ต๊ะ บอยสเก๊าท์

บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ บอยสเก๊าท์ (วินรวีร์ ใหญ่เสมอ) ตอน 1

บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ บอยสเก๊าท์ – วินรวีร์ ใหญ่เสมอ (1)

ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เด็กหนุ่มผู้รักการร้องเพลงได้พลิกชีวิตมาเป็นนักร้อง วงบอยแบนด์ที่ดังที่สุดวงหนึ่งในยุค 90 แฟนเพลงรู้จักเขาในชื่อ ต๊ะ บอยสเก๊าท์

ในช่วงที่กำลังมีชื่อเสียง เขากลับเจอกับ “ข่าวร้าย” ที่ทำให้ชีวิตพลิกผันเพียงชั่วข้ามคืน จากคนที่เคยโด่งดังกลายเป็นคนสิ้นหวัง เขาผ่านวันร้าย ๆ นั้นมาได้ด้วย การอ่านหนังสือ เล่นกีฬา และเข้าหาธรรมะ

ความทุกข์ ความผิดหวัง และความสูญเสียที่ต้องเผชิญ กลายเป็น “บทเรียน” สำคัญที่ทำให้เขาเข้มแข็งได้อย่างวันนี้

ลูกชายคนสุดท้อง

ผมเป็นคนจังหวัดสุโขทัย อาศัยอยู่ในอำเภอศรีสำโรงมาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวของผมมีกันอยู่ 5 คน คือ พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาวและผม นาน ๆ ครั้งเราจึงมีเวลาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที เพราะคุณพ่อต้องทำงานหนักเพื่อดูแลครอบครัว คุณแม่ซึ่งเป็นครูจึงรับหน้าที่ดูแลลูก ๆ ทั้งสามอย่างใกล้ชิด

ผมเป็นลูกชายคนสุดท้อง เป็นเด็กที่กล้าแสดงออก ร่าเริง เป็นเหมือนขวัญใจตัวน้อยของบ้าน ตอนเด็ก ๆ ผมชอบอ้อนคุณแม่ ทำให้สนิทและผูกพันกับท่านมากเพราะท่านใจดี เข้าใจผมเสมอ ต่างจากคุณพ่อที่ค่อนข้างดุ บางครั้งผมก็เห็นว่าท่านดุเกินไปและคิดต่อต้านอยู่บ้าง

ผมเรียนชั้นประถมในโรงเรียนเดียวกับที่คุณแม่สอนอยู่ ท่านดูแลทั้งการเรียนและการประพฤติตัว แต่พอเรียนจบ ป.6 ผมต้องย้ายมาอยู่บ้านป้า เพราะคุณแม่ส่งไปเรียน ม.1 ที่โรงเรียนชายล้วนในตัวจังหวัดพิษณุโลก เข้าไปตอนแรกก็ถูกเพื่อนแกล้งเลยแต่ผมไม่ยอม เพราะถือว่าเคยเป็นหัวโจกจากโรงเรียนเก่ามาก่อน เมื่อเริ่มปรับตัวได้ก็เริ่มเกเร ติดเพื่อน และเที่ยวกลางคืนตั้งแต่อยู่ ม.2

ช่วงแรก ๆ ที่ย้ายมาอยู่พิษณุโลก ผมนั่งรถกลับไปหาคุณแม่ที่สุโขทัยทุกวันศุกร์แต่หลัง ๆ ผมเริ่มไม่กลับไปหาท่าน จนท่านต้องเป็นฝ่ายเดินทางมาหาเอง หลายครั้งที่ท่านมาหาแล้วไม่เจอผมจึงได้แต่ฝากจดหมายไว้ให้ ข้อความในจดหมายมักเป็นการสอนเรื่องต่าง ๆ และลงท้ายด้วยคำว่า “รัก” เสมอ

ผมอ่านจดหมายของแม่แล้วสะเทือนใจทุกครั้ง แต่ในวัยนั้นผมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นไม่ได้ จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องใหญ่ที่ทำให้ที่บ้านเสียใจ

พอขึ้นชั้น ม.3 ผมทำตัวเกเร มีเรื่องชกต่อยอยู่สัก 3 ครั้ง จึงถูกทำทัณฑ์บนว่าห้ามทำผิดอีก แต่จากนั้นไม่นานผมกลับถูกเพื่อนที่โดดเรียนกล่าวหาว่าผมโดดเรียนไปกับเขาด้วย เรื่องนี้จึงกลายเป็นความผิดครั้งที่ 4 ที่ทำให้ผมถูกเชิญออกจากโรงเรียนครั้งนี้ผมถูกคุณพ่อตีไม่ยั้งเลย เพราะถือเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก

ผมต้องกลับมาเรียนที่สุโขทัยอีกครั้งซึ่งในเวลานั้นคุณพ่อย้ายมาทำธุรกิจโรงงานกระเป๋าหนังที่กรุงเทพฯ โดยพาพี่ทั้งสองไปอยู่ด้วย ผมจึงอยู่กับแม่เพียงสองคน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมาก ตอนเช้าเราออกจากบ้านพร้อมกัน ตกเย็นกลับมาบ้านผมกับแม่นอนร้องเพลงกันทุกวัน ทำให้ผมผูกพันกับแม่มากขึ้นไปอีก

เริ่มจากศูนย์ในวงการบันเทิง

เมื่อเรียนจบ ม.3 ผมก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯและเรียนต่อสายอาชีพด้านเครื่องหนัง ตามใจคุณพ่อที่อยากให้มาดูแลกิจการที่บ้าน แม้สถาบันที่เรียนเป็นวิทยาลัยที่สอนด้านศิลปะ แต่เครื่องแบบเป็นเสื้อช็อปเหมือนกับเด็กช่าง ชีวิตของผมจึงวนเวียนกับเรื่องตีกัน ยิ่งผมเป็นคนไม่ยอมใครด้วย จึงอยู่ในวังวนเช่นนี้เรื่อยไป จนเริ่มได้มาทำงานในวงการบันเทิงและต้องหยุดเรียนไป

ผมเข้าวงการได้เพราะเพื่อนสนิทสมัยที่เรียนอยู่พิษณุโลกตามหาผมที่กรุงเทพฯจนเจอทั้งที่ขาดการติดต่อกันหลายปี เขาชวนผมไปเข้าโมเดลลิ่งที่เขาเคยอยู่มาก่อน ผมก็ลองตามเขาไป จากนั้นก็ได้ไปแคสต์งานโน้นงานนี้อยู่เป็นปี จนสุดท้ายได้งานแรกเป็นเอกซ์ตร้าในโฆษณาชิ้นหนึ่ง

หลังจากงานแรกก็ได้ถ่ายโฆษณาอื่นเรื่อย ๆ จนภายหลังจึงได้เป็นตัวแสดงหลักของโฆษณาหลายชิ้น และทำให้ผมได้รู้จักกับพี่อ้อย ซึ่งอยู่ในโมเดลลิ่งแห่งหนึ่งที่สยามสแควร์เขาส่งรูปผมไปให้ พี่พจน์ อานนท์ ทำให้ผมได้ไปแคสต์ภาพยนตร์เรื่อง อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป และได้รับบทค่อนข้างเด่น ระหว่างถ่ายทำพี่พจน์ก็ให้ขึ้นปก เธอกับฉัน จึงทำให้คนทั่วไปเริ่มรู้จักผมมากขึ้น

ผมเริ่มทำงานในวงการตั้งแต่อายุ 15 ปี เริ่มต้นจากศูนย์ ทำทุกงานด้วยความอยากรู้อยากจะพัฒนาตัวเอง ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ใหม่ ผมคิดแต่จะลุยไปข้างหน้า ทำทุกอย่างเป็นขั้นบันได คือการรับงานแต่ละอย่างต้องดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เสมอ ไม่มีที่จะถอยลง

ครั้งหนึ่งมีหมอดูทักผมว่า ชีวิตนี้เป็นได้แต่พระรอง คำพูดนี้แทงเข้าไปในใจ ผมไม่ได้คิดว่าต้องเป็นพระเอกดังหรอก แต่คำนี้มันฆ่าเราชัด ๆ ผมเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจเสมอหลังจากถ่ายทำเรื่อง อนึ่งฯ จบก็มีงานภาพยนตร์เรื่องหนึ่งติดต่อมา ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเด็กใหม่ในวงการอย่างผม เสียแต่ว่าเป็นบทพระรอง ผมจึงปฏิเสธไป

ที่ทำไปอย่างนี้ผมไม่ได้ดูถูกงานนะครับผมคิดเพียงแต่ว่าไม่อยากให้ใครมาลิขิตชีวิตของผม และผมได้พิสูจน์แล้วด้วยว่า ชีวิตหลังจากนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่หมอดูคนนั้นทักไว้

คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

นักร้องเสียงแหบเสน่ห์

พอเริ่มมีชื่อเสียง ผมก็ได้ร่วมงานกับค่ายอาร์เอส โดยเล่นมิวสิควิดีโอเพลงอัลบั้มข้ามเวลา ของ พี่ต้อม เรนโบว์ ซึ่งได้เล่นทุกเพลงและมีกระแสตอบรับดีมาก ในขณะเดียวกันนั้นก็มีงานถ่ายแบบเยอะมากผมทำงานในวงการได้สักพัก ทางอาร์เอสก็มีโปรเจ็กต์ทำเพลงเป็นวง 3 คน โดยเรียกนักแสดงวัยรุ่นชายในตอนนั้นไปเทสต์เสียงซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนเสียงแหบ พอทางค่ายเรียกเข้าไป คุณพ่อคุณแม่จึงส่งผมไปเรียนร้องเพลงกับ ครูอ้วน - มณีนุช เพื่อให้มีพื้นฐานด้านการร้องเพลงบ้าง พอเข้าไปเทสต์ก็เจอแต่คนเสียงดี ผมก็เริ่มไม่มั่นใจจึงร้องไปแบบเน้นความสนุกมากกว่า จนสุดท้ายผมผ่านการคัดเลือกและได้เซ็นสัญญาเป็นหนึ่งในสามของนักร้องวง บอยสเก๊าท์มีเพื่อนร่วมวงคือ ดิ๊บ และ โจ ที่เป็นเพื่อนร่วมแก๊งร้องเพลงกันตั้งแต่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง อนึ่งฯ แล้ว

เมื่อออกอัลบั้มแรก เพลงดังมาก ดังทั้งอัลบั้ม สมัยนั้นยังไม่มีนักร้องมากนักคนทั้งประเทศจึงรู้จักวงบอยสเก๊าท์ จากนั้นไม่นานผมก็ได้รับบทพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง เด็กระเบิด ยืดแล้วยึด และ เด็กเสเพลภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมได้ทั้งชื่อเสียง เงินทอง และความสำเร็จ ผมได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ ปี พ.ศ. 2539 เป็นรางวัลที่ผมภูมิใจอย่างมาก รวมทั้งเป็นการลบคำสบประมาทของหมอดูคนนั้นไปได้

แต่ชื่อเสียง เงินทอง ความโด่งดังจากการเข้าวงการก็ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมเข้าวงการตั้งแต่วัยรุ่นวุฒิภาวะยังน้อย จากเด็กธรรมดาทั่วไปกลายมาเป็นคนดังที่มีแต่คนดูแลเอาใจ ทำให้“หลง” กับสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นได้ง่าย

ตอนทำงานอัลบั้มแรก ผมให้คุณพ่อคุณแม่เก็บเงินให้ทั้งหมด เพราะช่วงก่อนหน้านั้นธุรกิจของคุณพ่อล้ม เงินที่ได้จากการทำงานจึงนำไปซื้อบ้าน ซื้อรถให้กับครอบครัวได้แต่พอออกอัลบั้มที่ 2 ผมเก็บเงินเอง แล้วก็ไม่เหลือเลยสักบาท เพราะอยากได้อะไรก็ซื้อหมด ของอะไรที่ไม่มีเงินซื้อตอนเด็กก็กวาดซื้อมาหมด ช่วงนั้นผมติดเพื่อนมาก ทุกเย็นวันศุกร์ผมจะรับเพื่อนไปเที่ยวต่างจังหวัด มีเงินเท่าไหร่ก็เลี้ยงเพื่อนหมดจนหลายครั้งทำให้คุณพ่อคุณแม่ช้ำใจ

และความติดเพื่อนนี่แหละเป็นต้นตอของเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเสียใจที่สุดในชีวิต

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


ขอขอบคุณ : Y Factory & Light Café ถนนประดิษฐ์มนูธรรม โทร. 0-2538-3354, 09-1946-1624

เรื่อง วินรวีร์ ใหญ่เสมอ เรียบเรียง เชิญพร คงมา ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แต่งหน้า - ทำผม ภูดล คงจันทร์

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.