ในคราบน้ำตายังมีเสียงหัวเราะ…ธงธง มกจ๊ก (คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ) (1)

ว่ากันตามจริง ในยุคสมัยหนึ่งอาชีพตลกได้รับความนิยมสูงสุดโดยเฉพาะตลกคาเฟ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย หลายคนได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง และกลายเป็นดาราตลกประจำรายการหรือช่วยเป็นตัวชูรสให้ละครเรื่องต่างๆ

หลายปีมานี้ ถ้าใครเปิดโทรทัศน์ดูละครซิตคอมเรื่อง “เป็นต่อ” ก็คงได้หัวเราะไปกับมุกของ ธงธง มกจ๊กหรือชื่อจริงที่เก๋ไก๋แต่ไม่ค่อยมีใครทราบคือ คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

บทบาทกะเทยตัวอวบอ้วนได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเขาไปแล้ว และตัวจริงของเขาก็เป็นเช่นนั้นคือมีความสุขกับการสร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้คนรอบข้าง

แต่ชีวิตคนเราใช่จะมีแต่เรื่องสนุกสนาน ชีวิตบางช่วงบางตอนของเขาก็ดราม่าไม่แพ้คนอื่นเหมือนกันเพียงแต่ไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังเท่านั้น อย่างเรื่องการเข้าวัดปฏิบัติธรรม หลายคนอาจทราบจากสื่อแต่เพียงว่า“เป็นดาวตลกอีกคนหนึ่งที่ใจใฝ่ธรรมะ ชอบหันหน้าเข้าวัดเข้าวา ฟังเทศน์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ ปรกติมักจะควงคู่ไปกับคู่หูสาว กิ๊ก - มยุริญ ผ่องผุดพันธ์จนใครๆ พากันเรียกว่า ‘คู่ปาท่องโก๋ธรรมะ’…” แต่รายละเอียดอย่างอื่นไม่ค่อยมีใครทราบ

ในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา เขาถือคติว่า “ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีสุข” ในทุกเรื่องราวของชีวิตที่ทุกข์ร้อนแสนสาหัสนั้น เขามองว่ามันอยู่กับเราไม่นาน และถ้ามองให้ดีมันก็นำความสุขมาให้เราได้เช่นกัน…

 

บนความทุกข์ยังมีความสุขในนั้น

หากเล่าถึงชีวิตวัยเด็กแล้ว ถือได้ว่าค่อนข้างลำบาก เรามีพี่น้องพ่อแม่เดียวกันแค่คนเดียว เป็นพี่สาวที่เรารักมาก และมีพี่น้องคนละพ่ออีก 4 คน ดังนั้นถ้าจะนับว่าลูกบ้านนี้มีกี่คนก็ต้องตอบว่า 6

แต่เดิมพ่อแม่เคยเป็นพระเอกนางเอกลิเกเก่า แต่ตอนหลังแม่เปลี่ยนมาขายข้าวแกง และเปลี่ยนอาชีพไปเรื่อยๆ ขนาดเป็นแม่ครัวตามบ่อนไพ่ก็เคยมาแล้ว ส่วนตัวเราตอนเด็กๆ ใช้ชีวิตอยู่ที่โคราชแบบปากกัดตีนถีบ ทำงานสารพัดอย่าง เช่น เป็นเด็กเสิร์ฟในร้านขายข้าวต้มโต้รุ่ง ต้องทำงานตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนถึงหกโมงเช้า ได้เงินแค่ไม่กี่สิบบาทก็เคยทำมาแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องช่วยกันทำงานหาเงิน บ้านของเราถือว่าเป็นทีมเวิร์คมาก ลองคิดดูแล้วกัน ช่วงที่แม่ไปเป็นแม่ครัวในบ่อนไพ่พ่อก็ไปเป็นยามที่นั่น พี่ชายอีกคนเป็นคนจดแต้มในวงไพ่ ส่วนเราก็เป็นพนักงานเก็บรองเท้า แม้ว่างานที่ทำจะถือว่าเป็นงานที่ไม่ถูกศีลธรรม แต่เงินที่ได้ก็ช่วยทำให้ฐานะของครอบครัวดีขึ้น พอที่จะส่งเราให้เรียนต่อจนจบอนุปริญญาได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่เคยคิดว่าเงินที่ได้เป็น “เงินร้อน” อย่างที่คนเล่นการพนันคิด แต่รู้สึกว่านี่คือเงินจากน้ำพักน้ำแรงของทุกคนในครอบครัว เวลานำไปใช้สอยก็ต้องใช้อย่างประหยัด

แม้ฐานะทางบ้านจะจัดว่ายากจน แต่เรากลับรู้สึกว่าครอบครัวมี “ความสุขอย่างเว่อร์” จำได้ว่าบางวันตอนเย็นแม่ทำกับข้าวรอพ่อกลับจากที่ทำงาน ส่วนเราตอนเป็นเด็กก็นึกสนุกไปแอบตามตู้เสื้อผ้าให้พ่อมา “จ๊ะเอ๋”ครอบครัวนี้เต็มอิ่มกับความรัก ไม่เคยรู้สึกว่าการขาดแคลนเงินทองจะทำให้ความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวลดน้อยลงไปเลย

 

แอบเป็นกะเทย ไม่ให้พ่อรู้

เรื่องเป็นกะเทย เราไม่เคยบอกให้พ่อรู้ แต่แม่รับรู้มาตลอดมิหนำซ้ำตอนเด็กๆ ยังแอบซื้อกระโปรงมาให้ใส่ แล้วกระซิบบอกว่า“อย่าให้พ่อเห็นนะ” เพราะรู้ดีว่าพ่อไม่ชอบ ส่วนพ่อเพิ่งมารู้แน่ชัดเมื่อเราโตแล้ว พ่อบอกว่า “พ่อไม่ชอบ จะเป็นทำไม ไม่ดีนะลูก แล้วจะอยู่ในสังคมอย่างไร” นี่คือสิ่งที่พ่อเป็นห่วง แต่สำหรับแม่ ถ้าได้ยินพ่อพูดแบบนั้น แม่ก็จะให้ท้ายทันทีว่า  “อย่าไปว่าลูกนะ!”

แม่เป็นคนสู้ชีวิต เอาจริงเอาจังในการทำงาน และรักลูกมากส่วนพ่อเป็นคนที่มีแนวคิดที่ดีในการดำเนินชีวิต พ่อจะสอนเราหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องการวางตัวในสังคมและความกตัญญูรู้คุณคน

แต่ถ้าถามว่ามีใครเป็นฮีโร่ ตอบได้เลยว่าแม่ เพราะเป็นผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว วันไหนที่บ้านไม่มีเงิน แม่จะเดินออกจากบ้านไปทำงานนั่นนี่ ขายของ ทำงานรับจ้าง เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงครอบครัว ที่สำคัญ แม่เป็นคนที่เข้าใจลูกมาก ชวนไปไหน ทำอะไร ท่านก็ไปโดยเฉพาะไปปฏิบัติธรรม

ทุกปีเรากราบแม่ปีละสี่ครั้งเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วคือ วันปีใหม่วันสงกรานต์ วันแม่ และวัดเกิดของท่าน ไม่เคยรู้สึกว่าการกราบแม่ของตัวเองเป็นเรื่องน่าเคอะเขินอะไรเพราะครอบครัวของเราทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว

เมื่อได้ไปปฏิบัติธรรม ก่อนเริ่มนั่งสมาธิ เดินจงกรม เราก็ต้องเข้าไปกราบพระพุทธรูปในห้องกรรมฐานก่อนทุกครั้ง ครั้งหนึ่งพระอาจารย์ท่านสอนว่า แม่คือพระในบ้าน เป็นบุคคลที่ควรกราบไหว้บูชาเลยทำให้คิดว่าคงเป็นบุญไม่น้อยถ้าแม่จะมานั่งให้เรากราบในห้องกรรมฐานแห่งนี้ ประกอบกับตอนนั้นท่านป่วยเป็นโรคพาร์กินสันแล้ว และกินยาจนเลือดออกในช่องท้อง จึงอยากให้ท่านได้รู้จักธรรมะเสียตั้งแต่วันนี้

หลังจากชักชวนท่านให้ไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน แม่ก็ยอมไป และเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่อาการเจ็บป่วยของท่านดีขึ้น จากที่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ต้องคอยพยุงเวลาเดิน ตอนนี้ท่านอายุ 80 ปีแล้ว แต่กลับกระฉับกระเฉงเข้าครัวทำกับข้าวทุกวัน พอเล่าเรื่องของแม่ให้น้องกิ๊ก - มยุริญ ฟังทีไร เธอก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยทุกครั้ง เพราะเธอนี่แหละที่เป็นคนชักนำให้รู้จักธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

 

ดังได้เพราะ…กำจัดจุดอ่อน

เราเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงจากการประกวดตลกในรายการ“จี้เส้นอะวอร์ด” ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 หลังจากได้รับรางวัลรองอันดับหนึ่ง คุณจตุรงค์ มกจ๊ก เลยชวนมาอยู่ที่คณะทำให้กลายเป็นธงธง มกจ๊ก อย่างทุกวันนี้ แต่ช่วงแรกที่เล่นตลกยังหาตัวเองไม่เจอ เล่นแล้วยังไม่ใช่ ช่วงหนึ่งเลยหันไปเปิดร้านขายของกับเพื่อนที่มาบุญครอง แต่ทำไปได้สักพักก็เจ๊ง ตอนหลังพ่อเสียก็เลยย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่จังหวัดนครนายก ช่วยพี่สาวขายหอม ขายกระเทียมอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง

…ทำไมต้องไปขายหอม ขายกระเทียมในวัด ไม่ขายในตลาด หลายคนอาจสงสัย…คือนิสัยคนไทยชอบขอหวยกันเป็นจริงเป็นจังอย่างที่รู้ๆ กัน ถ้าวัดไหนให้เลขแม่น คนก็จะแห่ไปกัน วันหนึ่งเป็นหลักร้อยหลักพันเลยทีเดียว ตอนนั้นแค่ขายหอม ขายกระเทียมอย่างเดียวก็ได้กำไรวันละ 7 - 8 พัน แต่ตอนหลังพระเริ่มให้หวยไม่แม่น คนจึงเริ่มลดลงก็ต้องเลิกกิจการนี้ไป เราก็เลยต้องหวนกลับคืนวงการตลกอีกครั้ง คราวนี้ลองเล่นเป็นผู้หญิง ใส่ชุดพยาบาล คนดูขำกลิ้ง จนทำให้เริ่มมั่นใจว่าถ้าเล่นเป็นกะเทยน่าจะมาถูกทาง หลังจากนั้น คุณเป็ด เชิญยิ้มก็ชวนไปเล่น “ก่อนบ่ายคลายเครียด”

แต่จุดสำคัญที่ทำให้มีชื่อเสียงคือ การเลียนแบบ อาจารย์อ้อ -กฤษติกา คงสมพงษ์ พิธีกรรายการ “กำจัดจุดอ่อน” (Weakest Link)ที่ใครต่อใครบอกว่าทำได้เหมือนมาก ทั้งหน้าตา ท่าทาง คำพูดคำจาเป๊ะสุดๆ

ตอนนั้นจากคนที่ไม่มีอะไรเลย ชีวิตเปลี่ยนแบบพลิกฝ่ามือมีเงินมีทองไหลมาเทมา นอกจากจะมีรายได้จากการอัดรายการนี้เทปละสองแสนแล้ว ช่วงเทศกาลปีใหม่ปีนั้นก็มีงานโชว์ตัวตลอด ต้องขับรถไปรับงานที่เชียงใหม่ นครสวรรค์ โคราช ขอนแก่น จนถึงภาคใต้ยาวไปเลยทีเดียว

เงินทองที่ได้มา เราใช้ไปกับการซื้อบ้าน ซื้อรถให้พี่สาวที่รักมากที่สุดเป็นอันดับแรก แต่น่าเสียดายที่เงินทองมากแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพได้ วันหนึ่งเมื่อพี่สาวป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายและลามไปที่สมอง คำพูดหนึ่งที่ทำให้น้ำตาคลอเบ้า คือเสียงของพี่สาวที่โทรศัพท์มาจากโรงพยาบาลบอกกับเราว่า  “พี่เจ็บปวดทรมานเหลือเกินขอกินยาตายได้ไหม”

ในยามนั้นเราไม่ทราบว่าจะช่วยคนที่รักอย่างไร ได้แต่พูดปลอบพี่ไปประโยคหนึ่ง ซึ่งทำให้จิตใจของพี่สงบลงได้…

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.