ปอกเปลือกความทุกข์…โกโก้ - กกกร เบญจาธิกุล (1)

ว่ากันว่า ตัวตนของคนเรานั้นเปรียบเหมือนหอมหัวใหญ่ที่แบ่งออกเป็นชั้นๆ มีทั้งส่วนที่เป็นเปลือกและส่วนที่เป็น“ใจ” ซึ่งอยู่ในชั้นที่ลึกที่สุด

ภายนอกบางคนอาจดูเหมือนแข็งกระด้าง แต่ภายในกลับอ่อนโยน นุ่มนวล หรือภายนอกบางคนดูเหมือนจะสุขแต่แท้จริงเมื่อเลาะเปลือกที่อยู่ข้างนอกออกทีละชั้นๆ ก็จะพบว่าคนคนนั้นกลับเต็มไปด้วยความทุกข์

การทำความรู้จักคนคนหนึ่ง เราจึงไม่อาจมองแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นแค่ “เปลือก” ที่ห่อหุ้มเขาไว้เท่านั้น แต่ต้องค่อยๆ ปอกเปลือกเหล่านั้นทิ้งไป เพื่อจะได้พบเจอตัวตนที่แท้จริงของเขา

นอกจากเปลือกจะห่อหุ้มความจริงไว้แล้ว ในชีวิตของเราการหลงติดอยู่กับเปลือกภายนอก ทั้งชื่อเสียง ความสำเร็จ เงินทอง ก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้เช่นกัน เพราะเราไม่ได้ “เห็น”สิ่งนั้นตามความเป็นจริง แต่กลับ “เห็น” อย่างที่ใจอยาก

แล้ววันหนึ่ง ดิฉัน (โกโก้ - กกกร เบญจาธิกุล) ก็ได้เข้าใจว่า เปลือกภายนอกนั้นถ้าตัดทิ้งไปได้ เราจะค้นพบความสุขที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว โดยเฉพาะถ้าเปลือกที่ว่านี้ทำให้เราเป็นทุกข์…

เป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก

ใครหลายคนอาจไม่คุ้นหน้าดิฉัน แต่ถ้าเคยดูภาพยนตร์เรื่อง สตรีเหล็ก ก็คงร้องอ๋อกับบทบาทของกะเทยแปลงเพศหน้าสวยเหมือนผู้หญิงที่รับบทเป็นนักวอลเลย์บอล และในชีวิตจริงดิฉันก็เป็นเพศที่สามเช่นเดียวกัน

ดิฉันมีคุณพ่อเป็นทหาร ส่วนคุณแม่เป็นอาจารย์สอนรำไทย ตั้งแต่จำความได้ก็รู้สึกว่าตัวเอง “เป็นผู้หญิง” ที่ชอบร้องรำทำเพลง แต่คนรอบข้างมักจะล้อว่าเป็นกะเทย ดิฉันก็จะตอบกลับว่า “ไม่ใช่กะเทยค่ะ” เพราะมีความคิดว่าเราเป็นผู้หญิงจริงๆ และโชคดีมากที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่เคยดุว่าอะไร ท่านไม่ได้บอกว่า “อย่าเป็นกะเทย” หรือพยายามเปลี่ยนอะไรในสิ่งที่ดิฉันเป็น ยิ่งไปกว่านั้น คุณแม่ยังคอยช่วยเหลือ สนับสนุน ส่วนคุณพ่อปลื้มด้วยซ้ำเวลาเห็นลูกไปรำมีก็แต่พี่ชายที่ไม่ชอบ ทำให้เราทะเลาะกันบ้างตามประสาเด็ก

จำได้ว่าครั้งหนึ่งคุณแม่รับรู้แล้วว่าลูกไม่ใช่ผู้ชายแน่ๆท่านก็คิดหาวิธีการที่จะให้ลูกเรียนรู้ชีวิต จึงพาไปดูไปรู้จักเพื่อนกะเทยของท่านที่อยู่ในกรมทหาร แล้วบอกว่า “บางครั้งเป็นกะเทยก็มีคนแกล้งนะลูก ถ้าหนูอยากให้คนรักเอ็นดู หนูก็ต้องเรียนหนังสือให้เก่งๆ ทำตัวดีๆเป็นคนมีสัมมาคารวะ พูดจาเพราะๆ”

ดิฉันจำคำพูดนี้ของคุณแม่ได้เป็นอย่างดี จวบจนเมื่อเข้าสู่วัยเรียนก็รู้ตัวดีว่าแตกต่างจากคนอื่นๆ เพราะแม้จะแต่งตัวไปเรียนเหมือนเด็กผู้ชาย แต่กลับชอบเล่นวาดชุดตุ๊กตากับเด็กผู้หญิง ยิ่งตอนเด็กวาดรูปชุดตุ๊กตาสวย เพื่อนๆ ผู้หญิงก็จะเข้ามาพูดมาคุยด้วย

ส่วนเพื่อนผู้ชาย ด้วยความที่เรียนเก่ง เพื่อนผู้ชายที่เรียนไม่เก่งก็จะมาพึ่งพา ยิ่งทางโรงเรียนมีกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับฟ้อนรำ เราก็จะได้เป็นตัวแทนแทบทุกครั้ง จนที่สุดพวกเขาก็มองว่าเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และเมื่อหน้าตาดีบวกกับกิจกรรมเด่น จึงกลายเป็นดาวโรงเรียนไปโดยปริยาย ทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่รู้จักดิฉันหมด

นับเป็นความโชคดีที่ได้เรียนรำ เพราะการเรียนรำไทยให้อะไรดิฉันหลายอย่าง ทั้งบุคลิกภาพที่ดี ทำให้เป็นคนหลังตรง ก้าวเท้าเบาไม่ลงส้น รวมถึงกิริยามารยาทแบบผู้หญิงซึ่งคุณแม่มักจะสอนว่า ทำอะไรต้องให้ถูกกาลเทศะ พูดจาก็ควรมีหางเสียง อยู่ที่โรงเรียนต้องพูด “ครับ” อยู่ที่บ้านถึงจะพูด “ค่ะ” ได้ การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ให้พอดี ถ้าอยากให้คนมองว่าเราเป็นผู้หญิงไม่ใช่กะเทย!

การงานและความรักที่ต้องรับมือ

ในวัยเด็ก ดิฉันไม่เคยรู้สึกทุกข์กับการเป็นเพศที่สามของตัวเองเลย กลับรู้สึกว่าปมด้อยของตัวเองกลายเป็นปมเด่นเพราะเพื่อนๆ ก็รัก คุณครูก็เอ็นดู แต่ที่ทำให้รู้สึกทุกข์จริงๆเกิดขึ้นตอนเริ่มทำงาน

เมื่อสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว สังคมไทยยังไม่ค่อยยอมรับกะเทยมากนัก หลังจากเรียนจบในระดับ ปวส.แล้ว ดิฉันก็ไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ครั้งแรกที่เขาโทรศัพท์เรียกให้ไปสัมภาษณ์ ท่าทีของเขาเหมือนยินดีรับเราเข้าทำงานมาก จนกระทั่งเมื่อพบว่าดิฉันเป็นกะเทย เขาก็พูดจาประมาณว่าจะไม่รับ เพราะบริษัทไม่เคยมีเคสแบบนี้ ที่สำคัญคือ ขัดกับนโยบายของบริษัท ดิฉันได้ยินเขาพูดอย่างนั้นก็ร้องไห้ รู้สึกทั้งโมโห ทั้งอัดอั้นตันใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้

นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นทุกข์เล็กๆ ก็ว่าได้ แต่ ณ ตอนนั้นดิฉันมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ในที่สุดเพื่อนจึงชวนไปทำรายการวิทยุ ได้จัดคอนเสิร์ตนู่นนี่นั่น สนุกและมีความสุขจนลืมความทุกข์ที่เกิดมาเป็นเพศที่สามไปได้

จนกระทั่งถึงคราวมีความรัก สำหรับคนที่ผู้ชายก็ไม่ใช่(แน่ๆ) ผู้หญิงก็ไม่เต็มร้อยอย่างดิฉัน ปัญหาย่อมมีแน่นอนแต่ด้วยความที่มองเห็นคุณค่าของตัวเอง เชื่อมั่นว่า “ฉันสวย”เลยคิดว่าทำไมต้องมานั่งเสียใจ ถ้ามีแล้วไม่ดีก็เลิก จะมีเพื่อให้ทุกข์ทำไม สำหรับตัวดิฉันเอง ความรักไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างถึงไม่มีแฟนก็ไม่เหงา เพราะชีวิตเรายังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมากมาย และ ช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ ของการมีแฟนก็เป็นแค่ช่วงออกเดตเท่านั้น แต่หลังจากนั้นมันไม่สุขสนุกอีกแล้ว เพราะมันคือชีวิตจริง ซึ่งจริงๆ แล้วมีทุกข์มากกว่าสุขเสียด้วยซ้ำ หลายคู่ตอนแรกอาจจะรักกัน แต่อยู่ไปอยู่มาเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ก็ไม่เอาแล้ว เลิกรากันไปง่ายๆ

ความจริงแล้วการเป็นเพศที่สามของดิฉันไม่ใช่ปัญหาโดยตรงเสียทีเดียว แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามมามากกว่าเช่น เมื่อคบกันแล้วดิฉันไปที่บ้านเขาไม่ได้ เพราะครอบครัวของเขาไม่ยอมรับ ถ้าเป็นอย่างนี้ดิฉันจะเป็นฝ่ายขอเลิกเองหรือบางคนคบกับเราเพราะแค่ “ตื่นเต้น” กับความแปลกแตกต่างของเราเท่านั้น แบบนี้ก็ต้องเลิกกันไป แต่ที่ทำให้เจ็บปวดคือคนที่คบกันนานเป็นปีๆ แล้วมาบอกเลิกกัน บอกว่าต้องไปแต่งงานหรือบางคนก็กลับไปคบกับแฟนเก่าที่เป็นผู้หญิง เมื่อเราจับได้เขาก็ขอคบทั้งเราและผู้หญิงอีกคน แบบนี้ดิฉันก็รับไม่ได้เช่นกันแต่ทุกวันนี้ดิฉันได้พบความรักที่มั่นคงแล้ว กับสามีซึ่งต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาด้วยกัน

ด้วยความที่ครอบครัวของดิฉันอบอุ่นและแวดล้อมไปด้วยเพื่อนที่ดี เรื่องความรักจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิตที่ทำให้ทุกข์ แต่ทุกข์จริงๆ เกิดขึ้นเมื่อดิฉันเปิดบริษัทรับจัดงานอีเว้นต์กับสามีแต่ธุรกิจของเรากลับขาดทุนเป็นหนี้เป็นสิน เนื่องจากในช่วงที่บ้านเมืองมีรัฐประหาร งานก็หดหาย รายได้ก็หาไม่พอรายจ่ายโดนทวงหนี้ทุกวี่วัน

จนในที่สุดดิฉันก็คุยกับเพื่อนสนิทว่า “อยากนอนแล้วไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 

 

 

 

 

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.