โบยบินจากท้องทุ่งสู่กรุงปารีส…อ๋อย - จิตตินิ วังสินธุ์ (จบ)

เมื่อดิฉันนึกทบทวนชีวิตของตัวเอง มักคิดเสมอว่า…มาไกลกว่าที่นึกฝันไว้มาก จากเด็กผู้หญิงบ้านนอก พ่อแม่มีอาชีพทำนา แทบไม่กล้าคิดฝันสิ่งใด มาวันนี้ ดิฉันเปรียบเหมือนนกน้อยที่โบยบินไปไกลถึงประเทศฝรั่งเศส ดินแดนศิวิไลซ์ที่ใครหลายคนฝันถึง ใครหลายคนอาจคิดว่าดิฉันเป็นผู้หญิงไทยที่โชคดีประสบความสำเร็จอยู่ในต่างแดน เพราะเป็นเจ้าของร้านอาหารไทย(Mme Shawn) ในประเทศฝรั่งเศสหลายสาขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เบื้องหลังของความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากโชคชะตาฟ้าลิขิต แต่มาจากหนึ่งสมองและสองมือที่สู้ไม่ถอยเพื่อคนที่เรารักที่อยู่ในประเทศไทยมากกว่า

ปัญหาของชีวิตคู่ในต่างแดน 

เหตุที่เข้าใจปัญหาของคนไทยในต่างแดนเป็นอย่างดีก็เพราะครั้งหนึ่งชีวิตของดิฉันเองก็อยู่ในจุดวิกฤติเช่นเดียวกันต่างกันแต่เพียงว่า  หลายคนอาจคิดว่านี่คือปัญหาใหญ่ของชีวิตแต่สำหรับดิฉันไม่เคยมองอะไรให้เป็นความทุกข์ ไม่มีเงินก็ไม่ทุกข์ คิดแต่ว่า  ถ้าเราขยันทำงาน  สักวันหนึ่งเราก็ต้องมีจนได้และแม้กระทั่งในวันที่ตัดสินใจเลิกกับอดีตสามี ดิฉันก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากเขา ไม่มีการเรียกร้องเงินทองหรือสิ่งใดๆแค่เดินออกจากที่พักพร้อมถุงขยะใบหนึ่งที่ข้างในมีเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยตัวเอง

เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง หลายคนคงยากจะเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างดิฉันกับสามีเป็นแค่เรื่องความคิดเท่านั้น เขาเป็นชาวฝรั่งเศสที่พอใจกับการรับราชการ ได้รับเงินเดือนเท่าเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม แต่ดิฉันต้องการความก้าวหน้าเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวที่เมืองไทยอีกอย่างเขาอยากให้ดิฉันเป็นแม่บ้านแม่เรือน ในขณะที่ดิฉันมองว่าตัวเองมีภาระที่ต้องรับผิดชอบที่เมืองไทย ต้องทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้น  ดิฉันจึงพยายามไปทำงานนอกบ้านทั้งพี่เลี้ยงเด็กและพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารไทยจนเมื่อนานวันเข้า ความรู้ภาษาฝรั่งเศสของดิฉันดีขึ้นก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง การงานก้าวหน้า แต่ละเดือนได้รับเงินมากขึ้น จนทำให้ดิฉันรู้สึกว่าสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง

จะว่าไป ดิฉันคิดว่าคนเราแต่ละคนย่อมมีจุดยืนของตัวเอง ดิฉันเองก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาถูกกดทับด้วยเรื่องราวมากมาย มาวันหนึ่งเมื่อดิฉัน “ค้นพบตัวเอง”แล้ว การที่มีใครมาคอยบังคับกะเกณฑ์ว่าจะต้องใช้ชีวิตแบบนั้นแบบนี้ตามที่เขาต้องการ โดยเฉพาะความคิดความเชื่อซึ่งแตกต่างกันระหว่างคนไทยกับต่างชาติ ในเรื่องความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ด้วยแล้ว ดิฉันถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตตอนนั้นดิฉันรู้สึกอึดอัดใจมาก ถามตัวเองตลอดเวลาว่าทำไมเราต้องมาอดทนใช้ชีวิตแบบนี้ เครียดจนถึงขนาดอยากจะกระโดดลงมาจากที่พักซึ่งอยู่บนชั้น 8 เลยด้วยซ้ำ  เพราะคิดมากว่าถ้าหย่าแล้วเราจะใช้ชีวิตได้ไหม คนไทยคนอื่นจะมองเราอย่างไรถ้าวันหนึ่งต้องเปลี่ยนสถานะมาเป็นแม่หม้ายแล้ววันหนึ่งเรื่องราวทั้งหลายก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อดิฉันกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยพร้อมกับอดีตสามีและแม่สามี เมื่อแม่สามีเห็นบ้านที่ดิฉันซื้อให้พ่อแม่อยู่ที่เมืองไทยซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวแถวชานเมืองราคาราวสองล้านบาท ท่านก็ไม่พูดกับดิฉันอีกเลย มิหนำซ้ำยังให้ลูกชายของตัวเองแยกห้องนอนกับดิฉันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แม่สามีคงคิดว่าดิฉันจะไปหลอกลูกชายของท่าน เนื่องจากดิฉันขอให้อดีตสามีช่วยกู้เงินมาซื้อบ้านที่เมืองไทยให้ก่อนเพราะดิฉันเป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิ์กู้ แล้วหลังจากนั้นเราตกลงกันว่าดิฉันจะทำงานหาเงินมาใช้คืนเขา แต่สิ่งสำคัญดิฉันคิดว่าอาจมาจากความรู้สึกของแม่สามีที่ว่า ตัวท่านเองยังต้องอยู่คอนโด แต่พ่อแม่ของดิฉันกลับได้อยู่บ้านที่มีอาณาบริเวณจึงทำให้เกิดความคิดเปรียบเทียบก็เป็นได้ จากนั้นหนึ่งปีให้หลัง ดิฉันก็ทำงานใช้หนี้จนครบและเดินออกมาจากชีวิตของเขาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดทั้งสิ้น  เพราะคิดว่าที่ผ่านมาเขาก็ได้ให้ชีวิตใหม่กับดิฉัน สอนให้รู้จักภาษาฝรั่งเศส รักและเมตตาดิฉันมาโดยตลอด เพียงแต่ความคิดของเราไปด้วยกันไม่ได้เท่านั้น ที่สำคัญ เราก็มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ มีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้ชีวิตของตัวเอง ดิฉันจึงไม่ลังเลใจใดๆ ในการตัดสินใจครั้งนี้ และทุกวันนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีอะไรที่ดิฉันสามารถช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเขาได้ดิฉันก็เต็มใจที่จะช่วย

กระตือรือร้น ช่างคิดช่างสังเกตเคล็ดลับความสำเร็จ 

ดิฉันเรียนจบแค่ ม.3 เท่านั้น ความรู้ภาษาอังกฤษก็แค่งูๆ ปลาๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าตัวเองมีมากคือ ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  20 ปีที่อาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ดิฉันเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสด้วยการดูโทรทัศน์แล้วจดคำศัพท์ที่ได้ยินไว้เป็นภาษาไทย เช่น คำว่า เฌอแตม (Je t’aime = ฉันรักเธอ) แล้วก็จะถามอดีตสามีว่าคำคำนี้แปลว่าอะไร ทุกวันนี้ดิฉันพูดและฟังภาษาฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะเมื่อได้ทำงานเป็นพนักงานในร้านอาหารก็ยิ่งมีโอกาสได้ฝึกพูดทุกวัน จนกระทั่งเมื่อได้มาเจอกับสามีคนปัจจุบัน - คุณแมกซิม ชีวิตของดิฉันก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ดิฉันไปทำงานด้วย นอกจากจะเป็นเจ้านายรูปหล่อแล้ว เขายังเป็นชาวฝรั่งเศสที่ขยันขันแข็งมาก แม้ว่าจะทำอาหารไม่เป็น แต่ก็เก่งในด้านการบริหารจัดการและมีความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ ส่วนดิฉันดูแลเรื่องเมนูอาหารของร้าน

หลังจากแต่งงานกันเราสองคนก็ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัว ดิฉันรับพี่ๆ น้องๆ 5 คนจากเมืองไทยไปดูแลกิจการร้านอาหารของตัวเอง ส่วนพ่อและแม่ยังใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยกับพี่ชายที่รับราชการเป็นตำรวจ ส่วนใหญ่พนักงานในร้านของดิฉันจะเป็นคนไทย เราอยู่กันแบบพี่ๆ น้องๆทุกคนทำงานให้ดิฉันเกินร้อย และ 7 - 8 ปีที่ผ่านมามีคนลาออกน้อยมาก เพราะดิฉันยึดหลักในการทำงานว่า  ต่อให้เป็นเจ้านายก็ต้องทำงานให้เหมือนลูกน้อง  คือทำงานทุกอย่างในร้านได้ ไม่ว่าจะล้างจานหรือขัดห้องน้ำ  ที่สำคัญดิฉันไม่เคยหวงข้าวปลาอาหาร ใครอยากทานอะไรก็สามารถทำกับข้าวทานเองได้ เมื่อจะพูดจะจากับใคร ดิฉันจะคิดเสมอว่าคำพูดที่พูดออกไปทำให้เขาเสียใจหรือไม่ ด้วยรู้ดีว่าคำพูดเป็นสิ่งสำคัญ ครั้งหนึ่งดิฉันก็เคยถูกหัวหน้างานในร้านอาหารที่เป็นชาวต่างชาติตะคอกใส่ด้วยคำพูดแรงๆ มาแล้ว  จึงไม่อยากให้คนไทยที่มาทำงานด้วยกันต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบเดียวกันนั้นอีก

ที่ผ่านมาหากใครถามว่าทำไมดิฉันถึงประสบความสำเร็จดิฉันมักจะบอกว่ามาจากความกระตือรือร้นและรู้จักคิด ตอนทำงานร้านอาหารใหม่ๆดิฉันมักจะแอบมองว่าเชฟทำอาหารอย่างไร เด็กเสิร์ฟทำงานแบบไหน ทำไมคนนั้นทำงานดีคนนี้ทำงานไม่ดี วันหนึ่งเมื่อมาเปิดร้านเป็นเจ้านายบ้างดิฉันจึงรู้จุดอ่อนจุดด้อยทุกอย่างดี และที่สำคัญก็คือดิฉันพยายามสอนน้องๆ ในร้านว่า ต้องรู้จักคิดให้ยาวไกล แม้เราจะเป็นเด็กเสิร์ฟก็จริงแต่ใช่ว่าเราจะทำแค่งานเสิร์ฟอย่างเดียว ควรต้องรู้ระบบงานอย่างอื่นด้วย เพื่อช่วยให้การทำงานของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทุกวันนี้ลูกน้องเห็นหน้าดิฉัน มักจะบอกว่า“ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ พี่อ๋อยก็ยิ้มได้ทุกวัน” ดิฉันไม่ค่อยเก็บเรื่องอะไรมากลุ้ม ต่อให้มีปัญหาก็จัดการได้ เหมือนธรรมะอยู่ในใจของดิฉันมาตลอดทั้งที่ไม่ได้เข้าวัดสวดมนต์ แต่ดิฉันคิดว่าธรรมะเกิดมาจากการที่เรารักพ่อแม่พี่น้องของเรา เราก็เลยเผื่อแผ่ความรักให้คนรอบข้างด้วย นอกจากนั้นดิฉันยังเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่น เคารพในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ไม่ทำอะไรที่เป็นการเบียดเบียนคนอื่น ธรรมะของดิฉันจึงมาจากจิตใจ ไม่ใช่การเข้าวัดเข้าวา และก่อนนอนแต่ละวันดิฉันจะคิดทบทวนว่าวันนี้ดิฉันทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง เพื่อพรุ่งนี้จะได้แก้ตัวใหม่

ที่ผ่านมาสมาคมสตรีไทยในประเทศฝรั่งเศสได้เชิญคุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ มาพูดคุยธรรมะ ท่านเมตตาให้พวกเราเรียกว่า “ป้าศรี” ป้าศรีเล่าเรื่องราวชีวิตของท่านให้ฟัง สอนนั่งสมาธิ และสอนว่า  ชีวิตคนเราไม่ได้มีอะไรมาก ตำแหน่งหน้าที่เป็นแค่หัวโขน ฟังแล้วดิฉันชื่นชมคุณหญิงมาก ท่านเป็นเหมือนไอดอลของดิฉัน เป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสบายๆ ที่สำคัญดิฉันและสามีก็ใช้ชีวิตอย่างที่คุณหญิงพูด นอกจากนั้นดิฉันและเพื่อนคนไทยที่โน่นก็มีโอกาสได้ฟังธรรมจาก ท่าน ว.วชิรเมธีและพระภิกษุรูปอื่นๆ ด้วย ซึ่งฟังแล้วทำให้เข้าใจธรรมะมากขึ้น ดิฉันอยากให้คนไทยที่อยู่ที่นั่นได้อ่านหนังสือธรรมะของพระอาจารย์เหล่านี้ จึงตั้งใจจะแบ่งพื้นที่ของร้านอาหารส่วนหนึ่งสำหรับเป็นห้องสมุด

ปัจจุบันร้านอาหารมาดามจันทร์ที่ฝรั่งเศสเปิดบริการได้ 8 สาขาแล้ว และในอนาคตอันใกล้นี้ ดิฉันตั้งใจจะมาเปิดที่ประเทศไทยอีกหนึ่งแห่งเพื่อให้เป็นทั้งร้านอาหารและโรงเรียนสอนการให้บริการด้านร้านอาหารตามแบบมาตรฐานยุโรป ในฐานะที่เป็นคนไทยและเป็นหนึ่งในคณะกรรมการชมรมสตรีไทยในฝรั่งเศส  ดิฉันรู้ดีว่าคนไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกต้องประสบกับปัญหาอะไรบ้าง เมื่อมีโอกาสจึงอยากจะช่วยเท่าที่จะทำได้ดิฉันอยากให้คนไทยมีความรู้ความสามารถ จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ดิฉันตั้งใจว่าจะเปิดสอนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพียงแต่มาฝึกงานที่ร้าน 3 - 6 เดือน เมื่อจบแล้วจะทำงานที่ร้านหรือที่ไหนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องไปอยู่เมืองนอก จากบ้านไปไกลพ่อไกลแม่  เพราะถ้ามีความรู้ความสามารถ อยู่ที่นี่เขาก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้

คนเราความสุขไม่ได้อยู่ที่เงินและไม่ได้อยู่ที่ว่าใช้ชีวิตที่ไหนแต่ทั้งหมดอยู่ที่ใจของเราเอง ถ้าใจเรารู้จักพอ รู้จักให้ รู้จักปล่อยวาง ดิฉันเชื่อว่าคุณก็มีความสุขได้ง่ายๆ เหมือนดิฉันค่ะ

 

 

 

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.