ในหนังสือที่เขียนค่อนข้างให้ความสำคัญกับ“พลังใจ” เพราะอะไรคะ
พลังใจมีหลายมิติมาก แต่ผมให้ความสำคัญกับเรื่อง “พลังใจแบบรายวัน” อันนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์สุด ๆ เลย เพราะนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้วว่าช่วงตื่นนอนไปจนถึง 11 โมงเช้าเป็นช่วงที่เรามีพลังใจสูงสุด จึงควรบริหารเวลาช่วงนี้ให้ดี โดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกเหนื่อย ท้อแท้หมดพลังใจ การออกกำลังกายช่วยให้พลังกายพลังใจฟิตมาก ดังนั้นผมมักออกกำลังกายช่วงเช้า
นอกจากนั้นยังมีอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งเป็นการสร้างพลังใจที่เกี่ยวข้องกับ “การสร้างนิสัยที่ดี” คือ มนุษย์มีแรงต้านในการทำสิ่งที่ไม่ชอบทำอยู่ทุกคน เป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นเวลาเราต้องทำสิ่งไม่ชอบจึงต้องใช้พลังใจเยอะ และเมื่อใช้พลังใจเยอะ เรายิ่งไม่อยากทำ เช่น คนไม่เคยออกกำลังกายเลย ถ้าให้วิ่งวันแรก เขาจะใช้พลังใจในการลุกออกจากที่นอนไปวิ่งเยอะมาก แต่เมื่อเขาทำอย่างนี้ติดต่อกันสัก 2 เดือน เขาจะสามารถตื่นมาแบบอัตโนมัติและวิ่งได้โดยไม่ต้องใช้แรงใจเลย นี่คือความหมายของการสร้างนิสัยที่ดีดังนั้นผมมองว่าเราสามารถสร้างนิสัยที่ดีของเราขึ้นมาได้
นอกจากนั้น ผมเชื่อว่าวันหนึ่ง ๆ เรามีสิ่งสำคัญที่ต้องทำไม่เกิน 3 อย่างเท่านั้น ถ้าเราสามารถทำ 3 อย่างนี้สำเร็จได้ เท่ากับ 95 เปอร์เซ็นต์ของวันนั้นประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ดังนั้นในแต่ละวันผมพยายามสร้างพลังใจว่า ต้องทำงาน 3 อย่างนี้ให้สำเร็จก่อนในช่วงเช้า ถือเป็นการสร้างนิสัยที่ดีของเราอย่างหนึ่ง
ยกตัวอย่าง เช้าวันนี้ผมเดินมาถึงออฟฟิศ ผมต้องรู้แล้วว่าวันนี้งาน 3 อย่างที่ผมต้องทำให้เสร็จก่อนคืออะไร เริ่มทำเรื่องที่สำคัญที่สุดให้เสร็จก่อนตั้งแต่ตอนเช้า นี่จึงเป็นศาสตร์การบริหารเวลาที่ดี แต่มีคนจำนวนมากเลือกทำสิ่งไม่สำคัญก่อน ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งสำคัญวันนั้นให้เสร็จลงได้
ยุคนี้โซเชียลมีเดียทำให้คนเสพติดได้ง่าย จนบางครั้งเสียเวลากับมันเยอะเกินไป ดังนั้นวิธีของผมคือ พยายามไม่เสพมากจนเกินไป ตอนเช้าวันทำงานผมเอาโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในลิ้นชักหรือฝากไว้กับเลขาฯ พยายามไม่เปิดคอมพิวเตอร์ในตอนเช้า เพราะทันทีที่เราเปิดคอมพิวเตอร์ เราจะหลุดเข้าไปในโซเชียลมีเดีย และยากที่จะหลุดออกมาจากตรงนั้น ดังนั้นถ้าเช้าวันนั้นผมยังสามารถคิดอะไรที่เขียนลงบนกระดาษได้ ผมจะพยายามใช้เวลาอยู่กับกระดาษ ปากกา สมุด ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือถ้ามีเรื่องจำเป็นต้องคุยงานกับลูกน้อง ผมจะไม่ส่งอีเมล แต่เดินเข้าไปคุยกับเขาเลย
ทราบว่ายามว่างคุณรวิศมักไปบรรยายให้ความรู้แก่นักเรียนนักศึกษาด้วย
ใช่ครับ ผมทำโปรเจ็กต์ร่วมกับเพื่อนนักเขียนกลุ่มหนึ่ง เราจะตระเวนไปพูดบรรยายตามโรงเรียนต่าง ๆ เรื่องที่พูดเป็นเรื่องของความฝัน เป้าหมาย และเรื่องของอาชีพว่าแต่ละอาชีพเป็นอย่างไร เวลาไปบรรยายผมชอบคุยในเรื่องว่า ถ้าเกิดย้อนเวลากลับไปได้ ผมอยากจะทำอะไร ยกตัวอย่าง ผมสอนเด็ก ๆ ว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ตอนเรียนจบใหม่ ๆ ผมจะไม่เลือกทำงานแบบนั่งในออฟฟิศแต่จะเลือกงานที่แปลกที่สุด ไกลที่สุด หลุดโลกที่สุด และไม่สนเรื่องเงินทองเลย แต่ขอให้เรามีประสบการณ์ เช่น อาจไปทำงานอยู่ที่แอฟริกา เพราะในอดีตผมตีค่าประสบการณ์ต่ำเกินไป และให้มูลค่ากับเงินเดือนเยอะเกินไป ตอนนี้ถึงเห็นว่าจริง ๆ แล้วเงินเดือนไม่สำคัญเลย แต่ประสบการณ์ตอนที่เรายังเด็ก ยังหนุ่ม ยังไม่มีครอบครัว มันหาซื้อไม่ได้และย้อนเวลาเอากลับคืนมาไม่ได้ ผมมักสอนเด็ก ๆ เสมอว่าอย่าเลือกงาน ให้เลือกประสบการณ์ที่เราอยากจะทำ อย่าไปยึดติดเรื่องเงิน ไม่อย่างนั้นเราจะติดกับดักมันได้
หลังจากไปบรรยาย มีคนเขียนอีเมลมาหาผมแทบทุกวัน เขียนมาบอกว่าสิ่งที่ผมไปบรรยายช่วยให้เขาได้คิดอะไร หรือช่วยให้เขาเปลี่ยนมุมมองชีวิตเขาอย่างไรบ้าง บางคนอ่านหนังสือผมเสร็จก็ตัดสินใจลาออกจากงาน บางคนตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ บางคนตัดสินใจกลับไปช่วยกิจการที่บ้าน ทั้งที่ตอนแรกไม่อยากทำ เพราะเห็นว่ากิจการที่บ้านเชย หรือเด็กนักเรียนบางคนบอกว่ารู้สึกชีวิตไม่มีค่า แต่พอได้ฟังผมบรรยาย เขารู้สึกว่าชีวิตตัวเองก็มีค่า ดังนั้นเขาจะฮึดขึ้นสู้ใหม่ จะตั้งใจเรียนหนังสือให้จบ ได้ยินอย่างนี้ผมก็ภูมิใจครับ
คลิกเลข 5 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป >>>