กันต์ กันตถาวร

เลือกทาง “สุข” บนโจทย์ชีวิตที่เปลี่ยนทุกวัน ของ กันต์ กันตถาวร

 

กันต์ กันตถาวร

“ครู” ที่ไม่เคยสอน

อาชีพพิธีกรของผมเริ่มต้นตั้งแต่เป็นดีเจผมมีอาจารย์ที่ไม่เคยสอน แต่เกิดจากการฟังการเห็น การใฝ่รู้ของเราเอง ผมเรียนรู้จากอาไก่ (สมพล ปิยะพงศ์สิริ) อาตุ่ย (พุทธชาดพงศ์สุชาติ) พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุลณ อยุธยา) พี่อ้อย (นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล)พี่เอก (เอก กฤษณาวารินทร์) พี่เชา(ชวลิต ศรีมั่นคงธรรม) พี่โป้ง (ณัฏฐพงษ์สมรรคเสวี) พี่ปอ (วรฐก์ ปิฏกานนท์) คือเทพอยู่ในนั้นหมดแล้ว ผมค่อย ๆ เก็บสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพวกเขา จนได้รู้ว่าเวลา1 นาทีที่เปิดไมค์จะพูดอย่างไรให้จบประโยคได้สวยโดยไม่มีสคริปต์ พูดอย่างไรให้ฟังดูละมุน ผมสังเกตวิธีของแต่ละคน จนเข้าใจว่าเขาใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปอย่างไร

จากวิชาที่ Atime ทำให้ผมรู้ตัวว่าอยากเป็นพิธีกร แต่ตอนนั้นอาชีพนักแสดงเข้ามาก่อน จึงตั้งใจทำงานแสดงให้ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมไม่ใช่คนหล่อ ถ้าละครเรื่องหนึ่งจะเลือกพระเอกหล่อ ๆ สักคน กันต์ไม่ใช่ตัวเลือกแน่นอน เนื่องจากผมจบมาร์เก็ตติ้งเพราะฉะนั้นโจทย์ของผมคือ ต้องวางโพซิชันนิ่งของตัวเอง ถ้าคิดว่าจะทำงานบันเทิงเป็นอาชีพก็ต้องมีจุดเด่น คือถ้าหล่อไม่ได้ก็ต้องเก่ง ทำอย่างไรให้เก่ง ก็ต้องเรียนรู้ใฝ่รู้ ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้งานละเอียดกว่าคนอื่น เมื่อเรียนรู้มากขึ้นก็เริ่มรัก พอรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เรารัก ก็ต้องทำให้ดี จะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลังว่า โอ้โห รู้อะไรไม่สู้รู้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น เวลาทำงานผมจึงเต็มที่แล้วผมจะไม่เสียใจ ต่อให้วันนี้คุณบอกว่า“ดาวจรัสฟ้า” ผมเล่นไม่ดี ผมก็ไม่เสียใจเพราะวันนั้นผมทำดีที่สุด ณ ขณะนั้นแล้วด้วยวิธีคิดแบบนี้จึงสร้างนิสัยให้ผมใส่ใจรายละเอียดทำการบ้านก่อนเสมอ และตรงต่อเวลา ผมรู้สึกว่าอาชีพนักแสดงมีเสน่ห์มาก จะมีใครสักกี่คนที่ได้เป็นคนอื่นแบบที่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นแน่ ๆ เมื่อผมชอบงานนี้จึงพยายามทำให้ดีที่สุด อย่างถ้าต้องเล่นบทแอ๊คชั่น ผมก็จะไปเรียนวิธีแสดงของผมเองว่าต้องจับปืนอย่างไร ใส่กระสุนแบบไหน โดยไม่ต้องมีใครบอกให้ทำ

งานรุ่ง แต่ชีวิตพัง

เวลานั้นคือวัยที่ผมอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คิดเองว่าผมทำได้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าที่ต้องการ ผมคิดเสมอว่าต้องเก่งกว่านี้ อยากเก่งกว่านี้ จนกลายเป็นคนบ้างาน ผมเล่นละคร 3 เรื่องพร้อมกันทำงาน 7 วัน มาตลอด 3 ปีไม่มีวันหยุดเลยขณะที่มีธุรกิจส่วนตัวอีก 5 บริษัทที่ต้องดูแล

แม้จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่ชีวิตพัง ผมมาถึงจุดที่เพื่อนไม่ชวนไปสังสรรค์ เพราะชวนแล้วผมไม่เคยไป ไม่ค่อยได้กินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้ไปไหนกับแฟน เขาเข้าใจนะว่าเราทำงานหนัก จนวันหนึ่งผมเริ่มรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว สมมุติวันนี้ผมอยากไปกินข้าวเย็นกับครอบครัว หรือวันพรุ่งนี้อยากไปเที่ยวกับแฟน ทำไมผมต้องถามกองละครก่อนว่าผมไปได้ไหม ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว

ผมคิดจนตกผลึกว่าเราจะไม่ทำงานเยอะเพราะงานเยอะกับงานดีไม่เหมือนกัน ต่อให้เรารู้สึกว่าเราทำได้ดีที่สุด ณ ขณะนั้นแล้วแต่สุดท้ายร่างกายเราไม่ไหวก็ไม่ดี เช่น วันนี้เรามีฉากที่ต้องสนุกมาก ๆ แต่เมื่อคืนเลิกกองตอนตี 3 เราจะสนุกได้แค่ไหนกันเชียว แววตาก็ไม่ได้แล้ว เราใช้สมองเล่นอย่างเดียวไม่ได้ต้องใช้ใจเล่นด้วย

ผมวางแผนชีวิตใหม่ รับงานละครครั้งละเรื่อง แล้วคุยกับกองถ่ายเรื่องเวลาให้ชัดเจนว่าบทเสร็จเมื่อไหร่ เริ่มเมื่อไหร่ ปิดเมื่อไหร่ เอากี่คิว คุณได้คิวผมทุกคิว ผมไม่ไปไหนเลย แต่ถ้าเกินแม้แต่คิวเดียว ถ้าเป็นวันที่ผมจะไปกินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่นั่นเป็นสิทธิ์ของพ่อแม่ผม คุณต้องรอแต่ใน 100 คิวของคุณนั้นผมจะไม่มีทางไปรับอีเว้นต์ที่ไหน เพราะถือว่าผมให้เวลากับคุณแล้ว แต่ถ้าเวลาของคุณหมดก็เป็นเวลาของผมแล้วนะ เราคุยกันจบแต่แรก

ผลที่สะท้อนกลับมากลายเป็นว่า คนที่ทำงานกับผมทำงานง่ายกว่าเดิม เพราะเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ บางทีนักแสดงร่วมลืมบท ผมจำได้ก็ช่วยบอกเขาด้วย เห็นเสื้อนักแสดงหลุด ผมก็บอกฝ่ายคอสตูม ผมไม่ได้เหวี่ยงนะถ้าใครไม่ทำการบ้าน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นวัฏจักรที่ส่งไปถึงทุกคนว่าต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง และผมไม่ชอบคนดูถูกคนทุกคนเท่ากัน ผมกินอะไรทีมงานผมต้องกินแบบนั้น ทีมงานมาก่อนผมอีก ยกไฟ ยกกล้อง เหนื่อยจะตาย ตังค์ก็ได้น้อยกว่าฉะนั้นต้องเบรกพร้อมกัน อย่ามาเบรกให้นักแสดงกินก่อนแล้วทีมงานกินทีหลัง ผมไม่โอเค

ไม่มีใครเก่งตั้งแต่วันแรก ผมก็เช่นกันแล้ววันนี้ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าผมเก่ง แค่รู้สึกว่าดีสุดแล้ว ณ วันนี้ สิ่งที่ดีที่สุดของผมคืองานต่อไป เพราะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้น กว่าจะคิดอะไรแบบนี้ได้ มันต้องใช้เวลาซึ่งเกิดจากการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จนตกผลึกมาเป็นตัวเราเอง ไม่มีใครทำสำเร็จไปหมดทุกอย่าง ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่เราคาดเอาไว้ เราจะได้กลับมารีเช็กอีกทีว่าเกิดจากอะไร ถ้าเป็นเรื่องที่ควบคุมได้แปลว่าผิดที่เรา ก็ต้องแก้ไขถ้านอกเหนือการควบคุมก็ช่างมัน ปล่อยไป

อาจมีนอยด์บ้าง แต่ถ้ามัวหมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น ผมได้เรียนรู้ตลอดเวลาจากข้อผิดพลาดของตัวเองไม่ใช่คนเก่ง แค่มาถูกที่ ถูกเวลา

กดเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป >>>

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.