก ถ้าเพื่อนลำบากเราต้องช่วย ถ้าเพื่อนมีเรื่อง เราต้องมีเรื่องด้วย ผมเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทที่สีลมซอย 2 จนร้านพัง และที่ลานจอดรถใต้ดินของโนโวเทลที่สยามแสควร์ ต่อยกันถึงขั้นจมูกแตกก็เคยมาแล้ว คุณพ่อปวดหัวมากกับวีรกรรมของผม ท่านทราบเรื่องผมแอบสูบบุหรี่ตอนอายุยังไม่ถึง 15 ปี เพราะสมัยก่อนยังไม่มีการเซนเซอร์บุหรี่เหมือนอย่างในสมัยนี้ เห็นดาราเขาสูบ เขาถือบุหรี่ถ่ายรูป ตอนนั้นรู้สึกว่า ‘เท่ห์ชะมัด’ ก็เลยสูบบุหรี่ตามดาราตั้งแต่นั้นมา […]

ชีวิตบนทางสายกลางของพระเอกหนุ่ม ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์

ชีวิตบนทางสายกลางของพระเอกหนุ่ม ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ไม่เพียงเป็นพระเอกละครในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังไปโด่งดังถึงประเทศจีนด้วย หากย้อนกลับไป ณ จุดเริ่มต้น เขายอมรับว่าไม่เคยคิดว่าชีวิตจะเดินทางมาถึงจุดนี้ 0 เขาเคยเป็น 1 ใน 5 หนุ่มแพรวเมื่อปี พ.ศ. 2543 เป็นเวลา 17 ปีแล้วที่เขายังคงโลดแล่นอยู่ในแวดวงบันเทิง ในวัยใกล้ 40 ปี ด้วยความที่ยังดูดีจึงยังคงรับบทพระเอก วิธีคิดวิธีดําเนินชีวิตที่เขาบอกเล่าให้ฟังไม่ได้ซับซ้อนหรือยุ่งยากอะไรเลย หากเป็นความเรียบง่ายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง 0 นับเป็นการสัมภาษณ์และถ่ายปกที่สนุกสนานเฮฮาอย่างยิ่ง คงเพราะทั้งเขาและทีมงานรู้สึกเหมือนพี่น้องเพื่อนฝูงได้กลับมารวมตัวกันครั้งแรกของอดีตหนุ่มสาวแพรว ใน “Scotch Forever Young presents หนุ่มสาวแพรว Reunion” เขาจึงเล่าย้อนที่มาของการเป็นหนุ่มแพรวให้ฟังว่า 0 0 ” ตอนเด็กห่างไกลจากวงการนี้มาก ผมเรียนมัธยมที่เซนต์คาเบรียล มีแต่เตะบอลตามประสาเด็กผู้ชาย จบมัธยมก็ไปเรียนต่อปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วก็ไปต่อปริญญาโทที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จําได้ว่ารุ่นพี่ที่เซนต์คาเบรียลที่สนิทกัน แฟนเขาทํางานที่อมรินทร์พริ้นติ้งฯมาบอกว่าให้ไปสมัครตอนแรกผมไม่ยอม บอกว่าอาย แต่เขาก็คะยั้นคะยอจนผมตกลง 0 […]

จากเด็กแสบที่เคยทำพ่อแม่เสียใจ สู่ชีวิตที่คิดได้เมื่อเข้าถึงความเป็นพุทธของ ท็อป จรณ โสรัตน์

จากเด็กแสบที่เคยทำพ่อแม่เสียใจ สู่ชีวิตที่คิดได้เมื่อเข้าถึงความเป็นพุทธของ ท็อป จรณ โสรัตน์ “โชคดีแค่ไหนแล้วที่ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์สำคัญที่พ่อแม่ เพราะถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีเรา เมื่อเติบใหญ่จงอย่าลืมทดแทนคุณแต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็อย่าทำให้ท่านทุกข์ อย่าทำให้ท่านเสียใจ “ สิ้นเสียงเทศน์สอนนาค ผมหรือนาคท็อป ณ ตอนนั้นก็ถึงกับสะกดอารมณ์ไม่อยู่“น้ำตาร่วง” ต้องรีบก้มหน้าลง เอามือเช็ดเป็นพัลวัน เพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าผมกำลังร้องไห้ น้ำตาที่ร่วงในวันนั้นไม่ใช่แค่ซาบซึ้งใจแต่เพราะผมรู้สึกผิดที่เคยทำให้แม่ร้องไห้ เคยทำให้พ่อเสียใจมาหลายต่อหลายครั้ง…เรื่องมีอยู่ว่า ผมเติบโตมาในครอบครัวทหาร ดังนั้นคุณแม่จึงต้องเข้มงวดและกวดขันลูกๆ มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลูกชายคนโตอย่างผม “ยิ่งโดนหนัก” นัยว่าต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้อง ตอนนั้นสิ่งที่คุณแม่ย้ำเสมอๆ คือเรื่องระเบียบวินัย โดยเฉพาะการแต่งกายที่ถึงขั้น “เป๊ะเว่อร์” เช่น ผมต้องตัดให้สั้น ดูสะอาดตาเสมอ ถ้าออกจากบ้านก็ต้องเอาเสื้อใส่ในกางเกง ใส่ถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบทุกครั้งห้ามใส่รองเท้าแตะเด็ดขาด นอกนั้นก็มีเรื่องสำคัญๆ อย่างเช่น เสาร์ – อาทิตย์ห้ามไปเที่ยวเล่น ห้ามไปนอนค้างบ้านเพื่อน     ด้วยข้อจำกัดมากมายนี่เองที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองเป็นเด็กเก็บกดหน่อยๆ ดังนั้นพอถึงโรงเรียน ไกลหูไกลตาคุณพ่อคุณแม่ปั๊บผมก็รีบสลัดกรอบพวกนี้ออกจนหมด ตอนนั้นคิดแบบเด็กๆ ว่า “เกเร” แล้วเท่ชะมัด เพื่อนที่ผมเลือกคบจึง ออกแนวนี้หมดเลย เราจะพากันไปนั่งหลังห้อง นั่งคุย นั่งเล่น […]

keyboard_arrow_up