ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายของ จิ๋ม – กนกลักษณ์ วุ่นทางบุญ (ตอนที่ 1)

ถ้ามีใครสักคนมาถามว่า คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนดีแค่ไหน คำตอบของคุณคืออะไร

คำตอบของดิฉัน (จิ๋ม – กนกลักษณ์ วุ่นทางบุญ) หากเป็นเมื่อก่อนโน้นมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ “ฉันเป็นคนดีอย่างแน่นอน”เพราะฉันหาเลี้ยงตัวเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ดูแลแม่ดูแลน้อง ตอนแต่งงานมีสามีก็ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ รวมความคือ “ฉันดีทุกอย่าง”เพราะฉะนั้นดิฉันจึงรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ถ้าทำความดีกับใคร ดิฉันก็จะคาดหวังว่าเขาจะต้องดีตอบ ถ้าไม่ได้อย่างใจ ดิฉันก็จะพ่นอารมณ์ร้ายๆ ใส่

ดิฉัน “ขี้วีน” มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ความขี้วีนที่ว่านี้มีที่มา ไม่ได้เป็นเด็กที่อยู่ดีๆ ก็เอาแต่ใจตัวเอง แต่ด้วยชีวิตที่ลำบาก ต้องดิ้นรนต่อสู้ยิ่งกว่าเด็กหญิงวัลลี ทำให้ดิฉันเป็นเด็กที่เก็บกดอารมณ์ลบๆไว้กับตัวมากมาย และไปแสดงออกเป็นความกร่างความซ่ากับเพื่อนๆซึ่งเพื่อนบางคนเข้าใจดีว่าที่ดิฉันเป็นแบบนี้เพราะอะไร เพื่อนบางคนคบดิฉันด้วยความสงสาร และเมื่อไม่นานมานี้เพื่อนเพิ่งมาพูดกับดิฉันเพราะเห็นว่าดิฉันรู้จักฟังคนอื่นมากขึ้นแล้วว่า “จิ๋ม ตอนนี้จิ๋มดีขึ้นมากเลยนะ สมัยก่อนจิ๋มน่ะร้าย”

เชื่อไหมว่าดิฉัน “ร้ายกับทุกคน” ไม่เว้นแม้แต่กับแม่และอดีตสามีของตัวเอง แม่ของดิฉันต้องนั่งน้ำตาตกในมาโดยตลอด ในขณะที่คนอื่นคิดว่าดิฉันรักแม่ เป็นคนกตัญญู แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ส่วนสามีคนแรกก็ต้องเลิกร้างกันไป เพราะความไม่รู้ประสีประสา เอาแต่ใจ ช่างประชดประชัน และเรียกร้องความรักของดิฉัน

ชีวิตของดิฉัน “ร้าย” และร้ายยิ่งกว่าในละคร ร้ายตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลกเลยทีเดียว

ชีวิตดิ้นรนตั้งแต่เด็ก

เมื่อก่อนหลายคนอาจรู้จักดิฉันในฐานะนักแสดงประกอบซึ่งใช้ชื่อในขณะนั้นว่า “ศิริวรรณ เฮง” นอกจากจะถ่ายโฆษณาแล้ว ดิฉันก็รับงานแสดงสารพัดเท่าที่จะมีคนจ้าง ทำให้ช่วงนั้นมีคนพอจะจำหน้าตาดิฉันได้บ้าง แต่มาถึงวันนี้คงมีน้อยคนที่จะรู้จัก

สิ่งที่ดิฉันจะเล่าทั้งหมดต่อไปนี้ หากมองในแง่ร้ายก็เหมือนนำชีวิตครอบครัวของตัวเองมาประจานให้คนอื่นฟัง แต่ถ้ามองในแง่ดีดิฉันอยากให้คนอื่นเข้าใจว่าดิฉันเติบโตมาแบบนี้ นิสัยใจคอจึงเป็นแบบนี้ และตอนนี้ดิฉันสำนึกตัวแล้วว่าที่ผ่านมาดิฉันทำผิดพลาดร้ายแรงอะไรมาบ้าง

ดิฉันเกิดมาในครอบครัวที่ไม่เคยเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวจริงๆ ต้องระเหเร่ร่อนอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ลืมตาดูโลกขึ้นมา ชีวิตของดิฉันก็ต้องดิ้นรนตลอดเวลา เกิดมาก็ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร ส่วนแม่ ดิฉันรับรู้ว่าเป็นแม่ค้า แต่ขายอะไรยังไงดิฉันก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าแม่เปลี่ยนสามีบ่อย ส่วนน้องชายคนเดียวก็ขี้โรค เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ดิฉันจึงต้องกลายเป็นเสาหลักของบ้านทำทุกอย่างมาตั้งแต่เด็ก

บ้านพักของเราอยู่แถวห้วยขวาง สมัยนั้นยาเสพติดกำลังระบาดอย่างหนัก สภาพแวดล้อมที่เติบโตมาไม่ได้เอื้ออำนวยให้ดิฉันสามารถเติบโตเป็นคนดีได้เลย แม้กระทั่งแม่ก็ยังพูดจนดิฉันจำฝังใจว่า “นังจิ๋มน่ะเหรอ ฉันไม่หวังพึ่งมันหรอก มีผัวก็ลืมฉัน มันแรด อย่างมากมันก็ท้องคาโรงเรียน ถ้ามีผัวก็ผัวสองแถวแถวนี้แหละ”

แม่ไม่เคยรู้เลยว่าคำพูดนี้ของแม่เหมือนมีดกรีดลงไปในใจดิฉัน ยิ่งแม่พูดแบบนี้มากเท่าไร ดิฉันซึ่งขณะนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นกลับคิดต่อต้านอยู่ในใจว่า “คอยดูนะ ฉันจะแต่งงาน แล้วจัดงานแต่งงานและแม่จะต้องมายืนอยู่ด้วย แล้วฉันจะเรียนให้จบปริญญาตรี ฉันจะไม่ท้องคาโรงเรียน”

ดิฉันไม่นึกเลยว่าความคิดนี้ของตัวเองในวันนั้น จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมาถึงวันนี้ ในวันแต่งงานดิฉันมีแม่มาร่วมยินดีด้วยก็จริง แต่แม่ก็รู้อยู่เต็มอกว่า “ลูกทำให้แม่เห็น” ด้วยความกดดัน เจ็บช้ำว่า“นี่ไงละ หนูแต่งให้แม่ดูแล้วไง” ในวันรับปริญญาดิฉันก็พยายามให้แม่ไปร่วมแสดงความยินดีด้วยจนได้ เพื่อให้ท่านรู้ว่า สิ่งที่ท่านเคยว่าดิฉันไว้ไม่เป็นความจริง

ทั้งแม่และดิฉันต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเพื่ออะไร จนกระทั่งครั้งสุดท้ายก่อนจะเสียชีวิตจากไป ท่านพูดด้วยความเสียใจว่า “พอแล้วละลูก…แม่เจ็บ” แม่คงเจ็บช้ำใจกับการทำ “ความดี” แบบประชดประชันของดิฉัน แต่ตอนนั้นดิฉันไม่เคย “คิดได้” เลยสักนิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำกำลังทำร้ายจิตใจของแม่อย่างแสนสาหัส

เกือบโดนพ่อเลี้ยงข่มขืน คิดฆ่าตัวตาย

ตอนเด็กๆ ดิฉันคิดว่าแม่ไม่รัก และจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า “ฉันเกลียดผู้หญิงคนนี้” หากมีใครมาทักว่าดิฉันหน้าเหมือนแม่ ดิฉันจะรู้สึกเจ็บปวดมาก

นอกจากนั้น ตอนเด็กๆ ดิฉันถูกแม่ตีบ่อยๆ ใช้ให้ทำงานสารพัดจนคนคิดว่าดิฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของแม่ บางช่วงแม่ก็ทิ้งดิฉันกับน้องให้ต่อสู้ชีวิตกันโดยลำพัง มีครั้งหนึ่งแม่ไปต่างจังหวัด พ่อเลี้ยงได้ใจว่าแม่ไม่อยู่ก็ลงมือจะปล้ำดิฉัน โชคดีที่น้าชายซึ่งนอนอยู่บนบ้านมาช่วยไว้ทัน ดิฉันจึงรอดพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ แต่เมื่อดิฉันไปแจ้งความ แม่กลับบอกให้ถอนแจ้งความ ด้วยความแค้นใจแม้จะถอนแจ้งความแล้ว แต่ดิฉันก็ยังไปดักตีหัวผู้ชายคนนั้นจนได้ นี่แหละความร้ายของนังจิ๋ม

คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นชีวิตช่วงที่แย่ที่สุดของดิฉันแล้ว แต่ความจริงยังมีเรื่องที่แย่กว่านี้รออยู่ หลังจากนั้นไม่นานแม่ป่วยเป็นมะเร็ง จึงต้องส่งตัวดิฉันและน้องชายไปใช้ชีวิตอยู่กับยายที่จังหวัดตราดด้วยความที่แม่ไม่ค่อยได้ส่งเงินเลี้ยงดู ทำให้ดิฉันต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องพยายามหาเลี้ยงตัวเองด้วยการรับจ้างถางหญ้า หาปูหาปลาฝากน้าชายไปขายในตลาด ขายลูกอมให้เพื่อนๆ ในโรงเรียนและทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้

จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อหายป่วยจากโรคมะเร็ง แม่ก็มารับพวกเรากลับกรุงเทพฯ แต่กินดีอยู่ดีได้ไม่เท่าไร แม่ก็หนีหนี้ไปที่ไหนสักแห่งซึ่งเราสองคนพี่น้องไม่อาจรู้ได้ ที่สำคัญ แม่ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบเงินผ่อนเอาไว้มากมาย โดยมีน้าคนหนึ่งช่วยค้ำประกัน เมื่อไม่มีคนใช้หนี้ น้าคนนี้จึงถูกข่มขู่คุกคาม เขาจึงมาอ้อนวอนให้ดิฉันช่วยใช้หนี้แทนแม่ แต่ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กเพิ่งอายุ 16 – 17 ปี แถมไม่มีงานทำ ที่สำคัญ บ้านที่อยู่อาศัยก็แทบไม่มี เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ทำให้ดิฉันเครียดมาก

ดิฉันกับน้องชายไปขออาศัยเพิงหมาแหงนบนดาดฟ้าตึกแถวของน้าคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นญาติอะไรกับเราเลย แต่เขามีน้ำใจช่วยเหลือ เพิงหมาแหงนหลังนั้นมีหลังคาเป็นสังกะสี มีประตูปิดเปิดพอกันยุงได้ เราสองคนพี่น้องต้องอยู่กันอย่างอดๆ อยากๆ แม้น้าเจ้าของบ้านจะคอยเรียกให้ไปกินข้าวด้วยกัน แต่ตอนนั้นหัวใจของดิฉันก็เบาโหวง คิดไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อมีแต่คนมาทวงหนี้ “ถ้าตายๆ ไปเสียได้” ก็คงสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปเสียที

ด้วยความเป็นเด็ก ดิฉันคิดแค่ว่า ชีวิตนี้สุดจะทานทนแล้ว จึงตัดสินใจไปซื้อยานอนหลับมากิน และใช้มีดโกนเก่าๆ มากรีดข้อมือตัวเอง ครั้งแรกที่กรีดลงไปดิฉันรู้สึกเจ็บ แต่แล้วความเจ็บที่แขนดูเหมือนจะน้อยกว่าความเจ็บที่ใจ ดิฉันกรีดข้อมือตัวเองซ้ำๆ จนเห็นเลือดไหลออกมาช้าๆ

ดิฉันกำลังจะตายสมใจแล้วเชียว หาก…

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.