รอง เค้ามูลคดี

“ฉันคือร่างกาย เธอคือหัวใจ” ความรักอันยิ่งใหญ่ของ รอง เค้ามูลคดี

“ฉันคือร่างกาย เธอคือหัวใจ” ความรักอันยิ่งใหญ่ของ รอง เค้ามูลคดี

กว่า 50 ปีคือห้วงเวลาแห่งความรักที่คู่รักอมตะ รอง - ปทุมวดี เค้ามูลคดี จับมือเดินทางร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน แม้ในวันนี้คู่ชีวิตจะถูกโรคภัยรุมเร้า แต่มือทั้งสองของ รอง เค้ามูลคดี ยังคงเกาะกุมมือของภรรยาไว้ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ความรักที่หล่อหลอมให้คนสองคนกลายเป็นเหมือนเป็นคนคนเดียวกันนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร เรื่องราวของคุณรอง เค้ามูลคดี คงเป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดี

ได้ชื่อว่าเป็นคู่รักอมตะของวงการบันเทิง จุดเริ่มต้นของความรักเป็นอย่างไรคะ

ตอนนั้นทุมเป็นนักร้องดังมาก รูปเขาลงหน้าปกหนังสือพิมพ์วันอาทิตย์เป็นประจำผมก็เห็นว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาดีนะ วันหนึ่งได้เจอกันที่รายการเพลงยามเย็น เพราะเขามาเป็นนักร้องรับเชิญในรายการพร้อมเพื่อนอีกคน ผมมองว่าเขาสวย แต่กลับไปจีบเพื่อนเขา (หัวเราะ) แล้วก็เป็นแฟนกับเพื่อนเขาด้วย แต่ทะเลาะกันทุกวัน

พอมีปัญหาก็ปรึกษาทุมซึ่งตอนนั้นเป็นเพื่อนกันแล้วว่า “ทุม เราเบื่อเพื่อนนายจังเลย ทะเลาะกับเราทุกวัน เซ็งมาก” ทุมก็แนะนำว่าทำอย่างนี้ ๆ สิ ซึ่งพอทำตามก็ดีขึ้นแต่ไม่นานก็กลับมาทะเลาะกันอีก จนสุดท้ายต้องเลิกรากันไป เพราะคิดว่า ขนาดเป็นแฟนยังทะเลาะกันอย่างนี้ ถ้าแต่งงานกัน บ้านไฟไหม้แน่

หลังจากเลิกกับเพื่อนเขาแล้วก็เจอทุมบ่อยขึ้น เราไปเที่ยว ไปกินข้าวด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ เวลามีปัญหาอะไร ทุมช่วยแนะนำได้หมด ผมก็เห็นแล้วว่าผู้หญิงคนนี้เก่งและมีน้ำใจมาก บางวันเขาถามว่า “วันนี้เป็นอะไรหน้าเหี่ยวมาเลย ไม่มีเงินเหรอ เอาเงินเราไปใช้สักสองพันก่อนไป” นานวันเข้าก็ทำให้คิดได้ว่า ผู้หญิงคนนี้ดี ถ้าสักวันมาเป็นแฟนเป็นภรรยา ชีวิตเราอยู่รอดแน่ เวลาเจออะไรคับขันก็ช่วยกันแก้ไปได้ แต่ก็ไม่เคยบอกรักเขาสักที

วันที่ตัดสินใจบอกรัก เหมือนฉากโรแมนติกในละครหรือเปล่าคะ

วันที่ขอแต่งงานคือวันที่ไปกินข้าวกันเป็นกลุ่มสิบกว่าคน ผมนั่งติดกับทุม ในใจก็คิดว่าเอาไงดีนะ พอรวบรวมความกล้าแล้วก็จับมือบอกเขาว่า “เธอกับฉันแต่งงานกันนะ”ทุมก็ตกใจ แต่ผมก็ยืนยัน ทุมเลยบอกว่า“ถ้าอย่างนั้นไปขอกับพ่อเลย”

ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 21 ปี ถ้าไปบอกพ่อให้ไปขอผู้หญิง พ่อคงไม่ไปให้ แต่ก็เสี่ยงดู พ่อถามว่า “แต่งกับใคร เลี้ยงเขาได้เหรอแล้วเราก็ควงคนโน้นคนนี้ ให้ฉันไปขอให้วันหนึ่งไปทิ้งลูกเขา ใครล่ะที่โดนถอนหงอกฉันไม่ขอให้หรอก อยากแต่งก็ไปขอเอง”

หลังจากนั้นผมก็ไปมาหาสู่ทุมที่บ้านอยู่เป็นปี รู้จักครอบครัวเขาหมด แต่ไม่กล้าพูดเรื่องแต่งงานกับพ่อของเขา จนช่วงหนึ่งผมหายไปสักพักเพราะงานยุ่งและไม่สบาย ทุมโทร.มาบอกว่าพ่อถามหา วันรุ่งขึ้นจึงไปหาแล้วบอกพ่อทุมว่าอยากขอทุมแต่งงาน พ่อเขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “คุณจะเอาอะไรเลี้ยงลูกผม” เราก็บอกไปตามตรงว่าไม่มีเงิน แต่มีความจริงใจ แล้วให้สัญญากับพ่อของทุมว่า“ผมกับทุมจะแยกกันต่อเมื่อใครคนใดคนหนึ่งอยู่บนเมรุ” ซึ่งพ่อเขาก็เชื่อ เราจึงได้แต่งงานกัน

วันแต่งงานผมไม่มีเงินเลย ญาติพี่น้องของทุมมากันเต็มบ้าน พอผมเดินเข้ามาก็เห็นมีพานผูกผ้าอย่างดี ถึงเวลาทำพิธีพ่อตาบอกให้แกะผ้าออก ในนั้นมีทั้งสร้อยกำไล แหวนเพชรเต็มไปหมด อีกพานเป็นเงินสดซึ่งรวบรวมมาจากญาติพี่น้องของเขาเห็นอย่างนั้นผมน้ำตาไหลเลย ครอบครัวของเขาทำเพื่อเราขนาดนี้

รอง เค้ามูลคดี

แสดงว่าตอนหนุ่ม ๆ ก็เกเรอยู่เหมือนกัน

ตอนนั้นพองานเสร็จ เงินออก ก็เที่ยวเลย ไปกับพรรคพวกนักพากย์ โดยไม่ได้คิดว่าพรุ่งนี้มีพากย์เรื่องต่อไป เพราะผมพากย์หนังแทบทุกเรื่อง แต่เพื่อนไม่ได้มีคิวพากย์กับเรานะ สมัยนั้นไม่มีจำกัดเวลา ตีสามตีสี่ถึงเลิก แล้วถามว่าเช้าจะตื่นไหวไหม เขานัดพากย์เก้าโมงสิบโมง กว่าจะตื่น อาบน้ำแต่งตัว ขับรถออกมา ไปทำงานสายเกือบทุกวัน นี่คือข้อเสียของเราในสมัยนั้น

ช่วงหนึ่งติดตีกอล์ฟ ต้องไปออกรอบหกโมงเช้า กว่าจะตีเสร็จเรียบร้อยก็สิบโมงสิบเอ็ดโมง เลยมาทำงานสาย ครั้งหนึ่งหม่ามี้จุ๊ – จุรี โอศิริ ที่นับถือเป็นอาจารย์ในการพากย์บอกว่า “รองจะเอาดีทางทำงานหรือจะเอาดีทางเที่ยว เลือกเอา ถ้าจะเล่นกอล์ฟ อาจุ๊จะซื้อไม้กอล์ฟให้ใหม่ชุดหนึ่งเลยแล้วก็เลิกพากย์ไป” ได้ยินอย่างนั้นหยุดเลยทำตัวดีมีวินัยทันที และคิดเสมอว่า การอยู่วงการบันเทิงต้องเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ อย่าเอาตัวเองเป็นใหญ่อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง

เคยได้ยินว่าหลังแต่งงานก็ยังเจ้าชู้แล้วมีจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้เปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นแฟมิลี่แมนได้เหมือนทุกวันนี้คะ

หลังแต่งงานก็ยังมีเจ้าชู้บ้างประปราย(ยิ้ม) เพราะผมแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยเรียกว่ายังไม่ค่อยมีความรับผิดชอบนัก ทุมเคยถามว่า ตกลงจะเอายังไง ถ้าคิดว่าผู้หญิงคนนั้นดีก็ไปเลย ไม่โกรธกัน จะดูแลลูกเองแต่ผมไม่ยอมไปไหน และให้สัญญาว่าจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งก็เลิกจริง ๆ นะ แต่ไม่ได้พูดถึงผู้หญิงคนโน้น (หัวเราะ) ทำเอาทุมปวดหัวมาก

แต่แล้ววันหนึ่งก็มาคิดได้ว่า เราสร้างปัญหาให้ครอบครัวไว้เยอะมาก ลูกกับเมียไม่ค่อยมีความสุขกันเลย เพราะพ่อเอาปัญหาเข้ามาตลอด ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปลูกแย่แน่ ๆเรามีทั้งลูกสาวและลูกชายที่โตขึ้นทุกวัน แล้วจะไปสอนลูกได้อย่างไร ในเมื่อพ่อเป็นแบบอย่างให้ไม่ได้ หลังจากนั้นก็หยุดหมดทุกอย่างกลายมาเป็นคนติดบ้านจนถึงปัจจุบันนี่แหละ

ในสายตาของคุณรองแล้ว คุณปทุมวดีเป็นผู้หญิงแบบไหนคะ

เขาเป็นผู้หญิงที่ร่าเริงมาก เพื่อนฝูงเยอะ มีความสุข สนุกสนาน และใจดีที่สุดใจดียิ่งกว่ามหาสมุทร เป็นคนจริงใจมากไม่เคยนินทาคน ชีวิตนี้มีแต่ให้จริง ๆ ไม่มีเงินขอให้บอกทุม ตอนสาว ๆ เขาเปรี้ยวมากชอบแต่งหน้าแต่งตัว ต้องสวยตลอด ตื่นเช้ามาต้องแต่งหน้า เราถามว่าแม่จะไปไหน เขาบอกไม่ไป แต่ฉันต้องสวย แต่งหน้าทุกวันอยู่บ้านก็ต้องแต่ง (ยิ้ม)

แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนชอบทำบุญชอบสวดมนต์นะ คนในบ้านสวดมนต์สู้เขาไม่ได้สักคน ตื่นมาตีห้าเขาจะไปหุงข้าวก่อนแล้วก็ไปสวดมนต์ที่ห้องพระ เวลาสวดมนต์ก็ไม่ได้สวดเบา ๆ สวดทีได้ยินกันหมดไม่รู้กี่หลังต่อกี่หลัง แล้วสวดเป็นชั่วโมงทุกวันสวดมนต์เสร็จตอนหกโมงเช้า ก็ไปตักข้าวใส่ถุงออกไปนั่งรอใส่บาตรหน้าบ้าน ทำอย่างนี้หลายสิบปีไม่เคยขาด ขนาดไม่สบายยังต้องประคองไปใส่บาตรเลย เรื่องสวดมนต์ก็อย่าหวังว่าจะหยุด สวดทุกวัน เคร่งมาก

เขาชอบเข้าวัดทำบุญมากด้วย เช้ามาก็จะไปซื้อของถวายพระที่วัดลาดพร้าว ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยนะ บางวันก็ไปวัดทุ่งเศรษฐีที่ราม 2 ไกลขนาดนั้นก็ไป ไปทำความสะอาดวัด จัดดอกไม้ถวายพระทั้งวัด เขาชอบทำบุญมาก ๆ

ความดีอะไรของคุณปทุมวดีที่เอาชนะใจได้เสมอคะ

เขาเป็นผู้หญิงที่จริงใจมาก รักบอกว่ารัก เกลียดบอกว่าเกลียด ถ้าเป็นเรื่องที่ทำเพื่อลูกเพื่อสามี เขาทุ่มเทสุดชีวิต เขาอยู่เคียงข้างเราเสมอ ครั้งที่ประทับใจมากที่สุดคือ ตอนที่โดนยึดทรัพย์จากการไปค้ำประกันให้เพื่อน ตอนนั้นทุมโทร.มาหาตอนกำลังถ่ายละคร บอกให้กลับบ้านด่วน เพราะถูกยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว มาถึงบ้านก็เห็นลูกร้องไห้กระจองอแง เราก็เดินเข้าไปขอโทษเขา แต่เขากลับบอกว่า “พ่อไม่ต้องขอโทษหรอกไม่มีใครว่าพ่อเลย แต่เสียใจมากกว่าที่พ่อไม่มาปรึกษา วันหลังอย่าให้เกิดขึ้นอีกแล้วกัน”

เขาไม่โกรธเลยและเป็นกำลังใจให้เสมอหลังเหตุการณ์นี้ผมไปบวช เขาก็ตามไปนุ่งขาวห่มขาวถือศีล พาลูกไปช่วยงานอยู่ที่วัดด้วยไม่เคยทิ้งเราเลย อยู่เป็นกำลังใจให้ตลอด

ได้ชื่อว่าเป็นคู่รักอมตะและคู่รักตัวอย่างของวงการบันเทิง มีหลักในการครองคู่ให้ยืนยาวอย่างไรคะ

คนเราจะอยู่ด้วยกันได้ต้องมี “ความอดทน” ความอดทนอยู่เหนือการให้เกียรติและความรักนะ เพราะถ้าต่างคนต่างไม่อดทนทุกอย่างก็จบหมด สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือเมื่อคนหนึ่งเป็นไฟ อีกคนต้องเป็นน้ำ ถ้าทำได้ ชีวิตคู่ไม่มีวันพังแน่นอน

ผมเป็นคนขี้โมโห ทุมก็ขี้โมโหเหมือนกันแต่โชคดีมากที่เขายอมเป็นน้ำ เวลาผมโวยวายเขาจะเฉย พอผมหยุด เขาก็จะเข้ามาพูดว่า“รอง คิดใหม่ซิ คิดให้ดี ๆ ที่โวยมาเมื่อกี้ใครผิด” ผมก็ถาม “ทำไมแม่ไม่บอกล่ะ”เขาก็ตอบว่า “ถ้าฉันบอกก็ต้องทะเลาะกันตายไปข้างหนึ่ง ฉันรอให้เธอหายบ้าก่อนแล้วค่อยบอกว่าอะไรผิดอะไรถูก”

เมื่อมีปัญหาที่จะทำให้เลิกกัน ต้องมีคนที่เป็นคนดึง ถ้าปล่อยมือกันทั้งคู่ก็จบ แต่ถ้าเราสลับกัน คนหนึ่งร้อน คนหนึ่งยอมเย็นเป็นน้ำก็อยู่ด้วยกันได้ นี่แหละที่ประคองชีวิตคู่กันมาได้ 50 ปี

ผมคิดเสมอว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด เพราะให้สัญญากับพ่อเขาไว้แล้ว ก็ต้องยึดถือสัจจะของตัวเองผมเป็นคนที่ยึดถือเรื่องนี้มาก ถ้าเคยให้สัจจะกับใครแล้วจะไม่มีวันลืม นอกจากนี้สิ่งสำคัญของการที่คนเราอยู่ด้วยกันยังขึ้นอยู่กับว่าคุณได้ผู้หญิงคนนี้มาอย่างไร ได้มาจากการที่คุณรักเขา หรือได้มาจากการที่คุณอยากได้เขาถ้าวันใดที่คุณคิดว่าคุณอยากได้ผู้หญิงคนนี้คุณอยู่กันไม่ยาวหรอก แต่ถ้ารู้สึกว่าฉันรักผู้หญิงคนนี้จังเลย ฉันจะอยู่ดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ดีที่สุดและนานที่สุด ก็จะทำให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดไป

ขอถามถึงอาการป่วยของคุณปทุมวดีบ้าง ตอนนี้เป็นอย่างไรคะ

เขาเป็นโรคเอแอลเอส หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงระยะสุดท้าย แต่โชคดีที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน อาการก็ยังทรง ๆ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจและอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาล ตอนแรกทุมป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษก่อน แต่รักษามานานก็ไม่หาย ย้ายไปหลายโรงพยาบาล อาการก็ไม่ดีขึ้น วันหนึ่งไปตรวจสแกนโรคด้วยเครื่องมือตัวใหม่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงรู้ว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงระยะสุดท้าย

ตามจริงแล้วหมอบอกว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษา ต้องรอคนไข้เสียชีวิตอย่างเดียววันหนึ่งหมอเรียกผมกับยุ้ยเข้าไปพบและบอกว่าหมดทางรักษาแล้ว ถ้าคุณเห็นว่ามีทางไหนพอช่วยได้ก็ให้ลองหามาคุยกัน เพราะเวลานั้นทุมไม่รู้สึกตัวแล้ว นอนนิ่ง เรียกก็ไม่ขยับเขย่าก็ไม่รู้สึก มีแต่ลมหายใจ ซึ่งหมอบอกให้เตรียมใจได้เลย

ยุ้ยก็พยายามหาทาง จนรู้จักยาตัวหนึ่งเป็นยาที่มีส่วนผสมของเห็ดซางฮวงซึ่งราคาแพงมาก ชุดละเป็นล้านบาท แต่เราก็สู้ จึงเข้าไปคุยกับ ดร.แฟรงค์ ชาน เจ้าของยาเขาให้เราเอายามาให้ทุมกินดูก่อน ลองไปจนชุดที่ 4 ทุมเริ่มลืมตา มองคนโน้นคนนี้ แล้วก็เริ่มยิ้ม ผมบอกยุ้ยเลยว่า หมดเงินเท่าไหร่หมดไป ขอให้แม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งดร.แฟรงค์ขอมาเยี่ยม จึงได้คุยกับเขาเรื่องค่ายา เพราะเอามาหลายชุดแล้ว แต่เขากลับบอกว่า “พี่คิดว่าผมจะเอาตังค์พี่เหรอ ผมชื่นชมพี่มากนะ พี่รักครอบครัว ยากี่ชุดให้พี่ทุมกินไปเลย ผมไม่คิดเงิน” ผมซาบซึ้งใจมาก

จากนั้นอาการของทุมก็ดีขึ้นเรื่อย ๆเริ่มคุยได้ แต่เวลาคุยเราต้องอ่านปาก เพราะเขาเจาะคอใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ตอนนี้อาการก็ทรุดลงกว่าช่วงนั้น

รอง เค้ามูลคดี

ตอนที่ทราบว่าคู่ชีวิตอาการหนักขนาดนี้ ในใจคิดอย่างไรคะ

ช่วงแรกที่รู้ ผมคิดว่ายังไงก็ต้องรักษากันไป แต่วันที่หมอเรียกผมและยุ้ยเข้าไปพบและบอกแนวทางการรักษาว่าคงต้องรอคนไข้เสียชีวิตอย่างเดียว ตอนนั้นเข่าอ่อนเลยนะก่อนหน้านี้ตอนที่สูญเสียลูกชายก็หนักหนาสาหัสแล้วนะ ต่อมาก็สูญเสียพ่อกับแม่ นี่มาถึงเมียอีกแล้วเหรอ จะไม่มีใครเหลือแล้วใช่ไหมแล้วผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่ฉันรักที่สุด

ตอนเขาป่วยเราพูดกับเขาเสมอว่า “แม่แม่อย่าทิ้งพ่อนะ เราเป็นคนคนเดียวกันพ่อเป็นร่างกาย แม่เป็นหัวใจนะ ถ้าวันหนึ่งหัวใจหยุดเต้น แม่ต้องคิดว่าร่างกายจะอยู่อย่างไร” ช่วงนั้นเราคิดมาก นั่งคิดและเหม่อลอยไปเรื่อย จนตอนหลังน้องชายน้องสาวเริ่มมาบอกว่า พี่อย่าเครียดนะ ยุ้ยมันเริ่มเป็นทุกข์แล้วนะ เพราะเขาเริ่มสังเกตว่าพ่อนั่งเหม่อลอย ทั้งที่เมื่อก่อนเราไม่เคยเป็น จึงรู้ว่าถ้าเราเครียด เราทุกข์ ลูกจะยิ่งทุกข์หนัก เลยไม่เอาแล้ว

ในเมื่อในใจมีความทุกข์แสนสาหัสขนาดนี้ รับมือกับความทุกข์อย่างไรคะ

ผมคิดว่าความทุกข์เป็นของเรา ไม่ควรเอาความทุกข์ของเราไปทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย เราต้องหาวิธีการจัดการเอง ซึ่งสำหรับผมแล้ว เวลาปลดปล่อยทุกข์คือตอนขับรถอยากคิดอะไรก็คิดให้เสร็จ อยากร้องไห้ก็ร้องไป อยากตะโกนให้หายเครียดก็ทำแต่พอจอดรถหน้าบ้านแล้ว ฉันต้องเป็นรองเค้ามูลคดี ที่ร่าเริงและมีความสุขให้ได้

ส่วนวิธีคลายทุกข์ที่ได้ผลคือการสวดมนต์ เวลาสวดมนต์เสร็จจะรู้สึกเลยว่าใจโล่งสบาย ตอนนี้จึงชอบสวดมนต์มาก ต้องสวดเช้า - เย็น การสวดมนต์ทำให้ชีวิตดีขึ้นมาก เพราะทำให้ใจสงบและมีสติ ตอนนี้ติดการสวดมนต์ไปแล้ว

การป่วยของคุณปทุมวดีทำให้ชีวิตคุณรองและครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปมากไหมคะ

จริง ๆ แล้วไม่ได้เปลี่ยนเลยนะ เพราะครอบครัวของเราไม่เคยแยกจากกันอยู่แล้วไปไหนก็ไปด้วยกันพร้อมหน้า ถ้าใครคนหนึ่งเข้าโรงพยาบาล ทุกคนจะไปอยู่เฝ้ากันหมดแต่ตอนนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะทุมอยู่ห้องผู้ป่วยวิกฤติ ซึ่งมีกำหนดเวลาเยี่ยม

ผมจะเข้าไปหาเขาที่โรงพยาบาลทุกเช้าแต่ถ้ามีงานก็ไปทำงานก่อน แล้วค่อยแวะเข้าไป นี่คือกิจวัตรประจำวันที่ทำไม่เคยขาดคือเข้าไปหอมแก้มแล้วบอกเขาว่า “พ่อรักแม่ที่สุดนะ เราต้องไม่ทิ้งกันนะแม่ เราต้องอยู่ด้วยกัน แม่เก่งที่สุด แม่กำลังจะหายแล้วนี่พ่อทำห้องให้แล้วนะ แม่ต้องกลับไปนอนที่ห้องนะ” เขาก็จะมองเรา บางวันก็ยิ้มให้เท่านี้เราก็ชื่นใจแล้ว

ส่วนยุ้ยเองถึงไม่ได้ไปทุกวันเพราะเขาต้องเลี้ยงลูกสาว แต่ก็หาเวลาเข้าไปเยี่ยมบ่อย ๆ ไปสวดมนต์ให้แม่ฟัง แล้วก็พาลูกไปด้วย ตอนแรก ๆ ทุมยังจำหลานไม่ได้เพราะป่วยตั้งแต่หลานอายุสองขวบ ตอนนี้หลานห้าขวบแล้ว วันไหนหลานไม่ได้ไป เราก็จะเปิดคลิปหลานให้เขาดู หลานก็จะอ้อนว่า“คุณยายขา น้องพริมคิดถึงคุณยาย น้องพริมรักคุณยายนะคะ คุณยายหายเร็ว ๆ กลับมาอยู่กับน้องพริมนะคะ” เปิดให้เขาดูทุกวันจนเขาจำได้แล้วว่านี่คือหลานสาว (ยิ้ม)

มีคนพูดว่า หากคนรักต้องเจ็บป่วยหนักขนาดนี้ เขาคงเลือกที่จะปล่อยให้ไปสบายดีกว่า คุณรองคิดอย่างไรกับความคิดนี้คะ

ผมปล่อยไม่ได้ เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็ยังรับรู้ได้อยู่ เพียงแต่ว่าหายใจเองไม่ได้ถ้าเราถอดเครื่องช่วยหายใจออก เขาอาจมีชีวิตอยู่ได้สักหนึ่งวัน แต่อวัยวะทุกส่วนเขายังทำงานได้หมด แล้วคุณจะฆ่าเขาหรือ ผมทำไม่ได้หรอก ผมเลือกให้เขาอยู่อย่างนี้จนกระทั่งวันหนึ่งเขาไม่ไหว อวัยวะไม่ทำงาน ความดันลดลง หรือจนกระทั่งหมอบอกว่าไม่ไหวแล้วเราก็ปล่อยให้หมอตัดสินใจ แต่ปัจจุบันความดันเขายังปกติ หัวใจก็เต้นปกติ ออกซิเจนในร่างกายมีน้อยกว่าพวกเราแค่นิดเดียว แล้วเราจะปล่อยให้เขาตายหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก

เคยคิดไหมว่า เรื่องที่ต้องเจอมันหนักหนาเกินที่จะรับไหว

เคยคิดว่าทำไมชีวิตฉันต้องเจอเรื่องแบบนี้ ทำไมไม่หมดสักที นี่มาถึงเมียแล้วนะวันหนึ่งไปนั่งริมทะเลแล้วคิดว่า ถ้าทุมเป็นอะไรไป เราไปด้วย เราไม่อยู่หรอก แต่อีกความคิดก็แว่บเข้ามาว่า แล้วลูกล่ะ แม่ก็ตาย แล้วพ่อมาฆ่าตัวตายไปอีก ลูกจะคิดยังไง ทำไมพ่อหนีปัญหา ทำไมพ่อไม่สู้ ทำไมไม่จับมือกันสู้พ่อหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ก็เลยคิดได้ว่าจะไม่คิดแบบนี้อีกแล้ว ยังไงก็ต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้

เรื่องค่าใช้จ่ายคงจะสูงมาก

เรื่องนี้ไม่ได้คิดเลย ถ้าคิดแล้วจะทุกข์ตั้งแต่เริ่มรักษามาก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้ ผมโชคดีที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้มีงาน มีเงินไปจ่ายได้ตลอด ไม่เคยเดือดร้อน ไม่เคยต้องไปยืมหรือขอร้องใคร รักษามาประมาณหกปีแล้วไม่เคยนับค่าใช้จ่าย และไม่อยากคิดด้วยผมรู้เพียงแค่ว่า อยากให้ทุมกลับมาอยู่กับครอบครัว เงินเดี๋ยวก็หาได้ คนที่เรารักสำคัญกว่า

แล้วเรื่องการพลัดพรากล่ะคะ เคยคิดเตรียมใจไว้บ้างไหม

ไม่คิดเลย ถึงเวลาเกิดก็ให้มันเกิดตอนนี้ผมอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดล่วงหน้าไปไกล เพราะจะทำให้กังวลและบั่นทอนกำลังใจ ขอทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หาทางแก้ไขอะไรได้ก็ทำไป เวลาวินาทีนี้คือดีที่สุดแล้วยุ้ยก็คอยให้กำลังใจว่า “พ่ออย่าเครียด รู้ไหมว่ามีคนชื่นชมพ่อ โดยเฉพาะลูกนี่แหละที่รู้ว่าพ่อทำดีที่สุดแล้ว”

ในใจของผมคิดแต่ว่าจะดูแลผู้หญิงคนนี้ให้มากที่สุดและนานที่สุด จึงหันมาดูแลร่างกายตัวเองให้ดี เดินออกกำลังกายทุกเช้า เมื่อก่อนเคยเช็กร่างกายหกเดือนครั้ง ตอนนี้เช็กทุกเดือน เพราะฉันต้องแข็งแรง ฉันป่วยไม่ได้เพราะฉันต้องดูแลเธอ

รอง เค้ามูลคดี

 

ให้กำลังใจตัวเองอย่างไรคะ

ผมไม่เคยท้อเลยนะ คิดอย่างเดียวว่าต้องมีความหวังว่าสักวันต้องดีขึ้น เราต้องสร้างความหวังให้ตัวเอง อย่าเอาความท้อแท้ใส่ตัว อย่างทุกวันนี้ก็มีความหวังว่าทุมต้องดีขึ้น แล้วจะพาเขากลับมาอยู่บ้าน แต่ไม่ได้คิดว่าเขาจะต้องกลับมาเป็นปกตินะ ต้องมองความเป็นจริงด้วย ขอแค่ให้เขากลับมาอยู่บ้านได้ เขาเดินไม่ได้ก็นั่งรถเข็น อยากไปไหนก็เข็นพาไป อาบน้ำไม่ได้ ฉันก็อุ้มเธออาบเมื่อก่อนเขาดูแลเรา ตอนนี้เราก็สำนึกบุญคุณของเขา ต้องไม่เนรคุณผู้มีพระคุณ (หัวเราะ)คิดได้แบบนี้ก็มีความสุขแล้ว แทนที่จะคิดไปว่าเมียต้องตายแน่ ๆ คิดอย่างนั้นก็เห็นแต่ความทุกข์

ตอนนี้ทุกคนก็รอให้เขาดีขึ้น ไม่ใช่แค่เรา ไม่ใช่แค่ลูก คนรอบข้างก็รอ เพราะมีคนรักเขาเยอะมาก และทุกคนก็เป็นกำลังใจให้ ถึงบอกว่าเขาเป็นคนที่ไม่เคยทำร้ายใครไม่เคยสร้างความทุกข์ใจให้ใครเลย

ความสุขของวันนี้คืออะไรคะ

การสวดมนต์ ตอนนี้กลายเป็นคนที่ตื่นเช้ามาก ตื่นมาสวดมนต์ คือติดไปแล้วตอนเช้าจะสวดประมาณ 15 นาที ตอนเย็นก็กลับมาสวดอีกเป็นชั่วโมง พอสวดเรียบร้อยแล้วก็นั่งมองพระในห้องพระ จิตใจสงบสบายผมนึกถึงคำที่คนพูดกันว่า คนเรากว่าจะค้นหาตัวเองจนเจอว่าความสุขอยู่ตรงไหนมันต้องใช้เวลา แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าความสุขของผมคือความสงบในใจ ได้สวดมนต์ และการได้อยู่กับเมีย อยู่กับลูกหลาน มันไม่ใช่ความสุขแบบตอนหนุ่มที่ว่าไปเจอไปสังสรรค์กันร้านไหนดี แล้วเพื่อนบางคนก็งงนะ ไอ้รองนี่นะสวดมนต์ เป็นไปได้เหรอวะ (หัวเราะ)

บางทีลูกก็สงสัยว่าทำไมพ่อไม่ไปไหนคือเราไม่อยากไปไหน หรือถ้าไปกินข้าวกับเพื่อนก็มีข้อแม้ว่าเอ็งต้องมาตรงนี้นะ รัศมีจากบ้านข้าไม่เกินสองกิโลเมตร เพราะผมกลายเป็นคนติดบ้านไปแล้ว จริง ๆ อยากชวนมากินที่บ้านด้วยซ้ำ (หัวเราะ) บางครั้งเพื่อนโทร.มาชวนออกไปข้างนอก ผมก็ปฏิเสธไปเพราะตั้งใจว่าเย็นนี้จะสวดมนต์

เปรียบความรักที่มีต่อคู่ชีวิตไว้อย่างไรคะ

เมื่อก่อนเคยเปรียบเล่น ๆ ว่า การได้เป็นคู่กับเขาเหมือนเราได้แก้วคริสตัลที่สวยมาก ราคาแพงมากมาครอบครอง เราต้องประคองไม่ให้มันตก เพราะตกแล้วจะมีรอยร้าวเอากาวอะไรมาแต้มก็ต้องเห็นรอยอยู่ดี แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว

ทุกวันนี้คิดว่า เราสองคนเป็นคนคนเดียวกัน ฉันคือร่างกาย เธอคือหัวใจร่างกายต้องแข็งแรงเพื่อให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้นเราจะทำให้หัวใจเป็นอะไรไม่ได้ ต้องแข็งแรงเพื่อรักษาหัวใจดวงนี้ไว้ให้ดีที่สุด

เชื่อเหลือเกินว่าเรื่องราวของคุณรองเค้ามูลคดี เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าความรักแท้อันยิ่งใหญ่มีอยู่จริง


ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 183

เรื่อง : เชิญพร คงมา 

ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร, @rong_kao

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.