เรื่อง ธันยาภัทร์ รัตนกุล ภาพปกและภาพประกอบ วรวุฒิ วิชาธร แต่งหน้าทำผม ภัทรานิษฐ์ จันทรกุลเศรษฐ์ สไตลิสต์ ยุวดี สุวรรณศักดิ์ชัย ผู้ช่วยสไตลิสต์ สุภาดา อินแผลง, อรอุมา ศิลป์วัฒนานุกูล
เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องอยากมีชีวิตที่มีความสุขและราบรื่นแต่สำหรับ ตุ้ย - ธีรภัทร์ สัจจกุล นักร้องนักแสดงและผู้บริหารหนุ่มไฟแรงของคลื่น Seed ไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขามองว่านิยามความสุขคือการใช้ชีวิตอยู่บนความตื่นเต้น ท้าทายในทุกลมหายใจ ซึ่งเป็นเครื่องการันตีว่าผู้ชายคนนี้มีแนวคิดการใช้ชีวิตที่ “น่าค้นหาและไม่ธรรมดา” จริงๆ
ช่วงชีวิตวัยเด็กของคุณตุ้ยเป็นอย่างไรคะ
ตอนเด็ก ๆ ผมเรียนที่โรงเรียนสาธิต-ประสานมิตร รั้วบ้านผมติดกับรั้วโรงเรียนผมเลยปีนรั้วเข้าโรงเรียนบ่อย ๆ และบ้านผมก็กลายเป็นที่พักพิงของเพื่อน ๆ ไปด้วยหลังจบจากประสานมิตร ไปเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ตอนนั้นผมใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีมาก ตกเย็นจะเตะบอลกับเพื่อนจนมืด เสื้อแฉะหมดเลย เวลาขึ้นรถเมล์กลับบ้าน คนต้องแหวกทางให้เพราะตัวเหม็น (หัวเราะ)
ที่สวนกุหลาบผมได้เปิดโลกทัศน์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องเพื่อน กิจกรรมต่าง ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกีฬา ที่นี่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองชอบฟุตบอลมาก แต่พอรู้ตัวว่าชอบเตะบอล อยากเป็นนักฟุตบอลก็สายไปเสียแล้ว เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปตอนป.3 ป๋า (บิ๊กหอย - ธวัชชัย สัจจกุล) มักปลุกผมกับพี่ให้ตื่นตีห้าทุกวันเพื่อไปวิ่งที่สนามมศว. ป๋าสอนให้วิ่งสปีดไป - กลับ และฝึกเลี้ยงบอลเหมือนฝึกนักฟุตบอล ตอนนั้นผมรู้สึกเหนื่อยและไม่เห็นว่าการที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อซ้อมเตะบอลทุกวันมันสนุกตรงไหนช่วงนั้นผมงอแงมาก เรียกว่า “จูนไม่ติด”ป๋าเลยบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าไม่ชอบก็ไม่บังคับแต่พอเข้าเรียนที่สวนกุหลาบ จำได้ว่าพักเที่ยงปุ๊บทุกคนจะไปรวมตัวกันที่สนามเพื่อเตะบอลตอนขึ้น ม. 2 ผมบอกป๋าว่าผมอยากเป็นนักบอลโรงเรียน ช่วยฝึกให้หน่อย แต่ป๋าบอกว่า “ไม่ทันแล้วลูก” เพราะต้องฝึกตั้งแต่ตอนที่ป๋าให้ฝึกแล้ว กระดูกบอลจึงแข็งพอที่จะไปเล่นทีมโรงเรียนได้ ตอนนั้นผมก็นึกเสียดายเหมือนกัน
ตอนนั้นคุณพ่อเป็นผู้จัดการทีมชาติ คงคาดหวังให้ลูกติดนักฟุตบอลทีมชาติด้วยใช่ไหมคะ
ก็คาดหวังครับ ตอนนั้นป๋าคงอยากปั้นผม จึงได้ปลุกผมขึ้นมาซ้อมตั้งแต่เด็กเคยถามป๋าว่าเสียใจไหม เขาก็เฉย ๆ นะ วิธีของป๋าคือหยิบยื่นโอกาสให้ แล้วดูว่าเราจะเข็นขึ้นหรือเปล่า แต่การที่ผมไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติก็ไม่ได้ทำให้ป๋าหรือผมรู้สึกผิดต่อกันเลย ซึ่งผมได้แบบอย่างการเลี้ยงลูกมาจากป๋านี่เอง เพราะผมไม่มีทางรู้ว่าลูกผมจะชอบอะไร สุดท้ายผมจึงเลือกทำแบบป๋า คือหยิบยื่นโอกาสให้ แล้วลองผลักดันดู ป๋ากับผมจะใช้คำว่า “จูนติด”แต่ถ้าจูนไม่ติด ก็ลองเปิดหน้าต่างบานใหม่ให้เขาเลือกไปเรื่อย ๆ แล้วเขาจะพบเองว่าชอบอะไรจริง ๆ
อย่างตอนนี้ผมให้ ไททัน (ลูกชาย)ลองเล่นกีฬาหลายอย่าง ปรากฏว่าเขาชอบเทควันโดมาก กลับบ้านมาเตะผมทุกวันเลยผมต้องบอกว่าเตะเบา ๆ ลูก พ่อเจ็บ เพราะเขาเตะแรงจริง ๆ คือของแบบนี้ต้องยอมรับว่าแล้วแต่ใครจะชอบอะไร หน้าที่ของเราคือให้โอกาสเขาลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆสำหรับผม ไม่ว่าเรื่องอะไร มันไม่มีคำว่าสูตรสำเร็จ เราต้องอย่ากลัวคำว่า “ผิด”เพราะทุกอย่างมันต่างกรรมต่างวาระ
คุณตุ้ยใช้การลองผิดลองถูกในการดำเนินชีวิตด้วยหรือเปล่าคะ
ผมจะใช้คำว่า “Pushing the limits”ในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด คืออย่าอยู่แต่ในคอมฟอร์ทโซน แต่ต้องกล้าลุยออกไป เพื่อค้นหาศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองเหมือนการยกน้ำหนัก ถ้าเรายกเท่านี้ได้แล้วลองยกมากกว่านี้สัก 5 - 10 กิโลกรัมดูว่าจะยกไหวไหม ถ้าไหว นั่นคือบทพิสูจน์ว่าเราทำได้
ผมมองว่ากล้ามเนื้อกับจิตใจเหมือนกัน การออกกำลังกายแบบฝืนแรงต้านอย่างการยกน้ำหนักช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจิตใจก็เช่นกัน ถ้าเราอดทนต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ จิตใจของเราก็จะแข็งแกร่งขึ้นและสามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่ประเดประดังเข้ามาได้อย่างสบายเพราะมีกล้ามใจที่ใหญ่ขึ้น แกร่งขึ้นแล้ว
นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่มหรือเปล่าคะ
เคล็ดลับจริง ๆ คือคำว่า อดทน บางคนอาจใช้คำว่าอดทนเป็นคำสุดท้าย แต่ผมใช้คำนี้เป็นคำแรก คำที่สองคือ ตั้งใจ คำที่สามคือ พยายาม “Don’t give up.” คุณต้องไม่ลด ละ เลิก ถ้าคุณเจออุปสรรค สิ่งที่คุณต้องทำคือกัดฟัน ต้องรู้จักกลืนเลือดให้เป็น คำนี้เป็นคำที่ป๋าผมชอบใช้ เพราะมันเห็นภาพชัด เวลาที่นักมวยโดนต่อยจนฟันยางหลุด สิ่งที่เขาทำคือกลืนเลือดและต่อยต่อเพื่อให้ได้ชัยชนะ
ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องอดทน อดทนและอดทน อย่าท้อแม้แต่วินาทีเดียวเปรียบเทียบง่าย ๆ กับคนที่วิ่งร้อยเมตรเข้าเส้นชัย เขาชนะกันที่ .001 วินาที จะเห็นว่ามันแค่นิดเดียวจริง ๆ หลักคิดคือ ใครทะลุจุดที่ร่างกายไม่ไหวแล้วได้มากกว่า อึดกว่าคนอื่นจะเป็นผู้ชนะ
ในโลกแห่งความเป็นจริง คนเก่งจะแพ้คนอึด เพราะคนเก่งกว่าอาจไม่อดทนเท่าคุณ แต่ถ้าคุณสามารถทนกับความทรมานได้มากกว่า ก็มีสิทธิ์พบความสำเร็จเข้าเส้นชัยก่อน
ผมเชื่อว่าความเก่งเกิดจากพรสวรรค์กับพรแสวง สำหรับพรสวรรค์ผมคิดว่าคนเรามีในตัวไม่เกินสิบเปอร์เซ็นต์ นอกนั้นคือเรื่องของพรแสวงล้วน ๆ ซึ่งคือการฝึกทำซ้ำ ยิ่งทำ ยิ่งดี ยิ่งทำ ยิ่งเพอร์เฟ็กต์แต่ก่อนที่คุณจะทำงานอะไรก็ตามให้ได้ดีทั้งร้อยครั้ง คุณจำเป็นต้องฝึกจิตใจให้แข็งแกร่งก่อน ซึ่งคนแต่ละคนมีวิธีฝึกแตกต่างกันออกไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องอดทน เผชิญกับความทรมานให้ได้ เรียกว่าต้องกลืนเลือดให้เป็น นี่คือสิ่งที่พ่อผมสอน
แล้วการเป็นผู้บริหารของคลื่น Seed ถึงขนาดต้องกลืนเลือดไหมคะ
ผมยอมรับว่าเป็นภารกิจที่ยาก แต่ก็น่าลอง น่าท้าทาย คลื่น Seed นำเสนอเพลง เราจึงมีหน้าที่สร้างความสุขให้ผู้ฟังความยากคือการวางแนวทางธุรกิจในระยะสั้นกลาง และยาว โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งเป็นเรื่องยากพอสมควร สิ่งที่ผมต้องทำให้ได้คือการเอาชนะใจผู้บริโภคเพราะปกติบริบทของผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงไปตาม 1. เทรนด์ 2. ช่องทางการสื่อสารของเทคโนโลยี 3. ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และวิธีคิดต่าง ๆโดยเฉพาะฐานผู้ฟังของเราเป็นวัยรุ่น ซึ่งเขาเปลี่ยนเร็วมาก แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าดนตรีทำให้ผมมีความสุขได้ ดนตรีก็สามารถสร้างความสุขให้ทุกคนได้เช่นเดียวกัน
สิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญมากก็คือการหาทีมงานที่รักงานนี้ ผมเชื่อว่า ถ้าเราทำงานที่เรารัก ไม่ว่าเจออุปสรรคหนักแค่ไหนทุกปัญหาจะดูเล็กลงหมด แต่ถ้าเราไม่ได้รักงานนั้น ทุกปัญหาจะใหญ่หมด เพราะทุกงานมีปัญหาในตัวของมันเองอยู่แล้วใครบอกไม่มีปัญหา แสดงว่าไม่ได้ทำงาน
ผมรับมือกับอุปสรรคที่เข้ามาด้วยการเซิร์ฟมันไปเรื่อย ๆ เหมือนเล่นกระดานโต้คลื่น เห็นเป็นเรื่องท้าทาย เมื่อมีคลื่นอุปสรรคถาโถมเข้ามา เรามีหน้าที่โต้คลื่นสู้คลื่น ยิ่งคลื่นใหญ่ แสดงว่างานนั้นยิ่งท้าทาย ผมก็ยิ่งต้องทำให้สำเร็จ
ขอย้อนถามไปถึงตอนที่ทำงานเพลงออกอัลบั้ม teerapat ตอนนั้นประสบความสำเร็จมากและทำให้เป็นที่รู้จักมาจนทุกวันนี้ความดังทำให้คุณตุ้ย “เหลิง”บ้างไหมคะ
ต้องถามว่านิยามของคำว่าเหลิงคืออะไร ถ้าเหลิงคือยืนหน้ากระจกแล้วบอกตัวเองว่า เฮ้ย กูก็เจ๋งเหมือนกันนี่หว่า อันนี้มีบ้างเหมือนกัน แต่ถ้าเหลิงแบบผงาดขึ้นมาว่าฉันคือตุ้ย - ธีรภัทร์ แล้วสะบัดงวงสะบัดงาให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้คนอื่นหมั่นไส้อย่างนี้ไม่มีครับ ขอเรียกว่าเป็นการหลงระเริงกับฝันที่เป็นจริงมากกว่า เหมือนLiving the dream ความรู้สึกจะเหมือนเราเดินอยู่บนเวทีแล้วมีสโมกฟุ้ง ๆ แบบนั้น
ผมกล้าพูดว่าโมเมนต์ที่ดีที่สุดสำหรับนักร้องคือการได้อยู่บนเวที เพราะมันเป็นปรากฏการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วที่เราสามารถส่งความสุขไปให้ผู้รับสารที่อยู่ข้างล่างแล้วเขาก็ตอบรับสารความสุขนั้นกลับมาหาเราเป็นร้อยเป็นพัน มันเหมือนตัวเราถูกอาบไปด้วยพลังแห่งความสุข นั่นแหละที่ทำให้ผมหลงระเริง
ตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดพีคที่สุดของชีวิตวัยหนุ่มเลยก็ว่าได้ เป็นช่วงเวลาที่ได้ใช้ต่อมจินตนาการของเราครบเลย เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ผมค้นพบว่าดนตรีหล่อเลี้ยงชีวิตผมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมมาทำงานที่คลื่น Seed ได้สัมผัสโลกธุรกิจของดนตรีซึ่งท้าทายมากเพราะต้องเรียนรู้และบริหารงานรอบด้านทั้งเรื่องเทคโนโลยี มาร์เก็ตติ้ง ไฟแนนซ์ต้องดูหมดทุกอย่าง เป็นการดึงความรู้ที่เคยเก็บอยู่ในลิ้นชักออกมาใช้ เป็นงานที่ต้องใช้ความมีน้ำใจนักกีฬาและใช้สปิริตสูงมากเพราะต้องทำให้ทุกคนทุกฝ่ายแฮ็ปปี้ในการทำงานที่ต้องอาศัยทีมเวิร์ค ทุ่มเท และเสียสละ เป็นความท้าทายและต้องเสี่ยงลองผิดลองถูก ซึ่งตรงกับสไตล์การใช้ชีวิตของผมอยู่แล้ว
ใช้ชีวิตบนความท้าทายเท่ากับความเสี่ยง ฟังดูน่าสนุกแต่ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยในความรู้สึกเลยนะคะคุณตุ้ยชอบชีวิตแบบนี้เหรอคะ
ผมว่าทุกคนชอบความมั่นคงนะ แต่นั่นไม่ใช่สไตล์ของผม บางคนอาจชอบตอกเข็มทีเดียวจบ แต่ผมไม่ใช่ ผมหยุดไม่ได้ ผมจะหยุดก็ต่อเมื่อหมดแรงหรือร่างกายไม่ไหวแล้ว ผมเคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาแล้วไม่มีอะไรทำ
เดี๋ยวก็ถึงเวลากิน เดี๋ยวก็ถึงเวลานอนวันนั้นคงเป็นวันที่น่าเศร้ามาก เพราะผมจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอีกแล้ว
ชีวิตผมต้องมีโจทย์ตลอดเวลาถ้าไม่มี ผมคงไม่รู้จะทำอะไร สำหรับผม เราต้องหาคุณค่าในตัวเองให้ได้เมื่อพบสิ่งที่ทำให้ตัวเราเองมีคุณค่าสิ่งนั้นจะขับเคลื่อนตัวเราให้มีชีวิตอย่างมีความสุข บางคนอาจไปช่วยงานการกุศลมูลนิธิ ช่วยเด็กกำพร้า นั่นคือสิ่งที่ทำให้ตัวเขามีคุณค่า
ครั้งหนึ่งผมไปช่วยทำค่ายอาสาพัฒนาสร้างโรงเรียนที่ต่างจังหวัด ตอนแรกคิดว่าคงไม่เหนื่อย ไม่ยาก ไม่ลำบากเท่าไหร่แต่ที่ไหนได้ ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน งานก็หนักต้องเทปูน ขึ้นโครง ขึ้นเสา ปูกระเบื้องหลังคา แต่พอทำเสร็จออกมาแล้วเห็นเด็ก ๆดีใจ เราก็พลอยดีใจถึงกับร้องไห้น้ำตาซึมไปด้วย อาจฟังดูดราม่า แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์มาก ซึ่งคุณค่าของมันอยู่ตรงนี้
คุณตุ้ยให้คำจำกัดความคำว่าคุณค่ากับครอบครัวอย่างไรคะ
ความเป็นครอบครัวทำให้ต่างคนต่างรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เช่น เราเป็นลูกที่ดีเราก็มีคุณค่ากับพ่อแม่ เป็นพี่ที่ดี ก็มีคุณค่ากับน้อง เป็นน้องที่ดี ก็มีคุณค่ากับพี่เป็นสามีที่ดี ก็มีคุณค่ากับภรรยา พอมีลูกเราก็เป็นพ่อที่ดี มีคุณค่ากับลูก
ผมโชคดีที่ได้เจอ แอนนา ต้องเรียกว่าเขาเป็น soulmate ของผม ผมว่าการที่เราจะเจอคนที่สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสอดคล้องสบายใจ โดยไม่ได้มีดีเอ็นเอเหมือนกันนั้นค่อนข้างยาก แอนนากับผมอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ผมโชคดีมากที่ได้มาเจอคู่ชีวิตที่มีวิธีคิดและตัวตนที่ไปด้วยกันได้
ช่วยเล่าถึงวิธีการดูแลครอบครัวในแบบของคุณตุ้ยให้ฟังหน่อยค่ะ
ผมว่าไม่มีทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่เหมาะสมกับมนุษย์ทุกคน ดังนั้นผมจึงไม่เคยหยุดทดลองที่จะใช้ชีวิตและลองผิดลองถูกกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมเชื่อว่าเราสามารถทดลองไปได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่ยังอยู่บนพื้นฐานของความรักความผูกพัน แล้วเราจะพบคำตอบที่ใช่และเหมาะสม ผมพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุดในฐานะพ่อคนหนึ่ง คืออบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษมีประโยชน์ต่อสังคม ผมปรารถนาให้ลูกเป็นคนอดทน เป็นคนอึด ซึ่งก็คือเหตุผลว่าทำไมผมจึงตั้งชื่อเขาว่า “ไททัน” เพราะผมอยากให้เขาดูแลคนรอบข้างได้ดี มีจิตใจเข้มแข็ง อดทน แกร่งเหมือนไทเทเนียมนั่นคือสิ่งที่ผมหวังไว้
การที่คุณตุ้ยนับถือศาสนาพุทธและคุณแอนนานับถือศาสนาอิสลาม ไม่ทราบว่าต้องมีการปรับตัวเข้าหากันอย่างไรบ้างคะ
วิธีของผมคือนับถือทั้งสองศาสนาผมกับแอนนาค่อนข้างมีความเชื่อที่ไม่เจาะจงเสียทีเดียว เราคิดเหมือนกันว่าศาสนาเป็นตัวช่วยตัวหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นคุณค่าของชีวิต ทุกศาสนาสอนให้ทำความดี
และเมื่อได้ทำความดี เราก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
ผมมองว่าเราไม่ต้องเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งก็ได้นะ วิธีคิดของผมคือการดึงจุดดี ๆ ของทั้งสองศาสนามาปฏิบัติใช้ หากวันใดผมอยากเรียนรู้พระธรรม ผมก็บวชได้และหากวันไหนที่ต้องไปกิจกรรมทางศาสนาอิสลามผมก็ไปได้ ผมจำได้ว่าตอนคริสต์มาสผมยังไปเข้าโบสถ์คริสต์เพื่อทำจิตให้บริสุทธิ์เลย เราไปโดยไม่ต้องกังวลหรือสร้างเงื่อนไขอะไร แต่ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ผมว่าแค่นี้ก็ทำให้มีความสุขอย่างยั่งยืนแล้ว
คุณตุ้ยพูดถึงเรื่องบวชไม่ทราบว่าเคยบวชและคิดจะบวชบ้างไหมคะ
ยังครับ แต่เคยมีพระทักว่าถ้าผมบวชแล้วจะไม่สึก ตอนนี้ลูกยังเล็ก ยังห่วงลูกอยู่ แต่ถ้ามีโอกาส เคลียร์งานได้ ผมก็อยากบวชเหมือนกัน ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั่นคือสมาธิ หรือแปลเป็นคำในภาษาอังกฤษว่า “focus” ถ้าเราโฟกัสในงานที่ทำ เราจะสามารถทำสิ่งนั้นออกมาได้อย่างมีประสิทธิ-ภาพที่สุด ผมฝึกสมาธิด้วยวิธีง่าย ๆ คือหลับตาแล้วดูที่ลมหายใจ ตราบใดที่เราได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง สมาธิก็เกิดแล้ว สติก็กลับมาแล้ว ซึ่งหลักการนี้นำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ผมว่าการฟังเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารทั้งหมด ผมพยายามบอกกับน้อง ๆดีเจว่า การพูดเริ่มต้นจากการฟัง เพียงแต่ว่าการฟังครั้งแรกมันไม่ใช่การฟังจากเสียงภายนอก แต่ต้องฟังสิ่งที่เราคิด แล้วจึงถ่ายทอดออกมา ผมว่าการฟังคือความสัมพันธ์ระหว่างกายหยาบกับกายละเอียดถึงผมจะไม่เคยบวช แต่หลักการนี้ผมเชื่อว่ามันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ เราไม่จำเป็นต้องทำสมาธิในแบบที่ยึดติดกับรูปแบบ ซึ่งได้แก่การนั่งขัดสมาธิหลับตาอะไรแบบนั้นบรูซ ลี บอกว่า ท่าที่พร้อมที่สุดคือท่าที่พลิ้วที่สุด ซึ่งมันต้องผสานกันทั้งร่างกายและจิตใจ
คุณตุ้ยเคยคิดถึงเรื่องของนิพพานบ้างไหมคะ
ผมว่าอยู่ที่เป้าหมายของแต่ละคนว่าต้องการอะไร วางนิยามคุณค่าของชีวิตไว้อย่างไร เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คนที่บอกว่าอยากนิพพานคือเขาอยากไปอยู่ ณ จุดสูงสุดของศาสตร์ในโลกนี้ แต่สำหรับเป้าหมายชีวิตของผมคือ การอยู่อย่างไรให้มีคุณค่าและทำให้คนอื่นรู้สึกมีคุณค่าด้วย เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ผมไม่ได้วางแผนชีวิตเอาไว้เป็นฉากว่าอายุขนาดนั้นต้องอย่างนี้ อายุขนาดนี้ต้องอย่างนั้น ผมเพียงแค่ตั้งธงไว้และปีนขึ้นไปหาเป้าหมายด้วยความสุข แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เชื่อว่า เมื่อคนเราถึงจุดสูงสุดวันนั้นเราจะมีความสุขน้อยที่สุด เพราะว่ามันไม่มีจุดที่จะไปต่อแล้ว เพราะความสุขอยู่ที่การมีความหวังและคุณได้ทำมัน เปรียบเหมือนการขึ้นบันได ความสุขจะเกิดระหว่างที่เราเดินขึ้น ไม่ใช่ตอนที่ไปถึงชั้นบนแล้วความสุขที่ได้อยู่ชั้นบน ผมว่ามีไม่เกินสองนาที หลังจากนั้นความสุขก็จะลดน้อยลง
แล้วความสุขของคุณตุ้ยคืออะไรคะ
นิยามความสุขของผมนั้นง่ายมาก ผมขอแค่หายใจให้ชุ่มปอดเป็นพอ ถ้าดูตามหลักการทำงานของร่างกายแล้ว เวลาที่เราเจออุปสรรคหรือปัญหา สมองจะสั่งให้กระบังลมเกร็งโดยไม่รู้ตัว ปอดถูกบีบให้เล็กลง ส่งผลให้หายใจไม่เต็มปอด ทางออกก็คือ เราแค่หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปให้ชุ่มปอด สูดลมหายใจเข้า - ออกให้ลึก ๆแค่นี้ก็เป็นความสุขแล้ว หรือจะพูดว่าอุปสรรคที่ทำให้ร่างกายไม่มีความสุขคือการหายใจไม่เต็มปอดนั่นเอง
ผมขอขยายความอย่างนี้ พระเจ้าให้มนุษย์มีความวิตกจริตเพื่อให้ระแวดระวังอันตราย แต่ถ้าคุณระแวดระวังอยู่ทุกขณะจิต คุณจะหายใจไม่เต็มปอด คิดไม่ออกแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งก็คือหายใจเข้าให้มีความสุข หายใจออกให้มีความสุข ซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนาที่ผมยึดปฏิบัติอยู่เสมอและจะยึดไปตลอดชีวิต
Secret BOX
การลองผิดลองถูกจะทำให้พบคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต
ธีรภัทร์ สัจจกุล