แหม่ม อลิสา ขจรไชยกุล

แหม่ม อลิสา ขจรไชยกุล ชีวิตพลิกผันจากดารา…สู่แม่ค้าฮาเฮ ตอน 3 (จบ)

แหม่ม อลิสา ขจรไชยกุล ชีวิตพลิกผันจากดารา…สู่แม่ค้าฮาเฮ ตอน 3 (จบ)

ก่อนจะเปลี่ยนจากดารามาเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง แหม่ม อลิสา ขจรไชยกุล ก็เคยถามตัวเองว่า เราจะทำอาชีพอะไร ถ้าวันหนึ่งไม่รับงานแสดงจนเมื่อเจอกับวิกฤติของชีวิต ทำให้งานแสดงหดหาย สิ่งที่เคยทำมาตั้งแต่เด็กก็กลายมาเป็นคำตอบ

แจกจ่ายความสุขด้วยอาหาร

ตอนยังเป็นเด็ก แหม่มอยู่กับยายและป้า เมื่อถึงเวลาทำกับข้าว ป้าก็จะเรียกลูกหลานผู้หญิงในบ้านมาช่วยกันหยิบนู่นตำนี่ ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องช่วย แต่สำหรับตัวแหม่มเองชอบมาก เลยทำให้มีความสุขในการทำอาหาร และชอบชิมอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ

แหม่มคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในด้านนี้ นอกจากทำอาหารไทยได้ก็ยังทำอาหารฝรั่งได้ด้วย สมัยก่อนไปทานที่ร้านไหนแล้วอร่อยก็จะลองกลับมาทำที่บ้าน หรือบางครั้งได้อ่านตำราอาหารที่ชอบก็ลองทำเลย ที่สำคัญ แหม่มทำอาหารแต่ละครั้งต้องหม้อใหญ่ๆ ทำเสร็จก็นำไปฝากคนโน้นคนนี้ ใครกินแล้วบอกว่าอร่อย เราก็มีความสุข

นอกจากอาหารฝรั่ง อาหารที่แหม่มชอบกินมากที่สุดคืออาหารญี่ปุ่น เพราะไม่ค่อยมีน้ำมัน แถมยังอร่อยและดีต่อสุขภาพ ตัวแหม่มเองก็คอยระวังเรื่องน้ำหนักตัว รู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย ก็ต้องระวังเรื่องการกินให้มาก

ความจริงแหม่มเคยพยายามออกกำลังกาย แต่รู้สึกว่าเหนื่อยมาก วันหนึ่งๆ แค่ยืนขายอาหารตามสั่งอย่างเดียว ตกเย็นก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว อย่างมากที่สุดที่คิดว่าจะทำคือ เล่นฮูลาฮู้ปเท่านั้นเอง

สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม…”

นอกจากขายอาหารตามสั่ง แหม่มก็มีโอกาสให้กำลังใจคนอื่น เพราะมีหลายคนที่ไม่ได้เป็นลูกค้าอย่างเดียว แต่กลายเป็นเหมือนญาติพี่น้อง เวลามีความทุกข์ใจเรื่องอะไรเขาก็จะมาเล่าให้ฟัง ด้วยความที่แหม่มเป็นคนสนุกสนาน ชอบหาเรื่องขำๆ มาคุย ไม่ทุกข์ ไม่เครียด บางวันลูกค้าแซวว่า “ทำไมวันนี้พี่สวยจังเลย” แหม่มก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส ตอบเขาไปว่า “พอดีชีวิตพี่ยุ่งมาก จนไม่มีเวลาขี้เหร่นะคะคุณน้อง” เลยได้ฮากันไปทั้งแม่ค้าทั้งลูกค้า

ก่อนหน้านี้แหม่มอาจไม่อารมณ์ดีเท่านี้ แต่พอผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาได้ ชีวิตก็เหมือนฟ้าหลังฝน สมัยก่อนเวลาโกรธอะไรก็ตีอกชกหัว ทุบกระจก เตะเก้าอี้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าทำแบบนั้นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แถมยังเจ็บตัวอีกต่างหาก ดังนั้นสำหรับคนที่เจอปัญหาแล้วคิดจะฆ่าตัวตาย แหม่มก็อยากจะถามว่า

“ทำไปทำไม…คิดดีแล้วหรือว่าถ้าไม่มีเรา ปัญหาทุกอย่างจะจบ ไม่ใช่กลายเป็นทิ้งปัญหาไว้ให้คนอื่นหรือ คุณรักตัวเองเป็นไหม…ถ้ารักเป็น คุณจะไม่คิดทำแบบนี้หรอก ที่สำคัญ รักใครก็รักได้ แต่อย่ารักให้มากกว่าพ่อแม่ เพราะคนที่รักเราที่สุดคือสองคนนี้จริงๆ”

สำหรับคนที่เจอปัญหาอะไรก็แล้วแต่ อันดับแรกต้องทำใจให้นิ่ง ค่อยๆ ทบทวนปัญหาด้วยตัวเอง อย่าให้อารมณ์โกรธ โมโห เศร้า หดหู่เป็นใหญ่ ที่สำคัญ ตัวเราต้องตั้งสติให้ได้ก่อน ก่อนที่จะไปขอความช่วยเหลือหรือขอความคิดเห็นจากคนอื่น ถ้าคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะจัดการกับปัญหานั้นอย่างไร หากปล่อยได้ให้ปล่อยไปก่อน อย่าเอาใจไปดิ้นทุรนทุราย เมื่อถูกจังหวะถูกเวลามันก็จะมีทางออกของมันเอง

เมื่อก่อนตอนเป็นนักแสดง มีชื่อเสียง แหม่มเคยตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่า พออายุ 50 ปีจะเกษียณ เพื่อใช้เวลาพักผ่อน ทำสิ่งที่ชอบ แต่มาถึงวันนี้คงไม่ได้แล้ว เพราะสิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นอย่างที่ฝัน แต่ถามว่าทุกข์ไหม ตอบได้เลยว่า “ไม่” มีแต่ความคิดว่า “ฉันจะสู้ต่อ…ไม่เป็นไร เกษียณ 50 ไม่ได้ก็ 55 แล้วกัน”

ตอนนี้แหม่มอายุ 49 แล้ว เมื่อถึงวันที่อายุ 55 ก็คิดว่าตัวเองคงยังไม่แก่ ถ้ากลัวแก่ ก็จะไปนั่งมองหนุ่ม ๆ ให้สดชื่นหัวใจเข้าไว้ค่ะ (ฮา)

ชีวิตนี้ยังมีหวัง

ทุกวันนี้แหม่มใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ แม้แต่หน้ายังไม่ค่อยแต่ง เวลามีปัญหาอะไรเข้ามาก็จัดการด้วยจิตใจที่เบิกบานมากขึ้น รู้จักให้กำลังใจตัวเอง เพราะค้นพบแล้วว่า แม้กำลังใจจากพ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตรจะมีค่ามากก็จริง แต่ก็ไม่ดีเท่ากับการที่เรารู้จักให้กำลังใจตัวเอง

ต่อให้บางคนบอกว่า พื้นฐานชีวิตของตัวเองย่ำแย่แค่ไหน พ่อแม่เลิกร้างแยกทางกัน หรือพ่อติดเหล้า แม่ติดยา น้องติดการพนัน ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราจะต้องย่ำแย่ตาม เราต้องใช้ชีวิตด้วยความหวังและทำทุกอย่างให้ดีขึ้นด้วยตัวเอง

ชีวิตของแหม่มเคยอยู่ในจุดที่ติดลบ เป็นหนี้ แต่เราก็ยังมีหวังว่าชีวิตนี้จะใช้หนี้ให้หมด และค่อยๆ ทำมาเรื่อยๆ ทีละนิดจนทุกวันนี้ก็ใกล้ความจริงแล้ว

ที่สำคัญ แหม่มคิดว่าเราต้องพยายามทำความฝันที่เหลืออยู่ แหม่มมีความฝันว่าอยากเจอคนดีๆ สักคนที่สามารถเป็นเพื่อนคู่คิดของเราได้ รวมถึงอยากทำสิ่งดีๆ ให้แม่บ้าง ให้สมกับที่ท่านเลี้ยงดูเรามา ปัจจุบันนี้แม่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ นานๆ ทีถึงจะกลับมา ที่ผ่านมาแหม่มทำให้ท่านเป็นห่วงกังวล เวลาที่เหลือจากนี้เลยอยากให้ท่านสบายใจ คิดอยู่เสมอว่าท่านให้ชีวิตเรามา แค่นี้ก็เป็นพระคุณมากโข จนไม่ทราบว่าจะตอบแทนอย่างไรได้หมด อย่างน้อยๆ ที่แหม่มพอจะทำได้คือ อยากให้แม่ยิ้มได้มีความสุขเมื่อนึกถึงเรา

แม้ว่าวันนี้แหม่มจะผันตัวเองจากดารามาเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง แต่ก็ยังมีผู้จัดบางท่าน เช่น พี่กอบ–กอบสุข จารุจินดา เปิดโอกาสให้กลับมาเล่นละคร พี่กอบให้กำลังใจว่า “มาเล่นละครเถอะ อย่าคิดอะไรมาก” ล่าสุดจึงได้แสดงละครเรื่อง เจ้าจอม ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของบุษยมาสโดยรับบทเป็นแม่ท่านชายรวมถึง คุณวุธ-อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร ผู้จัดฯ และผู้กำกับฯ ในนามบริษัท ดูมันดี จำกัด ก็ชวนมาเล่นละครเรื่อง พรายพยากรณ์ ละครแนวลึกลับในสไตล์โรแมนติกคอมเมดี้ เรียกว่ายังไม่ห่างหายจากวงการละคร และยังมีความสุขที่จะทำงานในวงการนี้

ชีวิตของแหม่มผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ แต่ไม่ว่าจะผิดจะพลาดอย่างไร ทุกอย่างคือบทเรียนที่ดี ไม่มีชีวิตของใครที่สมบูรณ์แบบ แต่ขอให้ทุกคนมีความสุขกับความไม่สมบูรณ์แบบนั้นนะคะ


เรื่อง อลิสา ขจรไชยกุล เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.