จุดไฟเผาทั้งเป็น

เรื่องจริงแสนทรมานของภรรยา ที่ถูกสามีทาสสุรา จุดไฟเผาทั้งเป็น

เรื่องจริงแสนทรมานของภรรยา ที่ถูกสามีทาสสุรา จุดไฟเผาทั้งเป็น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า หญิงชายจะเป็นคู่แท้กันได้นั้น ก็เพราะต่างฝ่ายต่างมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คือ ร่วมยินดีไปในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีล มีใจอยากสละให้ และมีความคิดความอ่าน มุมมองทั้งทางโลกและทางธรรมไปในทางเดียวกัน

ถ้าฉันได้รู้ข้อธรรมนี้มาก่อน ฉันอาจจะพินิจพิจารณาคนที่ตัวเองเลือกมาเป็น “สามี” ให้ถ้วนถี่กว่านี้ เพราะอย่างน้อยฉันก็คงไม่ถูกเขาทำร้ายจนรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นอย่างที่เป็นอยู่

ฉันเกิดและเติบโตที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกครอบครัวของเรามีฐานะยากจน มีอาชีพทำไร่ทำนา รับจ้างทั่วไปหลังจากที่พ่อเสียชีวิต ฉันซึ่งเป็นลูกสาวคนโตก็ต้องออกจากโรงเรียนมาทำงานรับจ้างทั้งที่เพิ่งเรียนจบแค่ชั้น ม.3 เพื่อช่วยแม่หาเลี้ยงน้องอีกสองคน ชีวิตของคนบ้านนอกเรียบง่ายและไม่สลับซับซ้อนอะไร ผู้หญิงเมื่อเติบโตจนถึงวัยแต่งงาน ก็จะมีผู้หลักผู้ใหญ่เป็นแม่สื่อแม่ชักแนะนำชายหนุ่มที่คาดว่าเหมาะสมมาให้รู้จัก ฉันเองก็เช่นกัน หลังจากคบหาดูใจชายหนุ่มบ้านเดียวกันที่ผู้ใหญ่แนะนำมาได้เพียง 4 เดือน ฉันก็ตัดสินใจแต่งงานกับเขา เพราะคิดว่าอย่างน้อยครอบครัวของฉันจะได้มีคนมาช่วยทำงานแบ่งเบาภาระ

ฉันยอมรับว่าไม่รู้จักนิสัยใจคอของเขามากนัก รู้แต่ว่าเขาดื่มเหล้า สูบบุหรี่บ้างเล็กน้อย และขยันขันแข็งดี แต่เมื่อใช้ชีวิตคู่จริง ๆ สิ่งที่ฉันคิดนั้นกลับผิดทั้งหมด เขาดื่มเหล้าเป็นกิจวัตร และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของเราต้องพังทลาย

หลังอยู่กินกันได้ราว 4 - 5 เดือน เขาก็พาฉันไปทำงานโรงงานแปรรูปไก่เพื่อส่งออกที่ตำบลอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาครเราทำงานไปใช้เงินไปจนแทบไม่มีเงินเหลือเก็บ และที่แย่กว่านั้นคือ หลังเลิกงานเขามักจะไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนจนมืดค่ำพอกลับมาก็ชอบชวนทะเลาะ ใช้อารมณ์รุนแรงกับฉัน บางครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายก็เคยอยู่บ่อย ๆ

แม้จะเจ็บทั้งกายทั้งใจ แต่ฉันก็ยังทนอยู่กับเขา คิดตามประสาคนซื่อว่า ผู้หญิงเราเมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องอดทน

ไม่นานฉันก็มีลูกคนแรก และต้องส่งไปให้ปู่กับย่าช่วยเลี้ยง อีก 2 ปีต่อมาฉันตั้งท้องลูกคนที่สอง สามีจึงชวนให้กลับไปหางานทำที่บ้านเกิด คราวนี้นอกจากเขาจะดื่มเหล้าเป็นประจำแล้ว ยังไม่ยอมไปรับจ้างทำงานที่ไหนเลย เอาแต่ยิงนกตกปลาไปวัน ๆ เราจึงไม่มีเงินใช้จ่าย ฉันต้องออกไปทำงานรับจ้างต่าง ๆ ตามลำพัง ทั้งดำนา เกี่ยวข้าว หักสับปะรดแต่เงินที่ได้ก็ยังไม่พอ วันหนึ่งเราก็เลยทะเลาะกัน ฉันบอกเขาว่า

 

“ถ้าพี่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เราก็จะมีเงินพออยู่พอกินได้นะพี่”

 

เขาตอบกลับมาด้วยอารมณ์ว่า

 

“ถ้าให้เลิกเหล้า เลิกบุหรี่…เลิกเมียดีกว่า!”

 

สุดท้ายเราก็ได้เลิกกันจริง ๆ แต่ผ่านไปแค่ 6 เดือน เขาก็ตามไปงอนง้อขอคืนดี ฉันใจอ่อนเพราะสงสารลูก แต่ชีวิตคู่ของเราก็ไปไม่รอด เราอยู่ด้วยกันไม่นานก็ต้องเลิกกันอีกซึ่งสาเหตุก็มาจากปัญหาเดิม ๆ นั่นเอง

หลังจากครั้งนี้แล้ว ฉันบอกตัวเองว่าจะไม่มีทางคืนดีกับเขาอีกเด็ดขาด ฉันอยากจะหนีไปจากเขา จึงตัดสินใจไปทำงานก่อสร้างที่จังหวัดปราจีนบุรี ผ่านไป 2 ปี จู่ ๆ วันหนึ่งเขาก็โทร.มาหาฉัน บอกว่า “ขอเอาลูกคนเล็กมาฝากได้ไหมพี่เลี้ยงไม่ไหวแล้ว”

ด้วยความรักลูก ฉันจึงยอมให้ลูกคนเล็กซึ่งกำลังเรียนอยู่ ป.2 มาอยู่ด้วย ลูกอยู่กับฉันได้เทอมกว่า ๆ เขาก็โทร.มาถามว่าจะคืนดีกับเขาไหม ฉันตอบปฏิเสธไปพร้อมกับบอกว่า “คราวก่อนที่คืนดีก็เพราะสงสารลูก แต่พี่ก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้” ฉันพยายามพูดกับเขาด้วยเหตุผล แต่เขาก็ไม่ฟัง ยังคงโทร.มาตามตื๊อไม่เลิก แต่คราวนี้ฉันไม่ยอมใจอ่อนอีกแล้ว แม้ในใจจะนึกกลัว ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน

 

แต่ในที่สุดเขาก็หาวิธีเข้าถึงตัวฉันจนได้… !

 

วันที่ 31 ธันวาคม 2554 เขาเดินทางมาหาฉันถึงห้องเช่าอ้างว่าจะมารับลูกไปเยี่ยมปู่กับย่า สีหน้าท่าทางของเขาในวันนั้นไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่ลูกเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ชวนลูกออกไปนั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าห้อง สั่งอาหารจากร้านขายอาหารที่อยู่ใกล้ ๆ มากิน ตามด้วยเหล้านอกอีกขวด!

เขานั่งแช่อยู่อย่างนั้นตั้งแต่บ่ายสามโมง กระทั่งสองทุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ ฉันนึกหวาดระแวง จึงปิดประตูใส่กลอนแล้วเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง คอยแอบดูพฤติกรรมของเขาทางหน้าต่าง

ราวสี่ทุ่ม เขาตะโกนโวยวายว่าหากระเป๋าสตางค์ไม่เจอจะขอเข้ามาดูในห้อง ฉันเปิดประตูให้อย่างเสียไม่ได้ จังหวะนั้นฉันไม่ได้เอะใจอะไรเลย คิดแค่ว่าถ้าเขาเจอกระเป๋าสตางค์จะได้ไปเสียที แต่เขาหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ตอนนั้นเขาทำท่าว่าจะเดินออกไปจากห้องแล้ว ฉันจึงไม่ได้ระแวงแคลงใจอะไรทั้งสิ้น แต่แล้ว ขณะที่ฉันกำลังจะเดินหันหลังให้เขาเพื่อไปเข้าห้องน้ำ

 

เขาก็พุ่งเข้ามาหาฉัน พร้อมกับสาดน้ำมันใส่แล้วจุดไฟเผาทันที!

 

นาทีนั้นฉันไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัวใด ๆ ทั้งสิ้น จำได้ว่ามันปวดแสบปวดร้อนไปหมด จนต้องร้องโหยหวนออกมาในหูได้ยินเสียงแตกดังเปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เหมือนเนื้อที่กำลังโดนย่างไฟ…ฉันนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นห้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน คิดว่าคงตายแน่แล้ว ในใจนึกถึงแต่พ่อ แม่และคุณพระคุณเจ้า…

…แล้วการรับรู้ทั้งหมดก็ดับวูบลง!

ผ่านไปนานแค่ไหน ฉันไม่อาจรู้ได้ มารู้ตัวอีกทีคือตอนที่พยาบาลของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เข้ามาเรียก และบอกว่าฉันนอนไม่รู้สึกตัวมา 2 อาทิตย์แล้ว อาการของฉันสาหัสมากร่างกายโดนไฟไหม้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ คุณหมอบอกว่าโอกาสรอดน้อยมาก เวลาทำแผล พยาบาลจะนำผ้าก๊อซมาถูตามเนื้อตามตัวเพื่อให้หนังที่ตายแล้วหลุดออก ฉันเจ็บปวดแทบขาดใจตอนนั้นฉันคิดอะไรไม่ออก ได้แต่นอนแน่นิ่ง ตาจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

ฉันต้องอยู่แต่ในห้องปลอดเชื้อเพียงลำพังนานถึง 8 เดือน ภาพที่แม่มาเยี่ยมและคอยเฝ้าดูฉันจากอีกห้อง ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกหม่นหมอง ซึมเศร้าจนน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่บ่อย ๆ ในใจคิดว่า

 

“ถ้ารอด แต่พิการให้แม่ต้องมาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ ฉันขอฆ่าตัวตายดีกว่า ฉันไม่อยากเป็นภาระของแม่ เพราะแม่ลำบากมามากพอแล้ว”

 

ชีวิตฉันตอนนั้นมืดมนเสียเหลือเกิน…น้องสองคนไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ คนรองก่อคดีจนต้องติดคุก ส่วนคนสุดท้องก็เกกมะเหรกเกเร ออกจากโรงเรียนแล้วก็ไม่ช่วยแม่ทำงาน…กำลังใจของฉันดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด และแล้ววันหนึ่งความหวังก็แทบจะหมดลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อฉันเห็นหน้าตาของตัวเองในกระจก

แวบแรกที่เห็น ใจฉันหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ใบหน้าของฉันไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกเลย มันอัปลักษณ์ผิดรูปจนฉันแทบจะจำตัวเองไม่ได้ ฉันร้องไห้อย่างหนักและโทร.ไปหาแม่ทันที

 

“แม่…หน้าหนูเหมือนผีเลย ลูกจะกลัวหนูไหม…หนูรับตัวเองไม่ได้ หนูไม่อยากเป็นภาระของใคร”

 

แม่คงสงสารเลยพูดปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวก็หาย แม่ไม่ทิ้งลูกหรอก” ส่วนพ่อเลี้ยงซึ่งรักและเข้าใจฉันเป็นอย่างดีก็บอกว่า “ถึงจะเป็นอย่างไร ตาก็รับได้ หายแล้วกลับมาบ้านเรา เดี๋ยวตาดูแลเอง”

ตอนนั้นกำลังใจของฉันเหลือเพียงริบหรี่ ถ้าไม่คิดถึงพ่อแม่ไม่คิดถึงลูกทั้งสองคน ฉันคงฆ่าตัวตายไปแล้ว ตลอดเวลาที่นอนอยู่โรงพยาบาล แม้ฉันจะทำใจยอมอโหสิกรรมให้กับสามี แต่ก็อดนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ “ถึงเขาจะติดคุกแต่มือเท้ายังมีครบ จะทำอะไรก็ได้ ไม่ลำบาก แต่ตัวเรานี่สิต้องกลายเป็นภาระให้พ่อแม่ แถมยังต้องเจ็บตัวอีกด้วย”

วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน ลูก ๆ มาหาฉันแต่ไม่มีใครกล้ามองหน้าแม่ ฉันรู้สึกเสียใจที่สุด เหมือนความหวังสุดท้ายในชีวิตเลือนหายไป…แม้แต่ลูกยังรับสภาพของเราไม่ได้ แล้วเราจะไปสู้หน้าใครได้!

โชคดีที่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ลูกก็ค่อย ๆ ยอมรับฉันได้หลังเลิกเรียน พวกเขาจะเข้ามาจับเนื้อจับตัวฉัน สัมผัสเบา ๆ จากมือเล็ก ๆ ของลูก ทำให้ฉันดีใจอย่างที่สุด ลูกทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไป

ทุกวันนี้ร่างกายของฉันยังไม่หายเป็นปกติ เวลาเดินก็จะเซซ้ายเซขวา ส่วนมือก็ยังหยิบจับอะไรไม่ได้ เพราะกล้ามเนื้อที่มือยึดจนดันกระดูกออกมา ส่วนหนังมือก็ติดกันเป็นแพหมอบอกว่าฉันต้องผ่าตัดอีกหลายครั้ง และอาจจะต้องรักษากันไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว

ตอนนี้ฉันหวังแค่เพียงให้ร่างกายแข็งแรง มือไม้กลับมาใช้งานได้บ้าง จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ฉันถือเป็นบุญที่มีโอกาสรอดมา…ได้เห็นหน้าลูก และได้เฝ้าดูพวกเขาเจริญเติบโต

ส่วนอดีตที่ผ่านมาฉันขอทิ้งไว้ข้างหลังและตั้งใจว่าจะอยู่กับชีวิตในวันนี้ปัจจุบันนี้…เท่านั้น

 

เรื่อง พัชราพร ป้องคูหลวง เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ

ขอขอบคุณ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล


บทความน่าสนใจ

เมื่อความอิจฉาริษยาพาวินาศ แง่คิดเตือนใจจาก ท่านว. วชิรเมธี

ชัยชนะที่น่าชื่นชมคือการ ชนะความโกรธ

เมื่อความอิจฉาริษยาพาวินาศ แง่คิดเตือนใจจาก ท่านว. วชิรเมธี

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.