ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

“เยียวยาเจ้านายตัวเองซะ ก่อนที่จะประสาทกิน!” คุยปัญหาน่าปวดหัวกับ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

เยียวยาเจ้านายตัวเองซะ ก่อนที่จะประสาทกิน!”  คุยกับ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ เจ้าของเทคนิคสร้างสันติในที่ทำงาน

บางคนอาจรู้จัก ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ในฐานะอดีตวิศวกรนาซ่า บางคนอาจคุ้นตาในบทบาทของนักวิชาการ สมัยที่ยังเป็นอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหลายคนอาจพบเห็นอาจารย์บ่อยครั้งตามสื่อต่างๆ ในฐานะอาจารย์สอนธรรมะ ที่มีลีลาการบรรยายธรรมแบบตรงไปตรงมา และเข้าถึงคนง่าย

นอกเหนือจากบทบาทนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ และนักปฏิบัติธรรม ตามที่กล่าวมา อาจารย์ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรชั้นนำหลายต่อหลายแห่งในประเทศ เพื่อผลักดันให้บริษัทเหล่านั้นเข้าถึงใจคน เข้าใจสังคม และเข้าใจธรรม มากกว่ามุ่งหวังกอบโกยเงินอย่างบ้าคลั่ง…บทบาทนี้ต่างหากที่ทำให้เราสนใจในตัวอาจารย์ และพกเอาข้อสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาน่าปวดหัวระหว่างเจ้านายกับลูกน้องในที่ทำงานมานั่งพูดคุยกันในวันนี้

ทุกวันนี้เวลาเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้บริษัท อาจารย์ต้องสอนอะไรให้กับผู้บริหารบ้างคะ

อาจารย์จะเข้าไปสองแบบ คือหนึ่งเป็นที่ปรึกษา สองเข้าไปอบรม คือเข้าไปทำโค้ช (Coach) ฟา (Facilitator) เมนทอร์ (Mentor) ช่วยสร้างทีมบิวดิ้ง (Team Building) ให้กับบริษัท

ได้ยินชื่อเทคนิคโค้ชและเมนทอร์บ่อยๆ แต่ไม่คุ้นกับเทคนิค “ฟา” เลย เทคนิคนี้ช่วยเรื่องอะไรคะ

ปัญหาของประเทศไทยตอนนี้เลยคือ ทะเลาะกันในห้องประชุม แล้วตัวเบอร์หนึ่งของบริษัทคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นฟาคือคนที่เข้าไปคอยควบคุม ใช้จิตวิทยากลุ่มให้ทุกคนคุยกัน จนกระทั่งกลั่นกรองสิ่งต่างๆ ออกมาจากสมอง ไม่ใช่หมดเวลาไปกับการเล่นการเมืองในห้องประชุม หมดเวลาไปกับการหลอกเจ้านาย หรือเจ้านายทุบโต๊ะด่าลูกน้อง ประเทศไทยมันเสียเวลาตรงนี้มากเลย บางทีประชุมกันถึงดึกๆ ดื่นๆ สุดท้ายก็ไม่ถึงไหน เพราะฉะนั้นฟาเขาจะเป็นคนคุมเกมให้มันอยู่ในร่องในรอย

ฟาอีกรูปแบบหนึ่งคือคนที่เข้าไปเปลี่ยนพฤติกรรมคน โดยที่คนๆ นั้นไม่รู้ตัว เข้าไปประกบ เข้าไปอยู่ด้วย เข้าไปยิงคำถาม เข้าไปชวนคุย ค่อยๆ แก้สถานการณ์ โดยคุณไม่มีสิทธิรู้ได้เลยว่าเขาเป็นฟา เรียกว่าเป็นโค้ชแบบลึกลับ

หรือบางทีฟาจะทำหน้าที่จะหลอกคนๆ นั้นไปทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง พอเรียนจบแล้วเขาจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามันคืออะไร มันเป็นการเรียนรู้แบบ Action learning (การเรียนรู้จากการลงมือทำ)

“เจ้านายส่วนใหญ่ไม่เคยฝึกสันดานมาก่อน

ส่วนใหญ่เก่งแต่งาน แต่ไม่เก่งเรื่องคน”

ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์อยากจะให้ลูกศิษย์เรียนรู้เรื่องทีมเวิร์ค จะหลอกพวกเขายังไงให้รู้จักทีมเวิร์ค อาจารย์ก็เอาง่ายที่สุดเลยคือเล่นเกมออนไลน์ แต่ละคนมันมีความสามารถไม่เหมือนกัน บางคนเป็นตัวตี บางคนเป็นนักร่ายเวท  ระหว่างเล่นเราจะเห็นบุคลิกคน บางคนเกรียนมากเลย บางคนมันไม่สื่อสาร ตัวใครตัวมัน ไม่คำนึงถึงทีม ฟาต้องจัดหาเรื่องพวกนี้มาหลอกให้เขาทำ สุดท้ายเขาก็จะค้นพบว่า นี่คือทีมเวิร์ค

หรือถ้าอยากจะให้ผู้บริหารเรียนรู้เรื่องความยากจน อาจารย์ก็พาผู้บริหารไปฝังตัวอยู่ในสลัมสักสองคืน มันไม่ได้อยู่ในบทเรียนนะ แต่พาเขาไปเจออย่างนั้นจริงๆ หรือเรารู้ว่า ผู้บริหารคนนึงมีนิสัยงกๆ เค็มๆ ก็อาจจะแก้ปัญหาขี้งก ขี้เค็ม ด้วยการไปนั่งคุยกับเขา ศึกษาเขา โดยไม่ให้เขารู้ตัว แล้วหลอกเขา ด้วยการเอามะม่วงไปฝากบ้าง เอาทุเรียนไปฝากบ้าง ให้เขารู้จักการให้ แล้วหลอกให้เขาไปเจอคนจน พาเขาไปดูแลคนพิการ ทำให้ใจเขาซอฟต์ลงเรื่อยๆ แต่ผู้บริหารบางคนมันไม่เอาจริงๆ นะ มันงกอยู่ในเส้นเลือด ในดีเอ็นเอเลยก็มี ไอ้พวกอย่างนี้บางทีก็เอาออกจากบริษัทไปเลยดีกว่า เพราะเขาจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลกับคนในบริษัททางลบ ผู้บริหารแบบนี้อยู่แล้วลูกน้องมันก็เกลียดทั้งบริษัท

เจ้านายส่วนใหญ่ไม่เคยฝึกสันดานมาก่อน ส่วนใหญ่เก่งแต่งาน แต่ไม่เก่งเรื่องคน เป็นเพราะระบบการศึกษาไทยมีแต่วิชาการ ไม่ได้สร้างคนให้เข้าใจคน ไม่ได้สร้างคนให้เป็นทีม การศึกษาไทยล้มเหลว เอาเด็กไปขังไว้ 20 ปี สอนแต่ให้ท่องจำหมดเลย ประเทศไทยเลยล้าหลังชาวบ้าน จนตอนนี้ไล่จีนไม่ทันแล้ว

ถ้าอาจารย์สามารถออกแบบหลักสูตรของมหาวิทยาลัยได้ อาจารย์คิดว่า ควรจะมีวิชาอะไรเพิ่มขึ้นมาเพื่อพัฒนาคนรุ่นใหม่บ้างคะ

ต้องเริ่มจากไม่เอาวิธีคัดเข้า ต้องเลิกเอนทรานซ์ แล้วก็บอกพวกอาจารย์มหาวิทยาลัยว่า อย่าดูแต่วิชาการของเด็กม.6 คุณจะต้องดูพฤติกรรม ดูเรื่องนิสัยก่อน อาจารย์มหาวิทยาลัยมันบ้าเลือด เอาแต่เฉพาะวิชาการที่ตัวเองอยากได้ ทำให้วิชาดีๆ ในโรงเรียนที่ต้องส่งเสริมน้ำใจ วิชาดีๆ ที่ส่งเสริมให้รักผู้คน วิชาดีๆ ที่ให้ทำงานเป็นทีม วิชาดีๆ ที่สอนเรื่องประวัติศาสตร์ สอนเรื่องจริยธรรมหายเกลี้ยงเลย สุดท้ายทำลายประเทศไป 20 ปี กว่าเด็กคนนึงจะเข้าใจว่าอะไรคืออะไร จนจบปี 4 มาทำงานแล้ว เขายังไม่รู้เลยว่าศีลธรรมคืออะไร มารยาททางสังคมคืออะไร น้ำใจคืออะไร แม้แต่ประวัติศาสตร์ ศาสนาเขายังไม่รู้จักกันเลยเดี๋ยวนี้ สุดท้ายภาพที่เราเห็นคือเจ้านายลูกน้องคุยกันไม่รู้เรื่อง ลูกน้องกับลูกน้องก็ไม่รู้เรื่อง นายกับนายก็ไม่รู้เรื่อง ทุกคนเห็นแก่ตัวกันหมด ถามว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยรับผิดชอบไหม ก็ไม่รับผิดชอบ เพราะฉะนั้นตัวที่ทำให้ประเทศชาติมีปัญหาตอนนี้คือ การสอบเอนทรานซ์

ต่างประเทศเขาเปลี่ยนใหม่เลยนะ สมมติคุณอยากเป็นหมอ เขาให้คุณเรียนเลย ไม่ต้องสอบเข้า แค่จำกัดว่าต้องจบวิทยาศาสตร์สายชีวภาพมาก่อนเท่านั้น แล้วเดินเข้าคณะแพทย์ได้เลย จบเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่ผ่านก็ซ้ำปีหนึ่ง ไม่ไหวก็ออก บางคนจบหมอตอนอายุ 50 ก็มี แต่ของเราไม่ใช่ ต้องเด็กเท่านั้นที่จะเข้ามาเรียนได้ ต้องมาแข่งขันกัน เราไม่ปรับตัว ไม่คิดใหม่ทำใหม่สักที อาจารย์มหาวิทยาลัยยังมีความกลัวอยู่เยอะ

คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

ทุกวันนี้บ้านเราเริ่มพูดถึงและชื่นชมระบบการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ ที่ไม่ได้เน้นแต่วิชาการในตำรา ไม่มีการบ้าน ไม่มีการวัดผลด้วยเกรดเฉลี่ย แต่สอนให้เด็กได้ฝึกคิด ฝึกทำ ไม่เคร่งเครียด ไม่แข่งขัน มันจะเป็นไปได้ไหมที่ประเทศไทยเราจะไปถึงจุดนั้นได้บ้าง

เป็นไปได้ แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือเผากระทรวงศึกษาธิการทิ้ง (หัวเราะ) คำว่าเผา ไม่ใช่เผาจริงๆ แต่หมายถึงสร้างกระทรวงศึกษาธิการให้มันหลากหลายขึ้น อย่าให้ขึ้นกับราชการก็พอ และมีกติกานิดเดียวเองนะ ขอให้สอนศาสนาพุทธ ไม่อย่างนั้นศาสนาพุทธจะหมดไปจากประเทศไทยแน่นอน

อย่างไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นความฝันเนอะ เพราะอย่างนี้บริษัทสมัยใหม่เขาจึงเริ่มมีมหาวิทยาลัยของเขาเอง เริ่มสอนคนของเขาเองมากขึ้น เริ่มสร้างคนพันธุ์ใหม่ขึ้นมา งานของอาจารย์ก็เป็นเรื่องพวกนี้ ใช้วิธีสอนตรงๆ ไม่ได้ ต้องใช้การโค้ช การฟา และเมนทอร์เข้าไปช่วย

บริษัทดีๆ เขาจะมองไปที่พฤติกรรมมากกว่าผลงาน ตามปรัชญาของตะวันออก เขามองว่าถ้าคนนิสัยดี สันดานดี ผลงานดีแน่นอน ผู้ใหญ่สมัยใหม่ยังด่าเด็กเล่นเกมออนไลน์อยู่เลย อาจารย์ก็เล่นเกมออนไลน์ แต่เอามาใช้สอนทีมเวิร์คได้ ใช้ปรับนิสัยคนก็ได้ คุณไม่เล่น แล้วก็ปฏิเสธทุกอย่าง เจ้านายอย่างนี้ ลูกน้องรุ่นใหม่มันก็เหนื่อย แล้วพอเด็กรุ่นใหม่ไม่มาทำงานด้วยก็บ่นว่า ทำไมเดี๋ยวนี้มีแต่สตาร์ทอัพ ทำไมสมัยนี้ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์กร ก็เจ้านายอย่างคุณมันห่วย แก่แล้วยังใจร้าย ตาแก่ใจร้าย ใครเขาจะทำงานกับคุณ

“พอเด็กรุ่นใหม่ไม่มาทำงานด้วย ก็บ่นว่า

เดี๋ยวนี้มีแต่สตาร์ทอัพ ทำไมสมัยนี้ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์กร

ก็เจ้านายอย่างคุณมันห่วย”

แล้วถ้าต้องเจอตาแก่ใจร้ายในที่ทำงานจริงๆ ลูกน้องจะมีวิธีรับมือกับการเมืองในที่ทำงานได้อย่างไรบ้างคะ

ถ้าเป็นไปได้ก็ลาออก บริษัทห่วยๆ พวกนี้ จะไปอยู่กับมันทำไม ทำไมคุณต้องเอาชีวิตคุณไปรันทดกับผู้ใหญ่ใจร้ายพวกนี้ มันเหนื่อย ให้ไปทำสตาร์ทอัพ อาจารย์แฮปปี้กว่านะ จนหน่อย แต่เราก็มีร้านเป็นของเราเอง ไม่ต้องมายุ่งเรื่องการเมือง ในโลกอนาคต บริษัทใหญ่ๆ จะล้มลงเรื่อยๆ จะกลายเป็นบริษัทเล็กๆ ซึ่งขึ้นตรงกับบริษัทใหญ่ ถ้าคุณอยู่ในบริษัทที่มีการเมืองเยอะๆ แนะนำเลยว่า ข้อที่หนึ่ง  ออกได้ก็ออกไปซะ คนรุ่นใหม่ใจดีมีเยอะแยะที่เขาเปิดบริษัทกันเอง ข้อที่สอง ถ้าออกไม่ได้ ก็มองเสียว่าสรรพสิ่งต่างๆ เป็นแบบฝึกหัด ฝึกธรรมะเรา ฝึกอดทนอดกลั้น แต่ถามว่าจะทนได้เท่าไหร่ ข้อที่สาม คือมาเรียนโค้ช ฟา เมนทอร์ แล้วไปบำบัดเจ้านาย

เจ้านายพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นโรคนะ โรคเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณ ชีวิตเขาทั้งชีวิตตั้งแต่เล็กจนเรียนจบก็แข่งขันมาตลอด จากนั้นพอมาทำธุรกิจเขาเครียดนะ จนกระทั่งหัวใจมนุษย์หายไป เขาเหมือนหุ่นยนต์ เหมือนหุ่นฟาง เขาไม่ใช่คนแล้ว เขาป่วย แล้วไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเงินแสนล้านพันล้านจะเอาไปทำอะไร แล้วพอพวกผู้ใหญ่พวกนี้รวยมาก ตำแหน่งสูงมาก จะกลายเป็นคนที่ไม่ฟังใคร หรือพูดอีกอย่างคือ ด้อยโอกาสในการศึกษา ไม่ยอมเรียนรู้ แล้วใครจะไปกล้าสอนนาย น้ำเต็มแก้วอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเขาก็อยู่ในโลกของเขา และในที่สุดเขาก็จะถูกบริษัทที่ใหญ่กว่าฮุบเขาในที่สุด เห็นไหมว่า บริษัทต่างๆ ในประเทศไทย ตอนนี้โดนต่างชาติฮุบไปเยอะแยะเลย

ถ้าบริษัทเลือกรับคนที่นิสัยเป็นหลัก เลือกคนที่สามารถทำงานเป็นทีมเวิร์คเก่ง แล้วอย่างนี้คนเก่งวิชาการยังจำเป็นสำหรับบริษัทอยู่ไหม

จะกินนมวัว ต้องซื้อวัวมาเลี้ยงที่บ้านไหม ไม่ต้อง แค่ซื้อกระป๋องนมมา แค่นั้นเอง  เรื่องบางเรื่อง ถ้าต้องการความรู้วิชาการ ก็แค่จ้าง Subcontract จ้างนักวิชาการมาเล่าอะไรให้เราฟัง ให้เขาประดิษฐ์อะไรให้เรา แต่คนของเราสิต้องอารมณ์ดี ต้องมองการตลาดออก สตีฟจ๊อบส์ก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง แต่เขารู้ว่าจะให้ใครทำเรื่องอะไร เขาใช้ความรู้สึกว่าโทรศัพท์สมัยใหม่ ต้องมีฟิลลิ่งแบบนี้ อารมณ์แบบนี้ เขาก็จ้างคนอื่นทำต่อ ไม่เห็นจำเป็นต้องเอาคนเก่งวิชาการมาอยู่ในบริษัทเลย

สังเกตได้ว่าคนที่เรียนหนังสือเก่ง มักจะจัดการไม่เก่ง เพราะเขามัวแต่จัดการตัวเองในการเรียนหนังสือ แต่ขาดทักษะการจัดการเพื่อนๆ ขาดทักษะการเอาตัวรอด ขาดทักษะการจัดการกับคน ขาดทักษะการเข้าใจมนุษย์ สี่ปีในมหาวิทยาลัย เราหมดไปกับอะไรล่ะ ถ้าหมดเวลาไปกับกองหนังสือ ก็ได้เกียรตินิยมไป หมดเวลากับเพื่อน เข้าชมรม หมดเวลากับการทำงานกิจกรรม ก็ได้เรื่องคน ฉะนั้นต้องแบ่งเวลาให้มันต้องสมดุล อย่าสุดโต่ง

คนไทยบ้าเรียนดอกเตอร์ซะเยอะ และถ้ามีสูงกว่าดอกเตอร์ ก็คงจะเรียนกันอีก พอจบดอกเตอร์กลับมา ก็ไม่เข้าใจเรื่องทีมเวิร์ค เพราะทั้งชีวิตเจาะลึกไปคนเดียว ทำงานวิจัยอยู่คนเดียว แล้วก็ไม่ได้ฉลาดกว่าเดิมเลย ดีไม่ดี รู้ลึกโง่กว้าง ไม่ได้อะไรขึ้นมา ข่าวดีคือในอนาคตมหาวิทยาลัยไทยกำลังจะเจ๊ง เพราะเริ่มไม่มีเด็กเรียน เนื่องจากคนไทยไม่ค่อยปั๊มลูกกัน ขณะเดียวกันเด็กก็นิยมไปเรียนต่อเมืองนอก เพราะค่าใช้จ่ายเดี๋ยวนี้ถูกกว่าแต่ก่อน เรียนเมืองไทยแล้วอาจารย์ไม่ได้สอนบุคลิกภาพ มีให้แต่วิชาการ

คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

ถ้าถึงวันที่มหาวิทยาลัยไทยเจ๊งหมด อาจารย์คิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นคะ

คงไม่หมดหรอก แต่เจ๊งเยอะ อาจารย์ว่ามันน่าจะดีขึ้น มันจะมีโฮมสคูล มีบริษัทสมัยใหม่ที่ไม่สนใจวุฒิ คุณจะเรียนก็ได้ไม่เรียนก็ได้ อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ต้องเก่งจริง ถึงให้คนมาเรียนด้วย ถ้าเขาไม่เก่งจริง ก็ไม่จำเป็น พวกครูหรืออาจารย์ที่แท้จริง มันซ่อนตัวอยู่ตามบริษัทต่างๆ มนุษย์เราไม่ได้อยู่ได้ด้วยวิชาการอย่างเดียว มีก็ดี แต่สิ่งที่เราต้องการคือหัวใจ ความสุข ความรัก ความเมตตา เราถูกการศึกษาแบบตะวันตกหลอกให้ไปบ้าผลงาน บ้าวิชาการกันหมด เราลืมสิ่งที่คนจีนพูดกันว่า “ศรัทธาในตัวกันและกันด้วย”

ถ้าระบบการศึกษาไทยไม่มีวิชาพุทธศาสนาแล้ว เราจะทำอย่างไรให้คนยังคงยึดมั่นในเรื่องศีลธรรม

ศาสนามันไม่ได้วัดผลด้วยจำนวนการนับถือว่ามีกี่คนนะ จริงๆ คนไม่เข้าวัด แต่เขาเป็นคนใจดี เป็นคนมีน้ำใจ อาจารย์ถือว่าเป็นคนมีศาสนาแล้ว คนที่ไม่เคยกราบพระ แต่หัวใจโคตรใสสะอาดเลย เนี่ย คนนี้แหละใช่ แต่คนที่ไปวัดทุกวัน แล้วตอแหล โกง โวยวาย เพ่งโทษคนอื่น ไอ้นี่ไม่ใช่ ไอ้นี่กระพี้ พวกหลงผิด

วิธีแก้ก็คือทำชมรมสอนธรรมะ สอนโยคะ สอนนั่งสมาธิ พากันปฏิบัติธรรม รวมตัวกันทำเพื่อสังคม ต้องช่วยกันอย่างนี้ อย่างทุกวันนี้อาจารย์ก็ทำอยู่ สื่อที่มาทางธรรมก็ต้องช่วยกันเรื่อยๆ ช่วยกันเยียวยาสังคม

“คนที่ไม่เคยกราบพระ แต่หัวใจโคตรใสสะอาดเลย เนี่ย คนนี้แหละใช่

แต่คนที่ไปวัดทุกวัน แล้วตอแหล โกง โวยวาย เพ่งโทษคนอื่น

ไอ้นี่ไม่ใช่ ไอ้นี่กระพี้ พวกหลงผิด”

มีคำถามยอดฮิตที่ลูกน้องหลายคนสงสัย ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อโลก Social ทำให้คนทำงานรู้สึกว่าไม่มี Work-life balance เพราะถูกเจ้านายตามงานตลอด อาจารย์ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ

อย่างที่บอก ให้กลับไปข้อหนึ่งใหม่ ลาออก ข้อที่สอง ถือเสียว่าปฏิบัติธรรม ฝึกอดทนอดกลั้น ข้อที่สาม ไปเรียนวิชาโค้ชกับฟา แล้วติวเจ้านายกลับ

บริษัทห่วยๆ มันยังต้องตอกบัตรเช้าเย็นอยู่เลย สมัยนี้ทำงานออฟฟิศเป็นเรื่องของความไว้ใจกันแล้ว ตอกบัตรมันเป็นงานของกรรมกร งานแบกของ แล้วบริษัทก็ชอบบ้าเลือดทำ KPI วัดผลงานตั้งเป้า สมมติปีนี้คุณต้องทำยอดเพิ่มร้อยล้าน คุณก็ต้องปั่นเต็มที่จนถึงเป้า พอปีถัดมา เขาเพิ่มให้อีกเป็นสองร้อยล้าน คุณลองยกมือถามเจ้านายดูสิ “อะไรทำให้คิดว่า ต้องสองร้อยล้านคะ” เจ้านายก็จะตอบกลับมาว่า “แกมาย้อนฉันเรอะ (หัวเราะ)” คำถามต่อไป ลองถามนายดูว่า “นายคะ ปีนี้ถ้าได้สองร้อย ปีต่อไปคงสี่ร้อยใช่ไหมคะ ถ้าได้แล้วจะได้โบนัสเพิ่มเท่าไหร่คะ” แล้วเดี๋ยวเจ้านายก็จะด่าเรากลับอีกว่า “มึงเห็นแก่เงิน” (หัวเราะ)

บริษัทสมัยใหม่ เขาไม่คุยกันเรื่องร้อยล้าน สองร้อยล้านอย่างนี้หรอก เขาคุยกันว่าปีนี้เรารักกันมากขึ้นไหม ปีนี้เราเข้าใจกันมากขึ้นไหม ปีนี้เราเรียนรู้อะไร เราฉลาดขึ้นไหม ได้กี่ร้อยล้านก็ช่างเถอะ มันแค่ตัวเลข บริษัทแบบนี้เจ๋งไหม บริษัทสมัยใหม่มันเป็นอย่างนี้ไง ถ้าบริษัทคุณเป็นแบบนี้ ถึงเวลานั้นคุณอาจจะดีใจด้วยซ้ำที่นายไลน์มาหา เพราะมีความรู้สึกว่านายไม่ทิ้งเรา แต่ตอนนี้มันเป็นความรู้สึกว่า “นายตามจิกกู” เพราะ cuture มันหายไป คุณไม่รักกัน เพราะคุณตอกบัตรเช้าเย็น อยู่ในที่ทำงานก็ห้ามเล่นอินเทอร์เน็ต โหดกับเราทุกอย่าง เราทำงานซะดิบดีจนตัวเราว่าง นายก็หาว่านั่งนิ่งขี้เกียจ จริงๆ แล้วเคลียร์งานเสร็จตั้งแต่เที่ยง แต่พอเราเสร็จเที่ยง นายก็เอางานใหม่มาให้ทำ อยากเห็นเราขยันทั้งวัน เราก็เลยถ่วงไง เพราะรู้ว่าถ้าทำเสร็จเร็ว นายก็ยัดงานให้เราอีก แล้วตกลงใครผิด ก็เจ้านายทั้งนั้น

เจ้านายประเทศเราเข้าถึงก็ยาก เจ้ายศเจ้าอย่าง มีที่จอดรถส่วนตัว มีโรงอาหารแยกออกไป แสดงถึงความเลิศหรูจนเข้าไม่ถึง แล้วจะชนะใจลูกน้องได้ยังไง คุณวางตัวซะยากขนาดนั้น กินช้อนทอง ช้อนเงิน ในขณะที่ลูกน้องกินช้อนสังกะสี

ถ้าคุณรู้เรื่องโค้ช เรื่องฟา เรื่องเมนทอร์ ก็เยียวยาเจ้านายตัวเองซะ ก่อนที่เราจะประสาทกินตามนายไป

ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนที่กำลังเผชิญปัญหาหนักอกระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง และต้องการสยบปัญหาดราม่า สร้างสันติในที่ทำงาน แนะนำให้อ่านหนังสือ “วิธีอยู่ร่วมกับเจ้านายอย่างสันติ” โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ สำนักพิมพ์อมรินทร์ฮาวทู สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ได้ที่ amarinbooks.com

เรื่อง รำไพพรรณ บุญพงษ์ ภาพ ศรายุธ นกแก้ว


บทความน่าสนใจ

มนุษย์เงินเดือนหมดไฟ ต้องทำอย่างไร? ทางออกดีๆ ที่ควรอ่าน

หยุดทำตัวเป็น คนงี่เง่าในที่ทำงาน เถอะนะ!

เทคนิคง่ายๆ สำหรับรับมือ เจ้านายไร้เหตุผล

วิธีฝึกตื่นเช้า เคล็ดลับปรับชีวิตสำหรับมนุษย์ทำงาน

เทคนิคบริหารเวลาอย่างมืออาชีพ เคล็ดลับจัดการวันทำงานอันแสนยุ่งเหยิง

Posted in NEWS
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.