สีดา พัวพิมล

ชีวิตที่เหลือ…เพียงตัวและหัวใจ ของ สีดา พัวพิมล ตอน 3

ชีวิตที่เหลือ…เพียงตัวและหัวใจ ของ สีดา พัวพิมล

แม้ต้องผ่านชีวิตรักที่ไม่สมหวัง  แต่ฉัน สีดา พัวพิมล ก็ยังโชคดีที่มีลูกสาวและลูกชายที่น่ารักเป็นเหมือนกำลังใจสำคัญให้ชีวิต

ลูกสาวคนเล็กของฉันเป็นเด็กดี  ว่าง่าย  เรียนเก่งส่วนอ๊อฟ (อภิชาติ  พัวพิมล)  ลูกชายคนโต  เรียนหนังสือปานกลางและออกจะเกเรบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย  เมื่ออ๊อฟอายุย่างเข้า 18 ปี  เพื่อน ๆ ในวงการเห็นว่าลูกชายหน้าตาดีจึงชวนเข้าวงการบันเทิง  ซึ่งต่อมาเขาก็เริ่มมีชื่อเสียง  ลูกชายคนนี้มีฝีมือทางด้านการแสดงมาก  มากกว่าแม่เสียอีก  ฉันภูมิใจในตัวเขามาก

อ๊อฟเป็นลูกที่ถอดแบบฉันมาเป๊ะ  เป็นคนใจดี  ชอบช่วยเหลือคนอื่น  เรื่องเงินทองไม่เคยหวง  ถึงอย่างนั้นฉันไม่เคยรบกวนเงินทองของลูกเลย  เพราะทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้อยู่แล้ว  ค่าน้ำ ค่าไฟ  ค่าใช้จ่ายในบ้าน  ฉันหาเงินมาจ่ายเอง  เรื่องที่ลูกจะให้เงินไปเล่นการพนันไม่มีแน่นอน

สูญเสียดวงใจ

อ๊อฟเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เด็ก  ฉันและลูกสาวก็เป็นโรคนี้เหมือนกัน  แต่อาการน้อยกว่าอ๊อฟมาก  เวลาที่เขามีอาการ จะหอบหนักมากจนยาหรือเครื่องมือใด ๆ ก็แทบช่วยเขาไม่ได้

ครั้งหนึ่งเขาหอบจนทั้งตัวเป็นสีม่วง  ต้องรีบเรียกรถพยาบาลมารับ  ระหว่างนั่งรถพยาบาลไปด้วย  ฉันได้แต่นั่งร้องไห้  ไม่รู้จะช่วยลูกให้หายขาดจากโรคนี้ได้อย่างไร  ครั้งนั้นอ๊อฟยังโชคดีที่ถึงมือหมอได้ทันเวลา  การที่อ๊อฟอาการหนักขนาดนี้  เพราะระยะหลังอ๊อฟเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแทรกซ้อนด้วย

ความเจ็บป่วยของลูกทำให้ฉันเป็นห่วงและกังวลใจมาโดยตลอด  แล้ววันหนึ่งสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็มาถึง

วันนั้นฉันและอ๊อฟอยู่ที่บ้านด้วยกัน  ตอนนั้นฉันเป็นผู้จัดละคร  กำลังนั่งอ่านนิยายที่จะนำมาทำละครในห้องรับแขกชั้นล่างของบ้าน  ส่วนอ๊อฟอยู่ในห้องนอนชั้นบน  ปกติเขามักชอบทำโน่นทำนี่อยู่ในห้องนอนเงียบ ๆ คนเดียว

ฉันนั่งอ่านหนังสือได้พักใหญ่  ก็ได้ยินเสียงดัง ตึง! จากห้องนอนของเขา  จึงรีบขึ้นไปถามที่หน้าห้องด้วยความเป็นห่วงว่า

“อ๊อฟ  เป็นอะไรลูก  หอบอีกแล้วใช่ไหม  ไปหาหมอไหมลูก”

“ไม่เป็นไรครับแม่  อ๊อฟแค่ฝันไป”  อ๊อฟตอบกลับมา

“ถ้าไม่ไหว  อ๊อฟเรียกแม่ดานะ”  ฉันยังอดห่วงไม่ได้เพราะรู้นิสัยลูกชายดีว่าเป็นคนขี้เกรงใจ  แต่เขายังยืนยันคำเดิมว่าไม่เป็นอะไร

ฉันกลับมาอ่านหนังสืออีกสักพักก็เผลอหลับไป  เพราะเหนื่อยล้าจากการอ่านมาทั้งคืน  ตื่นมาก็ใกล้เที่ยงแล้ว  ฉันจึงถามแม่บ้านว่าลูกชายได้กินอะไรหรือยัง  เธอบอกว่ายัง เพราะขึ้นไปถามแล้ว  แต่อ๊อฟไม่ตอบอะไร  จึงยังไม่ได้ยกอาหารขึ้นไปให้  ฉันจึงให้แม่บ้านขึ้นไปเคาะประตูและเรียกเขาอีกครั้งแต่ก็ไม่เสียงใด ๆ ตอบกลับมา

“ทำไมเธอไม่เรียกดัง ๆ ล่ะ”

ฉันนึกหงุดหงิด  กลัวว่าลูกจะหิว  เพราะอ๊อฟกินเก่งและตอนนั้นก็เที่ยงแล้ว  เมื่อให้แม่บ้านอีกคนขึ้นไปเรียกลูกอีกรอบก็ไม่มีเสียงตอบเหมือนเดิม  ฉันจึงเดินขึ้นไปทุบประตูเรียกเอง

“อ๊อฟ  หิวข้าวหรือเปล่าลูก  นี่จะเที่ยงแล้วนะ  ยังไม่ได้กินอะไรอีกเหรอ”

ฉันทุบประตูเรียกอย่างแรงหลายครั้ง  แต่ในห้องนอนก็เงียบ  ลองใช้เท้าอังตรงซอกใต้ประตู  ก็รู้สึกถึงความเย็นของแอร์ในห้อง  แสดงว่าเขายังไม่ได้ออกไปไหน

ตอนนั้นในบ้านก็มีแต่ฉันและแม่บ้านอีกสองคน  จึงให้แม่บ้านโทร.เรียก รปภ.ของหมู่บ้านมาช่วยงัดประตู  เมื่อเปิดประตูออกมา  ภาพตรงหน้าคือ  ลูกชายของฉันนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอน

“ทำไมมานอนท่านี้นะ”  ฉันคิดในใจ  แต่เมื่อวานให้รปภ.ช่วยเข้าไปปลุกให้อ๊อฟตื่น  รปภ.หันมาบอกว่า “คุณอ๊อฟตายแล้วครับ”

“เธอพูดอะไรของเธอน่ะ  มาว่าลูกฉันตาย”

ฉันสวนกลับไปทันที  รปภ.ที่จับตัวอ๊อฟอยู่ยืนยันว่าเขาไม่หายใจแล้ว  ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่ยืนงงอยู่หน้าประตู  เป็นไปไม่ได้หรอก  เมื่อเช้ายังคุยกับลูกอยู่เลย  แค่ไม่กี่ชั่วโมงเขาจะตายได้อย่างไร  แต่สุดท้ายก็เดินไปจับตัวลูกชาย ลูกไม่มีลมหายใจแล้วจริง ๆ

ฉันทั้งตกใจ  สับสน  งงไปหมด รีบโทร.หาผู้กำกับละครที่ทำงานด้วยกัน  ฉันพูดวกไปวนมาเหมือนไม่มีสติ  ขอให้เขามาช่วย  เพราะฉันทำอะไรไม่ถูกแล้ว  เขารีบมาช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้  ซึ่งพอมีข่าวออกไป  นักข่าวก็มาทำข่าวกันล้นบ้านส่วนฉันยังคงช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น  ตั้งสติไม่ได้  ทำอะไรไม่ถูก  จน ตุ๊ก - เดือนเต็ม  สาลิตุล  เพื่อนสนิทในวงการบันเทิงโทร.มาถามไถ่และช่วยจัดการเรื่องวัดที่จะจัดงานศพให้

ตอนนั้นฉันได้แต่นั่งร้องไห้อยู่กับลูกสาว  เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากเร็วจนทำใจไม่ทัน  ทั้งที่รู้อยู่ว่าอ๊อฟจะจากฉันไปตั้งหลายครั้งแล้ว  แต่พอต้องมาเสียเขาไปจริง ๆ ก็ไม่อาจยอมรับสภาพดังกล่าวได้

แม้เรื่องราวในวันนั้นจะผ่านมาหลายปีแล้ว  แต่ฉันก็ยังคงทำใจไม่ได้ ทุกวันนี้ยังเรียกหาเขาอยู่  เพราะรู้สึกเสมอว่าเขายังอยู่ข้าง ๆ  แม้ในวันที่ฉันลำบากก็เหมือนมีเขาเป็นกำลังใจให้เสมอ

อนาคตที่กำหนดไม่ได้

“คุณสีดา  คุณระวังนะ  ตอนอายุห้าสิบ  คุณจะหมดเนื้อหมดตัว  และจะเสียชื่อเสียงอย่างมหันต์”

หมอดูคนหนึ่งเคยทักตอนอายุประมาณสามสิบกว่า ๆ  สมัยนั้นชีวิตฉันยังรุ่งเรือง  มีงานในวงการ  เปิดร้านอาหาร  มีเงินทองใช้ไม่เคยขาดมือ

“จะเป็นไปได้อย่างไร  ฉันชอบทำมาหากิน  ตั้งแต่ทำงานในวงการบันเทิงมาไม่เคยมีข่าวเสียหายอะไร”

ฉันเถียง  เพราะไม่คิดว่าจะเป็นไปได้  คิดแค่ว่าเป็นเพียงคำพูดของหมอดูที่จะพูดจะทักอะไรก็ได้  หลังจากนั้นก็ลืมคำพูดนั้นไปเสียสนิท

หลังจากลูกชายเสียชีวิต  ฉันยังคงยืนหยัดทำงานหาเลี้ยงตัวเองเหมือนเช่นเคย  ช่วงหลัง ๆ มานี้ฉันเป็นผู้จัดละครให้บริษัทแห่งหนึ่ง  ทำละครป้อนให้สองเรื่อง  ต่อมาเริ่มมีปัญหาการทำงานกับทีมงานในบริษัท  แถมยังขาดทุนอีกฉันจึงออกจากบริษัทนั้นมาเป็นผู้จัดละครเอง

การมาเป็นผู้จัดละครเองต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง  ทำให้ฉันตัดสินใจกู้เงินด้วยวิธีผิด ๆ  จนสุดท้ายก็กลายมาเป็น “จำเลยในคดีฉ้อโกง” ซึ่งกลายเป็นตราบาปในชีวิต

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


เรื่อง สีดา  พัวพิมล เรียบเรียง เชิญพร  คงมา  ภาพ วรวุฒิ  วิชาธร สไตลิสต์ สุธีร์  รติวัฒน์บุญญา  แต่งหน้า - ทำผม ภูดล  คงจันทร์ ขอขอบคุณ  ศูนย์การค้า  ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์  เอื้อเฟื้อสถานที่

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.