จิ๊บ อติกานต์ หนุนภักดี

“เมื่อความตายไล่ล่าผม”… จิ๊บ อติกานต์ หนุนภักดี (1)

“เมื่อความตายไล่ล่าผม”… จิ๊บ อติกานต์ หนุนภักดี (1)

คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายให้วัยรุ่นบางคนในยุคนี้เข้าใจว่าบุญ - บาปหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะถ้าไม่ “โดน” เข้ากับตัวเอง ก็คงไม่มีวันรู้สึก เช่นเดียวกับ จิ๊บ อติกานต์ หนุนภักดี ชายหนุ่มที่เกิดมาในครอบครัวดี มีฐานะ มีชาติตระกูล แถมมีชื่อเสียงโด่งดังจากการเขียนหนังสือ “หักหลังผู้ชาย” ร่วมกับเพื่อนสนิท กิ๊ก -อนิศ โอสถานุเคราะห์ จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “จิ๊บ - หักหลังผู้ชาย”

เมื่อก่อนชีวิตของเขาหลงติดอยู่ในแสงสี เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ เป็นเพลย์บอย มีแฟนครั้งละหลาย ๆ คนโดยไม่รู้สึกผิดและใช้เงินเดือนละเป็นแสน ๆ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิดมาจนชาชินอย่างเขา ถ้ามีคนถามว่าบาปบุญคุณโทษหน้าตาเป็นอย่างไร เขายังไม่เคยแม้แต่จะเสียเวลาคิดหาคำตอบในตอนอวสาน ชีวิตของจิ๊บ - อติกานต์คงจะดิ่งลงนรกเป็นแน่แท้ หากเขาไม่มาสะดุดกับเรื่องราวลี้ลับเข้าเสียก่อน…

 

แสบ ซ่า…ติดคุกเมืองนอก

แม้จะเกิดมาในตระกูลที่ดี คุณตาเป็นตำรวจ คุณพ่อรับราชการทหาร คุณแม่เป็นนักธุรกิจ แต่ผมเดินทางผิดมาตั้งแต่วัยรุ่น ผมไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่ดูหนัง ฟังเพลง และแอบหนีเที่ยวตั้งแต่อายุ 16 - 17 ผลการเรียนตกต่ำ เคยต้องเรียนซ้ำชั้นตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล เรียกว่าเป็นคนไม่เอาไหนเต็มขั้น คุณพ่อคุณแม่พยายามสนับสนุนให้ผมเรียนนายร้อยจะได้อยู่ในลู่ทางที่ดี แต่ท่านส่งให้ไปเรียนพิเศษ ผมก็ไม่ไป พอปิดเทอมช่วงซัมเมอร์ ผมเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันไปเรียนที่อเมริกากลับมา ผมก็อยากไปขึ้นมาบ้างแล้ววันหนึ่งคุณแม่ก็ยื่นข้อเสนอว่า จะไปเรียนเมืองนอกก็ได้แต่ต้องไปเรียนทหารที่ซิตาเดล (The Citadel)

ด้วยความที่อยากไปใช้ชีวิตอิสระที่เมืองนอก ผมจึงพยายามสอบโทเฟลจนผ่าน พอไปอยู่ที่โน่น ผมก็ลิงโลดเต็มที่กิน ดื่ม เที่ยว ใช้เงินอย่างลูกเศรษฐี แต่เรียนได้แค่ปีกว่า ๆ ก็เรียนไม่ไหว เพราะใจไม่รัก แถมยังต้องอยู่โรงเรียนประจำ ไม่ได้ออกไปไหน ตอนหลังจึงแอบย้ายไปเรียนศิลปะอีกโรงเรียนหนึ่งโดยไม่บอกให้แม่รู้

คราวนี้ชีวิตของผมเริ่มเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแก๊งวัยรุ่นที่เมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา ที่นั่นจะมีการแบ่งอย่างชัดเจนว่านี่แก๊งคนดำ แก๊งเอเชียน แก๊งผิวขาว และมีการเหยียดผิวกันรุนแรงมาก ผมเข้าไปอยู่ในแก๊งคนดำ พกปืนอย่างเขา เพื่อนบางคนถลำเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด มีเรื่องทะเลาะวิวาทผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัยจนต้องจ้างบอดี้การ์ดไว้คุ้มครอง

แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องจนได้ วันนั้นผมนั่งรถไปกับเพื่อนตำรวจเกิดเรียกค้นแล้วเจอปืนในรถ เราจึงถูกดำเนินคดีทั้งคู่ ช่วงฝากขังและรอขึ้นศาล ผมต้องเข้าไปอยู่ในคุก 2 เดือน ต้องอยู่รวมกับคนที่ดิบเถื่อนสุด ๆ  ทั้งผู้ต้องหาคดียาเสพติด ปล้นฆ่า เขาให้อยู่ห้องละ 2 คน  ผมได้อยู่ห้องเดียวกับคนดำอายุ50 กว่า ๆ คุกที่นั่นเป็นประตูกระจก ทุกเช้าประมาณแปดโมงเขาจะให้นักโทษเดินออกมาที่ลาน พอสิบโมงก็ต้องกลับเข้าห้อง พอเที่ยงก็ออกมาใหม่ ช่วงสิบโมงไม่มีอะไรจะทำ เราก็จะออกมายืนมองชีวิตผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผมต้องแกล้งรำมวยจีนเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเราก็ไม่ใช่ย่อยนะ (จริง ๆ แล้วผมรำมวยจีนไม่เป็นเลย) ซึ่งก็ได้ผล เพราะขาใหญ่เจ้าถิ่นเข้ามาบอกว่าเขารู้นะว่าผมเป็นมวย  เลยไม่ยุ่งด้วยดีกว่า

หลังจากนั้นครอบครัวก็ทำเรื่องขอให้ส่งตัวผมกลับเมืองไทยเพราะตอนไปขึ้นศาล ทางทนายแนะว่าให้กลับดีกว่า เพราะถ้ายังอยู่ที่นั่นอาจต้องใช้เวลาดำเนินคดีเป็นปี ใจจริงตอนนั้นผมยังไม่อยากกลับหรอก ยังรู้สึกสนุก แต่อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะของทุกอย่างโดนยึดเรียบ ขนาดตอนกลับประเทศไทยผมมีแค่เสื้อผ้าชุดเดียวกับไฟแช็กหนึ่งอันเท่านั้น

เจ้าชู้ หลงโลกมายา จนชีวิตตกต่ำ

พอกลับมาอยู่เมืองไทย ผมก็ยังคงเที่ยวผับ เที่ยวบาร์แต่งตัวหลุดโลกอยู่ บางวันเป็นเอามากถึงขั้นนุ่งโสร่ง มวนบุหรี่สูบ และเต้นสนุกสุดเหวี่ยงไม่ต่างกับตอนที่อยู่อเมริกา แถมงานการก็ไม่ทำ ตอนหลังผมขอเงินแม่เปิดผับกับเพื่อนฝรั่ง พอมีเงิน ก็ใช้กินใช้เที่ยวไปเรื่อย จนวันหนึ่งผมไปเที่ยวนาร์ซีซัสผับเจ้าของเห็นแล้วชอบความบ้าของผม เลยชวนให้ทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ ทำไปทำมาก็ได้รู้จักกับ กิ๊ก - อนิศ เราคุยกันถูกคอโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ก็เลยชวนกันเขียนหนังสือ “หักหลังผู้ชาย”ปรากฏว่าขายดิบขายดี ผมกลายเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ชายเจ้าชู้เพลย์บอย เวลาเดินไปไหนมาไหนก็มีคนเข้ามาชื่นชม มีผู้หญิงมาทอดสะพาน บ้างก็มาขอคำปรึกษาเรื่องแฟน ที่สำคัญ ผมทำให้คำว่า “กิ๊ก” กลายเป็นเรื่องธรรมดา ผมทำให้สังคมมองว่าการเที่ยว การเมา การทำผิดเรื่องกามเป็นเรื่องปรกติ

หลังจากหนังสือขายดี ผมก็ทำรายการทีวี ออกงานอีเว้นต์ไม่เว้นแต่ละวัน ผมเริ่มมีชื่อเสียง มีบ้านมีรถเป็นของตัวเองและไม่ต้องขอเงินทางบ้านใช้ เดือน ๆ หนึ่งผมมีรายได้เป็นแสน ๆแต่สันดานชั่วก็ยังอยู่ แถมตอนนี้มีเงินอีกต่างหาก ทุกอย่างเลยลงล็อก ผมมีแฟนพร้อมกันทีเดียว 4 คนโดยไม่รู้สึกผิดและไม่คิดว่าจะทำให้เขาเสียใจ ทั้งกินเหล้า เมา เจ้าชู้ ปาร์ตี้ใช้เงินแบบไร้สาระ หลงตัวเองสารพัดจนต้องเลิกกับแฟนคนแล้วคนเล่า

ตอนหลังหนักข้อถึงขั้นไม่ทำการทำงาน เมาหัวราน้ำไม่กลับบ้านกลับช่อง ผิดหวังกับเรื่องความรัก ครอบครัวทุกปัญหาประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ชีวิตเริ่มร่วง เงินเริ่มร่อยหรอ งานก็ไม่มี แย่สุด ๆ ถึงขนาดมีเงินเหลือติดกระเป๋าแค่ไม่กี่สิบบาท รถก็ถูกยึดเพราะผมไม่มีเงินส่งค่างวด ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ ผมขับรถไปส่งแฟนที่มหาวิทยาลัยพอจอดรถปุ๊บ ปรากฏว่ามีรถมาบล็อกหน้าบล็อกหลัง แล้วมีชายฉกรรจ์เดินลงมายึดกุญแจรถผมไปเลย

เมื่อชีวิตตีบตันและดิ่งลงจนถึงจุดต่ำสุด ผมก็เริ่มมองเห็นสัจธรรมของชีวิต เพื่อนบางคนหายหน้าไป บางคนก็ดูถูกเราความสุขแบบปลอม ๆ ที่เคยมีหายวับไปกับตา ตอนนั้นผมเริ่มเห็นแล้วว่าชีวิตจริง ๆ เป็นอย่างไร แต่ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองมากมาย ในเมื่อไม่มีเงินก็กินอยู่อย่างประหยัด…ก็เท่านั้น

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตที่ทำให้ผมเปลี่ยนทั้งความคิดและการกระทำ มันเป็นเรื่องลี้ลับเหนือคำบรรยาย เล่าไปแล้วบางคนก็หาว่าผมเพี้ยน ผมบ้า แต่คุณต้องลองได้เจอกับตัวเหมือนผมสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่าเมื่อถูกความตายไล่ล่า…มันน่าหวาดผวาแค่ไหน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ชีวิตผมกำลังแย่สุด ๆ…

คืนวันหนึ่งประมาณตีห้า ผมไม่สบายนอนซมอยู่ แล้วในความมืดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงคนมากระซิบว่า “ถึงเวลาต้องไปแล้ว ที่ผ่านมาทำอะไรไว้เขาจดไว้หมดแล้ว ไม่มีเวลาให้อีกแล้ว ถึงอยู่ต่อไปก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนอื่นให้เลือกมาว่าอยากตายวิธีไหน จะโดนยิง โดนตี โดนแทง…เลือกมา!” ผมกลัวมากและพยายามต่อรองกับเสียงนั้นว่าผมมีประโยชน์นะ แต่เสียงที่ตอบกลับมายังยืนยันหนักแน่นว่าอีกไม่นานผมจะต้องตาย

ผมตกใจร้องไห้โวยวายจนกวาง แฟนคนปัจจุบันตกใจผมวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เปิดไฟแล้วมองตัวเองในกระจก พยายามบอกตัวเองว่าเราคิดไปเอง แต่ทันใดก็มีเสียงพูดกลับมาว่า“ไม่เชื่อใช่ไหม คอยดู เดี๋ยวไฟจะดับ” สิ้นเสียง ไฟก็ดับพรึ่บ!ไปต่อหน้าต่อตา

คราวนี้ของจริงแล้วครับพี่น้อง ในหัวสมองของผมคิดอย่างเดียวเท่านั้นว่า “จะให้ผมทำอะไร ยังไงได้หมด ขออย่างเดียว อย่าเอาชีวิตผมไปเลย!…”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Secret Box
เมื่อบาปยังไม่ส่งผล คนชั่วก็เห็นว่าเป็นของดี ต่อเมื่อมันให้ผลเมื่อใด เมื่อนั้นแหละเขาจึงรู้พิษสงของบาป
พุทธศาสนสุภาษิต

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.