ครอบครัวสมัยใหม่ กับเทคโนโลยีที่ช่วยรักษา ภาวะมีบุตรยาก
แนวคิดของการมีลูกและวางแผนครอบครัวเปลี่ยนไปตามยุคสมัย “มีลูกเมื่อพร้อม” ถูกนำมาพูดบ่อยครั้งในช่วงนี้ ซึ่งความพร้อมในหมายของคู่แต่งงานหลายคู่ คือ ความมั่นคงในหน้าที่การงาน สถานะทางสังคม และเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามด้วยไลฟ์สไตล์ของพ่อแม่รุ่นใหม่ที่อาจเกิดความเครียดสะสม บวกกับการแต่งงานช้า จึงทำให้คู่แต่งงานส่วนใหญ่พบปัญหามีบุตรยาก แต่ข้อได้เปรียบในปัจจุบัน คือความก้าวหน้าของเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ และวิทยาการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีโอกาสในการมีบุตรมากขึ้น ในปัจจุบันมีวิธีการช่วยรักษา ภาวะมีบุตรยาก ที่หลากหลาย โดยแต่ละวิธีก็จะเหมาะสมกับแต่ละปัญหาของคู่สมรส ซึ่งโรงพยาบาลเจตนินผู้เชี่ยวชาญและเป็นที่ได้รับการไว้วางใจกว่าหลายสิบปี พร้อมที่จะช่วยเหลือ คู่รักที่มีปัญหา ภาวะมีบุตรยาก
พญ.เทพจงจิต อาวเจนพงษ์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลเจตนิน โรงพยาบาลรักษาภาวะมีบุตรยาก กล่าวว่า สำหรับเทคโนโลยีที่ช่วยในการรักษาคู่สมรสที่มีบุตรยากในปัจจุบัน คือ การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และการทำอิ๊กซี่ (ICSI) ซึ่งเป็นการนำไข่และเชื้ออสุจิมาปฏิสนธิภายนอกร่างกายโดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในห้องปฏิบัติการ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้มีจุดแตกต่างกันคือ วิธีการที่ตัวอสุจิเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ อธิบายให้เห็นภาพ คือ การทำ IVF จะนำไข่จากฝ่ายหญิง และอสุจิจากฝ่ายชายมาผสมกัน ให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกโดยปล่อยให้ไข่ที่สมบูรณ์และตัวอสุจิที่แข็งแรงที่สุดผสมกันเองตามธรรมชาติ จากนั้นจึงนำไข่ที่ผสมเป็นตัวอ่อนนำกลับไปฝังในโพรงมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวและเจริญเติบโตเป็นทารกต่อไป
ขณะที่การทำ ICSI เป็นการคัดเอาตัวอสุจิที่มีความสมบูรณ์เพียงตัวเดียวด้วยกล้องจุลทรรศน์ ฉีดเข้าไปผสมกับไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ จากนั้นนำไปเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ เมื่อตัวอ่อนพัฒนาไปอยู่ในระยะที่เหมาะสม หรือระยะบลาสโตซิส (Blastocyst) ก็จะนำเข้าไปใส่ในโพรงมดลูกต่อไป ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วจะพบว่าการทำ ICSI มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
“วิธี ICSI เหมาะสำหรับคู่สมรสที่ฝ่ายหญิงมีความผิดปกติของท่อนำไข่ที่ตีบหรือตันทั้งสองข้าง มีภาวะตกไข่ผิดปกติ มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก และฝ่ายชายที่เชื้ออสุจิมีจำนวนน้อยหรือคุณภาพไม่ดี รวมถึงภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ แพทย์จะทำการกระตุ้นการตกไข่ของผู้หญิงประมาณ 10-12 วัน หลังจากนั้นจะทำการเก็บไข่ออกมาปฏิสนธิกับอสุจิที่ผ่านการคัดแยกมาจนได้เป็นตัวอ่อน นำไปเพาะเลี้ยงให้เติบโตภายในห้องปฏิบัติการที่ปลอดเชื้อ โดยการควบคุมอุณหภูมิแสงสว่าง ความชื้นและแรงดัน จนถึงระยะบลาสโตซิส (Blastocyst) ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสมกับการฝังตัว” พญ.เทพจงจิต กล่าว
ในกรณีที่ฝ่ายชายมีความผิดปกติของอสุจิมาก อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่นำมาใช้คือ “อิมซี่” (IMSI – Intracytoplasmic Morphologically Selected Sperm Injection) ซึ่งจะทำการคัดอสุจิด้วยกล้องกำลังขยายสูงมากกว่า 6000x เพื่อช่วยในการคัดเลือกอสุจิมาปฏิสนธิกับไข่
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี “การตรวจคัดกรองพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว หรือ Preimplantation Genetic Testing for Aneuploidy (PGT- A) ” ซึ่งเป็นการนำเซลล์ตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิส (Blastocyst) ไปตรวจด้วยเทคโนโลยี Next Generation Sequencing (NGS) สามารถตรวจคัดกรองจำนวนโครโมโซมได้ทั้ง 24 ชนิด ซึ่งมีความแม่นยำสูงสุดถึง 99.9% เป็นการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดจากจำนวนของโครโมโซมที่ขาดหรือเกินในตัวอ่อน ที่อาจเป็นสาเหตุของการแท้ง หรือกลุ่มอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น ดาวน์ซินโดรม (Down’s Syndrome) ในทารก การตรวจคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนเป็นเทคโนโลยีช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ในกลุ่มผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปีให้สำเร็จเป็นอย่างดี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-655-5300 หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา ผ่านแบบฟอร์มการติดต่อทางเว็บไซต์ คลิก
อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม
- “เจตนิน” ตอกย้ำวิสัยทัศน์พร้อมขึ้นแท่นผู้นำศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากระดับสากล ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและการบริการที่เป็นเลิศ ส่งมอบความสุขเติมความหวังสร้างครอบครัวที่อบอุ่น
- ครูก้อย จากครูวิทยาศาสตร์สู่ที่ปรึกษาผู้มีบุตรยาก ภรรยาคนเก่งของ เจมส์ เรืองศักดิ์
- ข้อระวัง การดื่มชาในแม่ตั้งครรภ์ แม่ให้นมบุตร ส่งผลต่อเด็กหรือไม่
- อาหารผู้ มีบุตรยาก อะไรที่ควรเพิ่ม – ควรงด
- อาหารสำหรับคน ” มีลูกยาก ” อะไรต้องเพิ่ม อะไรต้องลด