อิศวัชร์ ปิ่นทอง

ชนะตัวเองและคู่แข่งด้วยแสงแห่งธรรม ครูมาย - อิศวัชร์ ปิ่นทอง

ชนะตัวเองและคู่แข่งด้วยแสงแห่งธรรม ครูมาย - อิศวัชร์ ปิ่นทอง ผู้ฝึกสอนเทควันโดฟรีสไตล์พุมเซ่ทีมชาติไทย

ครั้งหนึ่ง ชีวิตของ ครูมาย - อิศวัชร์ ปิ่นทอง เคยดำเนินไปถึงจุดที่รุ่งเรืองที่สุด จนถึงจุดที่ว่างเปล่า และความเคว้งคว้างในชีวิตก็พาให้เขามาพบธรรมะ ซึ่งทำให้เขาค้นพบทางแห่งการเอาชนะตัวเอง และยังฝึกซ้อมนักกีฬาทีมชาติไทยจนชนะคู่แข่งในการแข่งขันเทควันโดฟรีสไตล์พุมเซ่อีกด้วย

เด็กกลางห้อง ไร้ความมั่นใจแต่อยากได้รับการยอมรับ

เด็กหน้าห้องเป็นเด็กเรียนหนังสือเก่ง ครูชอบมากถ้ามีการเลือกหัวหน้าห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กหน้าห้อง ซึ่งมักได้จดชื่อเพื่อน ได้ถือพานไหว้ครู ในขณะที่เด็กหลังห้องมักเป็นเด็กเกเร แต่ผมเป็นเด็กกลางห้องที่ไม่มีความโดดเด่นอะไร แม้กระทั่งเวลาเข้าแถวผมก็เป็นคนเตี้ยสุด ผมอยากนำสวดมนต์ อยากทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง ตอนที่ครูถามว่ามีใครอยากนำสวดมนต์หรือไหว้พระไหม ผมเคยรวบรวมความกล้าแล้วยกมือขึ้นเสนอตัว แต่เหมือนในการ์ตูน ยกเท่าไรครูก็ไม่เห็น ถามแต่ว่ามีใครอีกไหม มีใครอีกไหมลูก

แต่แล้วความฝันในการได้ทำกิจกรรมของผมก็เข้าใกล้ความจริงมากขึ้น เพราะครั้งหนึ่งครูบอกให้ผมไปเดินพาเหรดงานกีฬาสี ครูหานักเรียนในห้องประมาณ 5 คน ผมดีใจมาก รีบไปบอกแม่ว่าได้รับเลือกให้ทำกิจกรรมโรงเรียนตอนนั้นผมภูมิใจมาก แม่ก็เตรียมกล้องมาถ่ายรูปอย่างดีปรากฏว่าพอวันงานจริง ๆ แม่หาผมไม่เจอ เพราะผมและเพื่อนอีก 4 คนโดนจับทาสีดำทั้งตัว ในคอนเซ็ปต์ลากโลงศพผี เป็นความทรงจำที่ผมจำไม่ลืม

นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จเรื่องทำกิจกรรมของโรงเรียนแล้ว การเรียนผมก็แย่มาก อ่านหนังสือทั้งไทยและอังกฤษไม่ออก จนต้องโดนจับไปเรียนกับครูใหญ่ ซึ่งมีนักเรียนไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้องทำแบบนี้ ผมอายมาก ยิ่งทำให้ตัวเองไม่มีความมั่นใจมากขึ้น ผมไม่มั่นใจในตัวเอง แม้กระทั่งในห้องเรียนผมปวดปัสสาวะ ผมก็ไม่กล้าขออนุญาตครูไปเข้าห้องน้ำ ต้องแกล้งทำเป็นลื่นล้มตรงที่ที่มีน้ำแล้วปัสสาวะ

เส้นทางแห่งการได้รับการยอมรับและหนทางสู่นักกีฬาทีมชาติ

ผมหาทางให้ตัวเองได้รับการยอมรับโดยเริ่มเล่นกีฬาผมเริ่มเล่นยิมนาสติกแบบตีลังกา แต่เล่นได้ไม่นานก็เกิดเอ็นข้อมือฉีก ทำให้ต้องหยุดเล่นไป หลังจากนั้นช่วง ม.4 พี่สาวผมเรียนเต้นกับครูเป็ดแห่งบ้าน AF (วาเนสซ่า กัณโสภณ) ผมมีโอกาสตามไปดูพี่สาวเรียนเต้น ผมนั่งดูพี่สาวไปเรื่อย ๆ แต่ครูเป็ดเห็นว่าผมไม่ควรนั่งดูเฉย ๆ ให้เข้ามาเรียนด้วยกัน ผมเด็กที่สุดในชั้นเรียนและเป็นผู้ชายคนเดียว ตอนแรกก็รู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี่ เราไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ แค่ยืนเขย่งยังสั่น แต่พอเริ่มเรียน เราเตะขาติดหูได้ เรามองว่าเป็นเรื่องธรรมดา อาจเพราะเคยมีพื้นฐานจากยิมนาสติกมาก่อน แต่คนอื่นกลับร้อง อู้หู พอคนอื่นชมเราเริ่มรู้สึกว่าเรามีของ พอได้รับการยอมรับ ผมรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า จึงหันมาเรียนเต้นอย่างจริงจังขึ้น

ต่อมาก็เริ่มฝึกแอโรบิกยิมนาสติก คือการเต้นแล้วใช้ท่ายิมนาสติกประกอบ ผมกลับมาเล่นยิมนาสติกอีกครั้ง แต่เป็นยิมนาสติกแอโรบิก และมีโอกาสที่ดีมาก ๆ ในชีวิต นั่นก็คือช่วงมหาวิทยาลัยปี 2 มีคนมองหานักกีฬายิมนาสติกทีมชาติไทยประเภทแอโรบิกยิมนาสติก ผมสมัครเพื่อเข้าคัดเลือกและผ่านการคัดเลือก ได้รับใช้ชาติปีกว่าก็ลาออกจากทีมชาติ

หันหลังให้สิ่งที่รัก

หลังออกจากทีมชาติและจบปริญญาตรี ผมเคว้งเหมือนเด็กหลาย ๆ คนที่ไม่รู้ว่าจบมาแล้วจะทำอะไร จึงตัดสินใจตามพี่สาวไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พี่สาวไปเรียนเต้น แต่ผมยังไม่อยากเรียนเต้น ตอนแรกตั้งใจว่าจะมาเรียนภาษา แต่พอตามพี่สาวไป เห็นคนเรียนเต้นที่นี่แล้วเกิดคำถามว่า ทำไมเท่จัง ทุกคนดูเท่ไปหมด เราอยากเท่แบบนั้นบ้าง เหมือนมีพวกเขาเป็นไอดอล ผมตัดสินใจเรียนตามพวกเขาทุกอย่าง และการเรียนครั้งนี้ทำให้ผมมั่นใจในตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้ผมบุคลิกดี คงเพราะผมตั้งใจมาก เจ้าของสถาบันที่ผมเรียนเต้นจึงให้ทุนเรียนเต้นฟรี และเวลามีการแสดงเขาจะให้ผมร่วมแสดงด้วย ผมดีใจมาก ผมโทร.บอกแม่ ทั้งแม่และพี่สาวก็ดีใจกับผม

หลังจากได้รับข่าวดีแล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศที่ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาหนาวมาก อุณหภูมิติดลบ 30 องศา อาการบาดเจ็บที่เคยมีสมัยเล่นยิมนาสติกกลับมาอีกครั้ง มันเจ็บปวดมาก ผมรู้ตัวแล้วว่าไปต่อไม่ได้ ผมเสียใจมาก จำใจต้องไปบอกเจ้าของสถาบันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาพยายามยื้อผมไว้ให้รักษาตัวที่นั่น โดยที่เขาไม่รู้ว่าผมเจ็บมากขนาดไหน และผมถอดใจแล้ว จึงบอกเขาว่าจะกลับไปรักษาตัวที่เมืองไทยในที่สุดเขาก็ยอมแต่โดยดี

พอบอกเขาแบบนั้น ผมเดินคอตกเลย เหมือนฝันที่เรากำลังจะคว้าไว้ได้แล้ว จู่ ๆ ฝันนั้นก็ลอยสูงขึ้นไปอีกแล้วเรารู้ว่าเราเอื้อมไม่ถึงแล้ว ในที่สุดผมก็บอกแม่ว่า ผมจะไม่กลับไปเต้นอีกแล้ว

ทางสายใหม่สู่ความรุ่งเรือง

พอกลับมาเมืองไทย ผมไปหาครูเป็ดอีกครั้ง ครูเป็ดดีใจมาก ถามว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็เล่าให้ครูเป็ดฟังว่าสิ่งที่ไปทำมาสนุกอย่างไร เจออะไรมาบ้าง ผมบอกครูเป็ดว่าจะเลิกเต้น ครูเป็ดจึงชวนให้มาเป็นนักออกแบบท่าเต้นพอได้ยินแบบนั้น ผมคิดได้ทันทีเลยว่า ผมลืมว่ามีอาชีพนี้อยู่ เราไม่จำเป็นต้องเต้น แต่เรายังสามารถทำสิ่งที่เรารักและส่งต่อให้นักเต้นไทยได้อยู่

พอคิดจะเดินบนสายอาชีพนี้ แต่ผมยังไม่มีประสบการณ์ จึงเข้าไปศึกษางานที่บ้าน AF โดยหน้าที่ของผมคือ การกรอเทป! มีอยู่แค่นี้ (หัวเราะ) พอทำไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าผมไม่มีคุณค่า แค่เปิดเทป หยิบของ ผมทำอะไรได้มากกว่านี้ จึงคิดกลับไปประเทศสหรัฐอเมริกาอีกรอบคราวนี้ผมไปอยู่แอลเอ ซึ่งเป็นเมืองที่เหมือนเป็นศูนย์รวมการเต้นของโลก เมืองนี้ไม่หนาวเหมือนชิคาโก แม้อาการบาดเจ็บกลับมาบ้าง แต่ผมก็ทำกายภาพตัวเองตามที่ได้เรียนรู้มาเพื่อประคับประคองให้เราไปต่อได้ ผมเรียนที่นี่หนึ่งเดือน ประมาณห้าสิบกว่าครั้ง ผมตั้งใจฝึกเต็มที่และกลับมาประเทศไทยด้วยความมั่นใจ เพราะเราฝึกปรือมาเป็นอย่างดีผมกลับมาคราวนี้ด้วยความคาดหวังว่าเราจะเปลี่ยนวงการการเต้นของไทย

ผมได้งานทำเป็นนักออกแบบท่าเต้นที่บ้าน AFเสียงตอบรับดีมาก ทำให้เรามีงานทำ ได้ลงนิตยสาร ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ ผมมีความสุขและเป็นจุดที่รุ่งเรืองมาก ๆ ช่วงหนึ่งของชีวิตก็ว่าได้

ชีวิตขาลง เบนเข็มเข้าทางธรรม

ผมอยู่สภาวะรุ่งเรืองได้ไม่นาน พอ AF จบ ผมไม่มีงานเลย เสนอโปรเจ็กต์อะไรไปก็โดนปฏิเสธ เรากลายเป็นคนไม่มีงานทำ ผมเคยทะนงตนว่าเก่ง จบเมืองนอก เคยไปอยู่ในประเทศที่ทันสมัยสุด ๆ มาแล้ว ทำไมชีวิตถึงเป็นแบบนี้ แต่เพื่อนผมบางคนไม่ได้จบเมืองนอก เขากลับมีงานเข้ามาตลอด ทำไมทุกคนประสบความสำเร็จมากกว่าเราผมว่าต้องมีอะไรผิดปกติ เหมือนจิ๊กซอว์บางตัวมันหายไป

ผมใช้ชีวิตอย่างเคว้งคว้างอยู่ 2 เดือน วันหนึ่งผมขับรถผ่านเจอป้ายรับสมัครครูสอนสมาธิของหลวงพ่อวิริยังค์สิรินฺธโร ครั้งแรกที่ขับผ่าน ผมมองป้ายแล้วคิดว่า ผมไม่ได้อยากเป็นครูสมาธิ แค่อยากฝึกสมาธิ แต่ก็ยังไม่ได้ไปฝึก พอขับผ่านครั้งที่ 2 ผมรู้สึกว่า ไม่มีอะไรจะเสียแล้วตอนนี้ก็ยังว่างอยู่ อาจเพราะคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังเรื่องพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เล็ก ๆ ให้ผมหัดสวดมนต์ไหว้พระฟังธรรม ผมตามคุณแม่ไปใส่บาตรบ้าง แต่ยังไม่ได้ลงลึกเพราะฉะนั้นพอเราหลังชนฝา จึงเหมือนมีแสงเล็ก ๆ ให้เราได้เข้าไปลองเรียนวิชาของพระพุทธเจ้า ในที่สุดผมก็ตกลงเรียนแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แค่เพราะผมว่าง ผมเรียนหลักสูตรครูสมาธิ 6 เดือน ประมาณ 3 - 4 ชั่วโมงทุกวัน ช่วงแรกที่เข้าไปเรียนเรียกว่าระยะการดึงรั้งกิเลส มีเหมือนกันที่รถติดแล้วขี้เกียจไป แต่สถานที่ฝึกเป็นทางผ่านกลับบ้านอยู่แล้วก็เลยแวะเข้าไป ฝึกไปได้ 3 เดือน เริ่มเห็นทางแก้ปัญหาจิตใจร่มเย็น มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปเรียน สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเลยก็คือ ความคิดผมเป็นระเบียบมากขึ้นตอนแรกความคิดผมจะเป็น 3 2 1 4 แต่พอความคิดมีระเบียบ กลั่นกรองทุกอย่างได้ดีขึ้น ก็จะกลายเป็น 1 2 3 4 จนถึง 10 เรารู้ว่าจะเริ่มเดินเส้นทางไหน เราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วเราจะสร้างอะไรให้แก่สังคม ผมว่านี่คือ ขุมทรัพย์ยิ่งใหญ่ที่ผมค้นพบ เราจะหาขุมทรัพย์นี้ไม่เจอ ถ้าใจเราไม่นิ่งพอ การทำใจให้นิ่ง ยกตัวอย่างง่าย ๆเหมือนกับว่าเรากำลังขับรถและฝนตกหนักมาก การที่ฝนตกหนักคือ อารมณ์ ความอยากต่าง ๆ คือมีทั้งเม็ดฝนและโคลนต่าง ๆ บนกระจกที่ทำให้เรามองไม่เห็นทางข้างหน้าการทำใจให้นิ่งก็เหมือนการเอาผ้าไปเช็ดโคลนออก เราจะเห็นทางข้างหน้า มีคนข้ามถนนไหม เราจะเบรกให้เขาก่อน เราขับรถเร็วหรือช้าไปไหม การที่ใจเรานิ่งก็คือการที่เรามีสติและการค้นพบขุมทรัพย์แห่งชีวิตครั้งนี้เท่ากับผมได้ชนะตัวเองแล้ว

หลังจากผมฝึกสมาธิผ่านไป 6 เดือน เป็นเรื่องแปลกมาก เพราะมีงานโถมเข้ามาหาผมเต็มไปหมด แล้วก็ทำให้เราเปิดสถาบันเต้นวิถีพุทธได้ด้วย

สอนธรรมะผ่านการเต้น

ผมรู้สึกว่าการเจริญสติด้วยวิธีตามดูตามรู้กายถูกจริตกับผม ฉะนั้นการที่ผมเปิดสถาบันการเต้นวิถีพุทธขึ้นมาก็เพื่อให้เด็กรู้ตัว ตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน และทำให้เขารู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร ผมเปิดสถาบันนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาพฤติกรรมต่าง ๆ ของเด็กด้วย อย่างเช่นเด็กติดเกม การเล่นเกมไม่ได้ทำให้อยู่กับปัจจุบัน แต่อยู่กับความคิดที่จะเอาชนะตลอดเวลา จะสังเกตเห็นว่าเด็กติดเกมวัน ๆ ไม่กินข้าว ไม่ทำอะไร เพราะไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ผมแก้พฤติกรรมเหล่านี้ผ่านการเคลื่อนไหว เป็นการสอนให้เขารู้สึกตัวและอยู่กับปัจจุบันที่ง่ายที่สุด แล้วจะถูกจริตกับวัยรุ่นเราจะสอนเขาง่ายขึ้น เพราะถ้าพูดถึงธรรมะวัยรุ่นจะต้องคิดถึงการนั่งนิ่ง ๆ นุ่งขาวห่มขาว ไม่พูดกับใคร ทุกอย่างต้องช้า การที่ผมใช้วิธีแบบนี้จะทำให้เข้าถึงเด็กได้ดียิ่งขึ้น

บทบาทของผู้ฝึกสอนเทควันโดฟรีสไตล์พุมเซ่ทีมชาติไทย

กีฬาเทควันโดมี 3 ประเภท 1. เทควันโดแบบการต่อสู้อย่างของโค้ชเช (ชเว ยอง ซอก) 2. พุมเซ่ คือเทควันโดประเภทท่ารำ 3. ฟรีสไตล์พุมเซ่ประกอบเพลง ซึ่งต้องอาศัยทักษะเทควันโด ทักษะยิมนาสติก และทักษะการเต้น ซึ่งเข้ามาในประเทศไทยได้ประมาณ 3 ปี แล้วประเทศเราเพิ่งมีการเก็บตัวสำหรับเทควันโดประเภทนี้เป็นครั้งแรก

การเข้าสู่วงการการเป็นผู้ฝึกสอนเทควันโดฟรีสไตล์พุมเซ่ของผม เริ่มจากการที่คุณแม่เป็นอุปนายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย (ดร.สมคิด ปิ่นทอง) ชวนผมให้เข้ามาช่วยทำงาน ผมเข้าไปได้ประมาณ 2 เดือน แผนกของผมก็ถูกยุบ

ปีต่อมาประเทศไทยจ้างโค้ชเกาหลีเพื่อให้มาช่วยฝึกซ้อมเทควันโดฟรีสไตล์พุมเซ่ประกอบเพลงเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย และต้องการโค้ชไทยเข้ามาช่วยฝึกสอนร่วมด้วย ผมมีโอกาสได้เข้ามาช่วยฝึกสอน แต่กลับโดนด่าจากหลายทิศทาง ว่าโค้ชไทยจะมาสาระแนทำไม อยากให้ออกจากสนาม ด่ากันอุตลุด พอมีปัญหามากขึ้น โค้ชเกาหลีถูกส่งกลับประเทศ นักกีฬาก็แยกย้าย ไม่มีการเก็บตัว

จนกระทั่งปีที่แล้วมีการแข่งขันเทควันโดฟรีสไตล์พุมเซ่ประกอบเพลงชิงแชมป์เอเชีย ก็จ้างโค้ชเกาหลีมาอีกแต่โค้ชเกาหลีมีปัญหาวีซ่าทำให้ไม่สามารถมาได้ ไม่มีใครช่วยฝึกซ้อมให้นักกีฬา แม่มาบอกว่า ลูกช่วยเข้าไปดูหน่อยแต่ผมตอบปฏิเสธเพราะกลัวมีปัญหาอีก ผมปฏิเสธแม่ไป 3 - 4 ครั้ง จนแม่พูดมาประโยคหนึ่งว่า ตอนนี้ชาติกำลังต้องการความช่วยเหลือ ทำไมทำเพื่อชาติแค่นี้ไม่ได้ แค่นั้นแหละ ผมตัดสินใจรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนเทควันโดฟรีสไตล์พุมเซ่ประกอบเพลงทันที

ก่อนนักกีฬาจะได้โชว์ฝีมือยังคงมีหลายคนจ้องจับผิดและไม่ยอมรับผมอยู่ ปรากฏว่าผลการแข่งขันคือ นักกีฬาไทยได้ 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน แต่กรรมการขอยึดเหรียญทองไป เพราะเรามีตัวแข่งเกิน แต่จริง ๆ แล้วเขาอยากให้เหรียญหลาย ๆ ชาติ ถ้าเราได้เหรียญทองอีก ก็จะกลายเป็นชาติที่ได้เหรียญมากที่สุดในสายนี้ การที่เราไปแข่งเป็นครั้งแรกแล้วเราจะไปกวาดเหรียญมาหมดก็คงไม่ใช่แต่แม้จะโดนยึดเหรียญไป แต่เรายังมีเหรียญเหลืออยู่จากเสียงด่าที่ผมเคยได้รับ กลับกลายเป็นเสียงชื่นชมยินดีเข้ามาแทน

เอาชนะคู่แข่งด้วยพลังแห่งธรรม

หลังจากผมและนักกีฬาทำผลงานไว้ได้ดี เรามีโอกาสได้ไปแข่งชิงแชมป์โลก ผมต้องขอบคุณท่าน พิมลศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทยที่ส่งพวกเราไปเวทีระดับโลก โจทย์นี้ยิ่งใหญ่สำหรับผม มีเวลาเตรียมตัวเดือนครึ่งเท่านั้น ผมรู้สึกว่าการเป็นแชมป์โลกได้เราต้องมีอะไรมากกว่าคนอื่น แล้วผมก็คิดว่าผมปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว และเคยชนะตัวเอง ได้ชีวิตใหม่เพราะธรรมะ ผมอยากให้นักกีฬารู้จักธรรมะบ้าง ผมจึงบอกพวกเขาว่าเด็ก ๆ เราจะมาเรียนวิชาสุดท้ายกัน ถ้าหนูทำได้ หนูจะประสบความสำเร็จในการแข่งขัน นักกีฬางงกับสิ่งที่ผมพูดแต่ผมยังไม่อธิบายอะไรมาก ผมพานักกีฬาตัวเก็งไปวัดก่อนผมคิดว่าถ้าตัวเก็งทำได้ คนอื่นไม่น่าจะมีปัญหา

ผมพานักกีฬาไปสำนักปฏิบัติสวนพุทธธรรม หลวงพ่อมนตรี ป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขาไปฟังหลวงพ่อเทศน์ แล้วผมก็ถามคำถาม ท่านตอบทุกคำถามได้ตรงประเด็น และสอนวิธีภาวนา นั่นก็คือการเดินจงกรม การเดินจงกรมจะทำให้สติเราคมมาก รู้สึกตัวตลอดเวลา พอกลับมาจากวัด นักกีฬาคนนี้ซึ่งเคยมีท่าที่เขาทำไม่ได้ กลับทำท่านั้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ก่อนแข่งขันผมเปลี่ยนแปลงตารางการฝึกซ้อมนักกีฬาจะเดินจงกรมกันตลอด 1 เดือน วันละ 2 ชั่วโมงวันแข่งขันนักกีฬาก็จะเดินจงกรมกันอย่างหนักบนอัฒจันทร์แต่ผลปรากฏว่าเราแพ้เรียบ ผมเรียนรู้ทันทีว่าเรามาผิดทางเราเดินจงกรมเพราะเราอยากเอาชนะ ซึ่งครูบาอาจารย์ไม่เคยสอนแบบนี้ ท่านไม่เคยสอนให้เราคาดหวัง ท่านสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ในขณะนั้นปัจจุบันของเราเจือไปด้วยความอยากเอาชนะ ความคาดหวัง มันคือกิเลส ผมจำได้ดีว่าพอแข่งเสร็จ นักกีฬาเห็นคะแนนแล้วน้ำตาไหล ผมเข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะเขาหวังมาก ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อไม่ให้นักกีฬาเห็นว่าน้ำตาผมก็ไหลเช่นกัน

จากนั้นผมและนักกีฬามีโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง เพราะสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทยส่งไปแข่งเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย คราวนี้เราเดินจงกรมกันปกติ แต่ผมปรับให้นักกีฬามีมุมมองใหม่ต่อการเดินจงกรมว่าการเดินจงกรมเป็นกิจวัตรที่ต้องทำ ไม่ใช่เดินเพื่อเอาชนะ ผมสอนผ่านใจ ไม่ได้สอนผ่านสมอง ไม่ให้เกิดการคาดหวัง เพราะเวลาคนเราคาดหวังสิ่งที่ตามมาคือความผิดหวัง เมื่อไรที่เราไม่คาดหวังใด ๆ เลยและทำตัวเป็นธรรมชาติ เวลาเราได้รับอะไร เรามักเรียกว่าฟลุค จริง ๆ แล้วคำคำนี้มันเกิดจากการที่เราไม่ได้คาดหวังนั่นเอง ถ้าเราไม่คาดหวัง เรามักได้สิ่ง ๆ นั้น ผมจึงมักบอกนักกีฬาให้ทำใจให้อยู่ในสภาวะกลาง ๆ และตามรู้อากัปกิริยา อยู่กับปัจจุบัน บางทีเราคาดหวังว่าเราต้องตีลังกาแล้วลงมายืนให้ได้ เราเห็นภาพตัวเองลงมายืนก่อนแล้ว จนเราลืมคิดถึงปัจจุบันว่าเราวิ่งถูกจังหวะหรือเปล่า ฉะนั้นการตามรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และปรากฏว่าการแข่งขันครั้งนั้นเราได้หนึ่งเหรียญทองประเภทเดี่ยวและหนึ่งเหรียญทองแดงประเภทคู่ผสม

ธรรมะคือเคล็ดลับความสำเร็จ

ทุกวันนี้ผมมักเดินจงกรมเป็นหลัก แต่ก็มีนั่งภาวนาบ้าง แต่เน้นการรู้สึกตัวที่เรียกว่า สติปัฏฐาน 4 ถ้าเราหัวเราะ เราก็จะไม่หัวเราะจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง หรือถ้าจะเศร้าก็จะเศร้าแค่ประมาณหนึ่งเท่านั้น การปฏิบัติธรรมเป็นการขัดเกลาจิต ถ้าเราปฏิบัติบ่อย ๆ ก็จะเหมือนกับใบมีดที่ถูกทำให้มน ให้ทื่อ บาดเราก็ไม่ได้ บาดคนอื่นก็ไม่ได้

สำหรับผม คนที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตในทุก เรื่องควรศึกษาธรรมะเป็นอย่างมากเพราะธรรมะคือขุมทรัพย์แห่งความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม


เรื่อง อุรัชษฎา ขุนขำ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี ผู้ช่วยช่างภาพ ดวงพร ใบพลูทอง, อิศรา ราชตราชู, จิราพร ปานสุข สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์


บทความที่น่าสนใจ

คู่หูดูโอ้ แดน บีม อวยพรชาว Secret พร้อมเผยเคล็ดลับความสุข

Secret ข้อคิดเตือนใจ ส่งให้คนที่คุณรัก ในทุก ๆ วัน

6 วิธีวิ่งหนีความจำเจ สุดแสนจะ น่าเบื่อ ในชีวิตของคุณ นิตยสาร Secret

รวม 10 ข้อคิดเตือนใจ ให้ธรรมนำทาง จากพระอาจารย์ นิตยสาร Secret

3 ดาราเอเชียใจบุญ นิตยสาร Secret

แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ ผู้หญิงที่ไม่ได้มีแค่ “ความสวย” นิตยสาร Secret

 

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.