ช่อผกา วิริยานนท์

ชีวิตมันๆ กับสัจธรรมที่ค้นพบ…อุ๊ – ช่อผกา วิริยานนท์ (ตอนจบ)

บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับเราได้อย่างเหลือเชื่อ อุ๊ ( ช่อผกา  วิริยานนท์ ) พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง  แต่เป็นมะเร็งชนิดพิเศษที่มีอายุเพียง4 วันเท่านั้น!

เรื่องมีอยู่ว่า อยู่ดีๆ วันหนึ่งอุ๊รู้สึกว่าเต้านมตัวเองมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ จากคัพบีเป็นคัพซี แข็งโป๊ก และมีอาการเจ็บ ก่อนหน้านี้อุ๊เคยมีซีสต์ถุงน้ำที่เต้านมมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นกับร่างกายก็คิดว่าต้อง “เป็นอะไร” สักอย่างแน่นอน แต่เป็นอะไรนั้นตัวเราเองก็ไม่ทราบ ได้แต่คิดในใจว่าอย่าเป็นในสิ่งที่ฉันคิดเลย

 

เข้าใจว่าป่วยเป็นมะเร็ง

ตอนนั้นด้วยความที่เชื่อถือเรื่องการแพทย์ทางเลือกมากกว่าแผนปัจจุบัน (ในกรณีที่เจ็บป่วยเป็นมะเร็ง) อุ๊จึงตัดสินใจไปหาหมอทางเลือกท่านหนึ่งที่ต่างจังหวัดตามคำแนะนำของเพื่อน ก่อนไปก็โทร.สอบถามว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง คนรับเรื่องบอกว่าไม่ต้อง แต่พอไปถึงจริงๆหมอบอกว่า ความจริงแล้วอยากให้ไปตรวจกับหมอในโรงพยาบาลก่อนเพื่อจะได้นำคำวินิจฉัยของหมอมาใช้ประกอบการรักษา แต่เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว  หมอก็ตัดสินใจรักษาเลย  ด้วยการใช้มือคลำบริเวณที่เจ็บ  หลังจากสำรวจดูสักพัก หมอพูดว่า “ดูสภาพแล้วเนี่ย เป็นมะเร็งแน่เลย”

ได้ยินแบบนั้น ใจอุ๊ไม่ได้วูบหรือตกใจอะไร แต่กลับกลายเป็นว่า“กูว่าแล้ว…ว่าต้องเป็นมะเร็ง” รู้อย่างนี้ก็ดีจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว สิ้นความสงสัยไปเสียที รู้สึกว่าตัวเองทุกข์ใจน้อยกว่าตอนก่อนไปหาหมอเพราะรู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไร แต่หลังจากนั้นเมื่อขับรถจากต่างจังหวัดกลับบ้านเงียบๆ คนเดียว ความคิดต่างๆ ก็ผุดขึ้นมา

มีเสียงหนึ่งในใจพูดว่า “ชีวิตเรามันแค่นี้เองหรือ” อุ๊จินตนาการว่าตัวเองคงอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี นั่นหมายความว่าอุ๊จะตายตอนอายุ 40กว่าๆ เท่านั้นเอง แต่อีกเสียงหนึ่งกลับพูดว่า “ถ้ามันเป็นอย่างนั้นแล้วจะทำไมหรือ” แล้วอีกเสียงหนึ่งก็ตอบกลับว่า “เออ โอเค ตกลงตามนั้น” แม้ว่าจะมีการชักเย่อทางความคิดไปมา แต่ด้วยความที่จิตของอุ๊เคยได้รับการฝึกมาบ้าง เมื่อไรก็ตามที่มีความคิดในแง่ลบขึ้นให้จิตเศร้าหมอง หดหู่ สักพักสติก็จะเตือนให้อุ๊ปล่อยวาง หลังจากนั้นก็ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้

ที่ผ่านมาอุ๊เคยสัมภาษณ์และศึกษาชีวิตผู้ป่วยมะเร็งมานักต่อนักเรียกได้ว่าพูดคุยกับเขาตั้งแต่เขาเป็นจนเขาตาย หนึ่งในนั้นคือพี่พร -สุภาพร พงศ์พฤกษ์ จนกระทั่งวันที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง อุ๊เกิดความรู้สึกว่า “โห ถ้าฉันเป็นเหมือนพี่พรล่ะ ฉันจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานแค่ไหน”

ยิ่งไปกว่านั้น จากการศึกษาชีวิตผู้ป่วยมะเร็ง อุ๊พบว่า มะเร็งกายที่พวกเขาเป็นนั้นไม่น่ากลัวเท่ากับมะเร็งใจ และผู้ป่วยโรคมะเร็งที่น่ากลัวที่สุดคือญาติ ไม่ใช่ตัวเรา เพราะถ้าป่วยแล้วเรายอมรับความจริงเรื่องก็จบ แต่อาการตีโพยตีพายของญาติมันจะยิ่งทำให้เราทรุดหนักเข้าไปใหญ่ แล้วอุ๊ก็ไม่แน่ใจว่าญาติพี่น้องมั่นคงพอไหมจึงตัดสินใจไม่บอกเรื่องอาการป่วยให้พ่อแม่พี่น้องรับรู้เลยมีเพียงเพื่อนสนิทคนเดียวเท่านั้นที่อุ๊โทร.ไปเล่าให้ฟัง และตั้งใจว่าเมื่อตัวเรายอมรับเรื่องนี้ได้แล้วจริงๆ ถึงจะบอกคนในครอบครัวและคนอื่นๆ เพื่อที่ว่าอาการสั่นสะเทือนของใจเขาจะไม่ทำให้เราสั่นมากขึ้น

ค้นพบสัจธรรมจากความเจ็บป่วย

4 วันผ่านไป หลังจากไปรักษากับหมอทางเลือกแล้วหมอบอกว่าเป็นมะเร็ง อุ๊ก็ได้ยามาทานขนานใหญ่ มื้อละ 8 เม็ดวันละ 4 ครั้ง วันหนึ่งทานยาไป 32 เม็ด จนเข้าวันที่สี่ อุ๊ทานยาเข้าไป 128 เม็ดแล้ว และเริ่มอาเจียนอย่างหนัก หมอทางเลือกบอกว่าให้ลองรักษาดูก่อน แต่วันนั้นอุ๊คิดว่าตัวเองคงต้องไปหาหมอแผนปัจจุบันได้แล้ว เพราะอุ๊ไม่สามารถทนทำงานไปประชุมไป อาเจียนไป 3 – 4 รอบได้อีกแล้ว

คลิกที่นี่! หรือกดที่เลข 2 ด้านล่างเพื่ออ่านหน้าถัดไป

อุ๊ขับรถไปหาหมอที่โรงพยาบาลคนเดียว และบอกหมอว่า“สงสัยจะเป็นผลมาจากยาที่กิน เพราะไปตรวจมาว่าเป็นมะเร็งค่ะ”

หมอจึงให้ไปอัลตราซาวนด์ก่อน เมื่อเห็นผล หมอถามกลับว่า“คุณรู้ได้ไงว่าคุณเป็นมะเร็ง” อุ๊เลยบอกว่าก็หมอคนหนึ่งบอก คุณหมอที่ตรวจเลยขอตรวจดูเต้านม แล้วหมอก็หัวเราะพร้อมกับบอกว่า “คุณไม่เป็นอะไรหรอก” อุ๊บอกว่า “ดิฉันไม่เชื่อ”หมอเลยบอกว่า “เดี๋ยวผมจะทำให้ดู” แล้วหมอก็ใช้เข็มฉีดยาเจาะเข้าไปในเต้านม ดูดเอาน้ำที่อยู่ข้างในออกมาได้ถึง 20 ซีซีหน้าอกที่เคยเป่งเหมือนนางมณโฑก็แฟบลงในบัดดล สรุปคืออุ๊เป็นแค่ซีสต์ถุงน้ำที่เต้านม ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นมาแล้ว

นาทีที่รู้ว่าตัวเองไม่เป็นมะเร็ง อุ๊ค้นพบสัจธรรมข้อหนึ่งว่าคนเราตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด ตลอดเวลา เราไม่ได้เกิดครั้งเดียว แล้วตายครั้งเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเกิดทุกขณะและเราก็ตายทุกขณะ มีการเกิด – ดับๆ อยู่ตลอดเวลา

เรื่องราวในชีวิตของเรามันก็แค่เกิดขึ้นและจบลง…ไม่มีอะไรแต่ที่มีอะไรก็เพราะตัวเราเองทั้งนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าแวบเข้ามาในหัวอุ๊ เกิดเป็นความเข้าใจว่า “เออหนอ ไม่กี่นาทีก่อนกำลังคิดว่าฉันจะตาย แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองรอดแล้วก็เหมือนเกิดใหม่อย่างนี้นี่เอง” อุ๊เริ่มเข้าใจแล้วว่าชีวิตเราก็เป็นแบบนี้ การได้ “เห็น” สิ่งนี้มันช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ ที่ผ่านมาแม้อุ๊จะเชื่อว่าจิตของเรามีการเกิด – ดับๆตลอดเวลา แต่นั่นก็เป็นเพียงความจำได้หมายรู้ที่มาจากการเชื่อที่คนอื่นพูด เป็นการเชื่อแต่ในสมองแต่ไม่ได้เชื่อเข้าไปในจิตและไม่ได้เชื่อเข้าไปในเซลล์ทุกอณูของร่างกายเหมือนกับการเชื่อด้วยการประสบพบเจอด้วยตัวเอง

ค้นพบสัจธรรมจากความตาย

นอกจากความรักและความเจ็บป่วยของตัวเองจะทำให้อุ๊เข้าใจสัจธรรมของชีวิตแล้ว ความตายของคุณน้าซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของคุณแม่ก็เตือนสติอุ๊ได้อีกเรื่องหนึ่ง

น้องชายของคุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งและนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนึ่งปี ตลอดระยะเวลานั้น อุ๊ไปเยี่ยมท่านประมาณเดือนละครั้ง และโชคดีที่ช่วงนั้นอุ๊ได้เรียนรู้วิธีดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายจากแม่ชีศันสนีย์ ซึ่งท่านสอนว่า หัวใจสำคัญของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายคือ ทำอะไรก็ได้ให้คนไข้มีความสบายใจ และสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ การชวนคุยถึงความสุขความสำเร็จในอดีตของชีวิตคนไข้ และอย่างที่สองคือ อย่าฝืน อย่าเถียงเวลาที่เขาคร่ำครวญ ให้นั่งฟังเฉยๆ แล้วยอมรับ เพราะคนไข้เขาอยากระบายความทุกข์ออกมาบ้างเท่านั้น เราก็แค่รับฟัง แต่ถ้าเขาคร่ำครวญนานเกินไป เราก็พยายามดึงเขาให้ไปสนใจเรื่องอื่น

ทุกครั้งที่อุ๊ไปคุย ไปเยี่ยม คุณน้าจะมีความสุขมาก จนกระทั่งวันที่ท่านเสีย ตอนบ่ายสามของวันนั้น ท่านเรียกหาอุ๊ เพราะท่านหายใจไม่ออก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่วันนั้นอุ๊ติดงาน กว่าจะไปเยี่ยมท่านได้ก็ประมาณทุ่มครึ่ง แวบแรกที่เห็นสีหน้าคุณน้า หน้าไม่มีเลือดฝาดแล้ว แล้วท่านก็หายใจไม่สะดวก เหมือนพยายามจะหายใจจนเส้นกราฟที่แสดงถึงการหายใจสะวิงขึ้นลงอย่างรุนแรง ส่วนอุ๊ในตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีสติอย่างเต็มที่ รู้สึกว่าเรามั่นคงหนักแน่น ขณะเดียวกันก็แผ่วเบาและอ่อนโยนในตัวเอง

อุ๊นั่งลงข้างๆ แล้วใช้มือจับแขนคุณน้า แต่ก่อนจับ อุ๊ถามก่อนว่าจับได้ไหม เจ็บหรือเปล่า คือเป็นการสำรวจคนไข้ก่อน แล้วก็คุยกับคุณน้า คุณน้าบอกว่า “กลัวจังเลย น้ากำลังจะตาย” อุ๊เห็นอาการของคุณน้าอย่างนั้นจึงบอกท่านว่า “หายใจตามอุ๊นะคะ หายใจเข้าอ่อนโยนหายใจออกผ่อนคลาย” คุณน้าทำตามอุ๊ เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่งเส้นกราฟที่เคยสะวิงขึ้นลงก็ค่อยๆ กลายเป็นเส้นกราฟที่แสดงถึงการหายใจที่เป็นปกติ อาการเกร็ง หายใจติดขัดของคุณน้าหายไป ท่านน้ำตาไหล ยิ้มอย่างมีความสุข…ก่อนสิ้นลมหายใจอย่างสงบท่ามกลางลูกหลานและญาติๆ

จากเหตุการณ์นี้ อุ๊เข้าใจแล้วว่า ความตายเป็นสิ่งสวยงาม เราทุกคนสามารถเรียนรู้เรื่องชีวิตได้จากความตาย

ทุกวันนี้ อุ๊คิดว่าสัจธรรมที่อุ๊ค้นพบจะช่วยให้การดำเนินชีวิตต่อจากนี้ไปเต็มไปด้วยสติ เพราะที่สุดแล้วชีวิตของคนเราก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากการเข้าถึงความสงบ เยือกเย็น และเป็นประโยชน์…แค่นั้นจริงๆ

 

ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร


บทความน่าสนใจ

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ …ชีวิตนี้ขออุทิศเพื่อเพื่อนมนุษย์

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.