ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ

เบื้องหลัง“ความกลัว”มักมีความสำเร็จรออยู่ – ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ

เบื้องหลัง“ความกลัว”มักมีความสำเร็จรออยู่ – ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ

คนเรามักสร้าง    “กำแพง”    ขึ้นมาป้องกันตนเอง    เมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยแต่จะมีกี่คนที่รู้ว่า    แท้จริงแล้วเบื้องหลังกำแพงนั้นมีอะไรรออยู่

ชาย    –    ชาตโยดม    หิรัณยัษฐิติ    นักแสดงมากฝีมือที่เรารู้จักกันในวันนี้    ยอมรับว่า    แต่ไหนแต่ไรมา    “การแสดงออก”    กับเด็กชายชาตโยดมนั้นถือว่าเป็นอริกันอย่างสิ้นเชิง    หรือถ้าให้เปรียบอารมณ์กลัวการแสดงออกเป็น    “กำแพง”    ก็คงเป็นกำแพงสูงใหญ่ที่ชายกลัวมาก    และไม่เคยคิดจะก้าวข้ามไปแม้แต่น้อย

ทว่าในเวลาต่อมา    ผู้ชายคนนี้กลับก้าวผ่านกำแพงนี้ได้สำเร็จ    เขาทำได้อย่างไร    และที่สำคัญเขาค้นพบอะไรบ้าง

ขอบอกว่า    น่าติดตามทีเดียว…

 

หาความพอดี    (ในชีวิต)    ให้เจอ

ชายเป็นคนขี้อาย    (มาก)    มาตั้งแต่เด็กๆ  ไม่ชอบการแสดงออกต่อหน้าสาธารณชนเลย  เพราะถ้าจำเป็นต้องทำทีไร    ชายจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม    กำลังจะตายอยู่ตรงนั้นเลย    มันตื่นเต้นไปหมด

แต่ไปๆ    มาๆ    เส้นทางชีวิตก็พาให้ชายต้องมาเจอกับการแสดงจนได้ตอนนั้นลังเลอยู่นานเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรดี    เพราะความรู้สึกมันก้ำกึ่งระหว่างความกล้ากับความกลัว    จะลองดีไหม    หรือไม่ทำดี    แต่สุดท้ายก็เป็น    อาจิ๋ม    (มยุรฉัตร    เหมือนประสิทธิเวช)    ที่เข้ามาบอกกับชายว่า

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่บังคับให้ทำ    แล้วโอกาสอย่างนี้ก็ไม่ได้มีมาง่ายๆ    การได้ลองทำในสิ่งที่เราไม่กล้า    ผลจะออกมาดีหรือไม่ก็ไม่เป็นไร    เพราะถือว่าอย่างน้อยเราก็ได้ลองแล้ว    ไม่ควรปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปเฉยๆ”

คิดไปคิดมา    ชายจึงตัดสินใจว่า    “เอาวะ    ลองบ้าดูสักครั้งก็ได้”ในที่สุดพอได้เล่นละครจริงๆ    ถึงรู้ว่า    การแสดงคือการปลดปล่อยทางอารมณ์ที่มีพลังมากๆ    เพราะเราสามารถทำอะไรก็ได้ในโลกการแสดงเท่านั้นยังไม่พอ    ชายยังเริ่มตั้งโจทย์กับตัวเองว่า    ทำอย่างไรจึงจะเป็นนักแสดงที่ดี    คำตอบที่ได้ก็คือ    “ต้องเชื่อว่าเราเป็นตัวละครตัวนั้น”    นั่นจึงนำไปสู่การตั้งใจแบบขั้นสุดและพยายามเชื่อในตัวละครที่เล่นแบบจริงๆ    จังๆ

วิธีการนี้ถึงจะทำให้เข้าถึงบทบาทได้จริงๆ    แต่กลายเป็นว่าพอสั่งคัตปั๊บ    ชายก็ยังพยายามเก็บความเป็นตัวละครกลับบ้านไปด้วย    ชายเป็นอย่างนี้อยู่สักพัก    จนรู้สึกว่าตัวตนของชายเริ่มหายไป    เริ่มคิด    เริ่มรู้สึกแบบตัวละคร    รักก็รักจริงๆ    คิดถึงก็เป็นเอามากจนทนไม่ไหว    ซึ่งอาการที่ชายเป็นอยู่…ไม่ใช่หัวใจของการแสดงเลย

จากเรื่องนี้ทำให้ได้เรียนรู้ว่า    อะไรที่มากเกินไปมักจะให้ผลเสียตามมา    ต้องหา    “ความพอดี”    ให้เจอ    เชื่อไหมว่า    พอชายหาตรงนี้เจอในที่สุดการแสดงก็คือสิ่งที่ชายรักมากที่สุดไปแล้ว

คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

ฉัน    (เคย)    เขลา    ฉัน    (เคย)    เยาว์    และฉัน    (เคย)    ดื้อ   

ความที่ชายโตมากับคำสอนของคุณแม่    ซึ่งท่านได้รับการสอนมาจากคุณตาอีกทีว่า    “เวลาเราไม่พอใจใคร    อย่าเผยความรู้สึกให้เขาเห็นเพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราอาจต้องมาข้องเกี่ยวกับเขาอีกไหม”

ประกอบกับนิสัยของชายเป็นคนเงียบๆ    อยู่แล้ว    ชายจึงกลายเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกให้ใครเห็น    ไม่เล่าอะไรให้ใครฟัง    เก็บทุกอย่างไว้กับตัวหมด    ยิ่งถ้าเป็นปัญหาด้วยแล้ว    ชายจะพยายามคิดหาทางแก้ด้วยตัวเองตลอด    ซึ่งดีว่าเรื่องไหนแก้ได้ก็ดีไป    แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะเก็บสะสมอยู่ในใจไปเรื่อยๆ

ในที่สุดวันหนึ่งชายรู้สึกว่าใจมันหนักไปหมด    เครียดจนทนไม่ไหวคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดปากเล่าให้ใครฟังสักที    ชายจึงตัดสินใจไปหาคุณแม่แบบกล้าๆ    กลัวๆแล้วค่อยๆ    เล่าสิ่งที่อึดอัดใจให้ท่านฟัง

ไม่น่าเชื่อว่า    แค่ได้เล่า    ชายก็รู้สึกว่าสิ่งที่แบกไว้มันเริ่มเบาลง    ยิ่งพอคุณแม่แนะวิธีแก้ปัญหาให้ก็ยิ่งรู้สึกว่า    “จริงๆ    แล้วมันแค่เรื่องเส้นผมบังภูเขาเท่านั้นเอง    แต่ที่เรามองไม่เห็นทางแก้ก็เพราะเราไม่ได้มองมันอย่างมีสติ”    พอมีคนมาช่วยเอาเส้นผมนั้นออกไป    เราก็เริ่มเห็นทางแก้    ไม่ต้องมานั่งกลุ้ม    นั่งเครียดคนเดียวอีก

เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ชายมองย้อนกลับไปว่า    ทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความดื้อ    ความเขลาของตัวเองที่    “ไม่รู้จักเลือกใช้”    สิ่งที่คุณแม่สอนมา    แต่กลับเอามาใช้กับทุกเรื่องของชีวิตจนกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง    ทำให้เครียดและทุกข์ใจโดยไม่รู้ตัว

เชื่อเถอะ    ชีวิตเป็นของเรา

 หมอดูเคยบอกชายมาตั้งแต่เด็กๆ    ว่า    คนอย่างชายทำการค้าไม่ได้เพราะเป็นคนใจดี    ใจอ่อน    ถ้าทำการค้าก็เจ๊งแน่ๆ    ชายก็คล้อยตามว่าตรงกับนิสัยของตัวเองจริงๆ    ทำให้หลังจากนั้นธุรกิจการค้าจึงเป็นเรื่องที่ชายปฏิเสธมาตลอด    ไม่ว่าใครจะชวนอย่างไรก็ตาม

แต่ถึงปฏิเสธอย่างไร    โอกาสเหล่านี้ก็ยังมีเข้ามาเรื่อยๆ    จนกระทั่งเมื่อสองปีที่ผ่านมา    ชายถึงเริ่มคิดได้ว่า    ทำไมต้องเชื่อหมอดูด้วย    ทั้งที่ตัวชายเองก็โตมากับความเชื่อที่ว่า    “ถ้าคิดจะทำอะไร    ถ้ามีความตั้งใจชายต้องทำได้แน่นอน”    แล้วจะมายึดติดอะไรกับคำทำนายของหมอดู    ลองทำก่อนก็แล้วกัน

นั่นจึงเป็นที่มาของการเปิดร้าน    Pancake    Caf        ร้านขนมรูปแบบใหม่ที่ชายร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ    (ปัจจุบันมีถึง    4    สาขาแล้ว)    พอได้ทำถึงได้รู้ว่า    จริงๆ    แล้วคนใจอ่อนก็ทำธุรกิจได้เหมือนกัน    เพียงแต่    “ถ้ารู้ว่าจุดอ่อนของเราคืออะไร    ก็อย่าไปอยู่ตรงนั้น    แล้วเลือกเอาจุดแข็งหรือสิ่งที่ถนัดมาใช้แทน”

ด้วยเหตุนี้ชายจึงรับหน้าที่คิดเมนู    ตกแต่งร้าน    และยกหน้าที่ดูแลบัญชีให้หุ้นส่วนจัดการแทน    ซึ่งชายสบายใด้วยเหตุนี้ชายจึงรับหน้าที่คิดเมนู    ตกแต่งร้าน    และยกหน้าที่ดูแลบัญชีให้หุ้นส่วนจัดการแทน    ซึ่งจที่ได้ทำหน้าที่นี้    และหุ้นส่วนก็โอเค

ไม่มีใครรู้จักเราดีเท่ากับตัวเราเอง    เชื่อเถอะว่า    “ชีวิตเป็นของเรา    เราออกแบบได้”

Secret คือแรงบันดาลใจ
สั่งซื้อนิตยสารหรือสมัครสมาชิก Secret ได้ที่ 0-2423-9889
ทาง Naiin.com : https://www.naiin.com/magazines/title/SC/

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.