True Story: “ละครชีวิต” ของผู้หญิงชื่อ อารี

True Story: “ละครชีวิต” ของผู้หญิงชื่อ อารี

True Story: “ละครชีวิต” ของผู้หญิงชื่อ อารี

แม้เข็มนาฬิกาจะบอกเวลาสามนาฬิกาแล้ว แต่ฉัน อารี ก็ยังคงนั่งอยู่กับเอกสารและจดหมายกองโต  หยิบอันนั้นขึ้นมาอ่าน หยิบอันนี้ขึ้นมาดู กลุ้มใจจนต้องบ่นออกมาดังๆ…

“ฉันจะทำอย่างไรดีกับหนี้สินตั้งสิบกว่าล้าน จะหาเงินที่ไหนมาใช้เขา  โอ๊ย! เครียด…เครียด!”

ฉันนั่งนิ่ง ๆ อย่างนั้นอีกราวสิบนาทีก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเร็ว  พอคว้ากุญแจรถมาได้  ก็รีบขับรถทะยานออกจากบ้านทันทีฉันเหยียบคันเร่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ หมายจะจบปัญหาทั้งหมดลงที่ท้ายรถพ่วงคันข้างหน้าซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 20 เมตร!

ทันใดนั้นเอง  ฉันมองเห็นคล้าย “ผ้าจีวร” ผืนใหญ่โบกสะบัดอยู่เต็มกระจกหน้ารถ  สติที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดสั่งให้ฉันหักรถหลบอย่างรวดเร็ว  รถเลยเสียหลักแฉลบลงข้างทางทันที!

พอได้สติ  ฉันก็นั่งตัวสั่นเทาอยู่ในรถมือทั้งสองยังคงกำพวงมาลัยแน่น  ภาพผ้าผืนนั้นยังคงติดตาไม่หาย  มันคืออะไรกันแน่…แต่เอาเถอะ  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรตอนนี้ฉันก็ไม่คิดฆ่าตัวตายอีกแล้ว  ฉันค่อย ๆ ขับรถต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดระยอง  ทันทีที่จอดรถ  ภาพแรกที่ฉันเห็นคือพระสงฆ์กำลังเดินบิณฑบาต  แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่ตกกระทบลงบนสีเหลืองอมส้มของจีวรนั้นงดงามยิ่งนัก  มันทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า

“ผ้าที่เห็นต้องเป็นจีวรแน่ ๆ  พระพุทธเจ้าคงต้องการเตือนสติไม่ให้ฉันคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีโง่ ๆ  คนเราย่อมทำผิดพลาดกันได้  แต่เมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ต้องหาทางแก้ไขมือเท้ายังมีก็หาเงินใช้เขาไป  ไม่ควรทิ้งปัญหาไว้ให้คนที่เรารักและรักเรา”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นอกจากจะทำให้ฉันได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว  ยังตอกย้ำความมั่นใจให้ฉันว่า  ทางเดินชีวิตที่ฉันเลือกเองตั้งแต่ห้าสิบปีก่อนคือหนทางที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อห้าสิบปีก่อน…ฉันถือกำเนิดจากแม่ที่เป็นมุสลิมซึ่งมีฐานะทางบ้านร่ำรวยมาก  ส่วนพ่อ…นอกจากจะเป็นชาวพุทธแล้ว ยังมีฐานะยากจนอีกด้วยแต่ด้วยความรักที่มีต่อแม่อย่างสุดหัวใจ  พ่อจึงยอมเปลี่ยนศาสนาเพื่อมาสร้างครอบครัวกับแม่ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวแม่ยอมรับ  ทว่าไม่ว่าพ่อจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่เคย “ดีพอ” ในสายตาของคนในครอบครัวของแม่  พ่อถูกดูถูก  กดขี่ข่มเหงสารพัดโดยที่ไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น

ฉันเห็นภาพเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ จนอดตั้งคำถามกับแม่ไม่ได้ว่า  “ทำไมทุกคนต้องทำกับพ่ออย่างนี้”  แม่ก็ได้แต่ตอบว่า“เรื่องของผู้ใหญ่  เราเป็นเด็ก อย่ายุ่ง”

ความอยากรู้ของฉันยังลุกลามไปในเรื่องศาสนาด้วย  ฉันเริ่มตั้งคำถามกับแม่ว่า “หนูต้องเรียนคัมภีร์อัลกุรอานไปเพื่ออะไร” แม่ตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า  “ฉันบอกให้ทำอะไรแกก็ต้องทำ  อย่าถามอีกเข้าใจไหม  เกิดเป็นมุสลิม  ใคร ๆ ก็ต้องเรียนอย่างนี้กันทั้งนั้น”

การปฏิเสธที่จะตอบคำถาม  การใส่อารมณ์แทนที่จะอธิบายด้วยเหตุผลของแม่ทำให้ฉันรู้สึกว่า มันช่างแตกต่างกับครอบครัวของตูน  เพื่อนสนิทของฉันจริง ๆ ครอบครัวของตูนเป็นชาวพุทธ  และเมื่อเด็กเจ้าปัญหาอย่างฉันถามว่า  “เราไปวัดกันทำไม  เราสวดมนต์ไปทำไม”  ครอบครัวของตูนก็สามารถอธิบายให้เข้าใจและตอบคำถามฉันได้หมด  ยิ่งเมื่อได้นั่งฟังพระเทศน์สวดมนต์  ตักบาตร  ถวายสังฆทาน  ฯลฯ ด้วยตัวเอง  ฉันก็ยิ่งรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด และกลับรู้สึกชอบมากกว่าการไปมัสยิดเสียอีก

ฉันใช้ชีวิตก้ำกึ่งสองศาสนา  เย็นไปมัสยิด  เสาร์ - อาทิตย์  (แอบ)  ไปวัดอยู่นานจนกระทั่งขึ้นชั้น  ม. 1 ก็เริ่มมั่นใจว่า  “ชีวิตนี้ฉันจะเป็นชาวพุทธ”  ฉันตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับพ่อก่อน  จำได้แม่นว่าพ่อบอกฉันสั้น ๆ ว่า

“ลูกจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้  เพียงแต่ต้องทำหน้าที่ศาสนิกชนในศาสนานั้นให้ดีที่สุด  ตัวพ่อเองแม้จะเกิดเป็นพุทธแต่เมื่อวันนี้พ่อเลือกที่จะเป็นมุสลิม  พ่อก็จะเป็นมุสลิมที่ดีที่สุด”

ส่วนแม่ พอรู้เรื่องนี้เข้าก็ด่าว่าฉันอย่างรุนแรง  พร้อม ๆ กับรีบเล่าเรื่องนี้ให้ญาติ ๆ ฟังด้วยความโกรธแค้น  ผลก็คือ  ทุกคนพากันรุมด่าทอสาปแช่งฉันว่า  หากไม่ล้มเลิกความคิดนี้เสีย  ก็ขอให้ชีวิตของฉันพบเจอแต่ความหายนะ

แม้จะมั่นอกมั่นใจในตัวเองแค่ไหนพอเจอคำสาปแช่งอย่างนี้  ฉันก็อดหวั่น ๆ ไม่ได้เหมือนกัน  ฉันจึงตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้หลวงลุงที่ฉันเคารพฟัง  หลวงลุงไม่ว่าอะไรนอกจากตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า  “อย่าไปกลัวคำสาปแช่ง  แต่ขอให้กลัวความเป็นคนชั่วของเรามากกว่า”  คำพูดสั้น ๆ เพียงแค่นี้ แต่ก็ทำให้ฉันมั่นใจพอที่จะก้าวเดินในเส้นทางนี้ต่อไป  โดยไม่ลืมที่จะดึงน้องสาวอีกสองคนไปเป็นชาวพุทธกับฉันด้วย…

แม้สงครามระหว่างฉันกับแม่จะเริ่มซาลง  แต่ฉันก็ไม่อาจทนเห็นพ่อถูกกดขี่ข่มเหงจากครอบครัวใหญ่ได้อีกแล้ว  ราว 2 ปีต่อมาฉันและน้อง ๆ จึงช่วยกันขอร้องให้พ่อและแม่ “ย้าย” ออกมาหาบ้านหลังใหม่  แม่ตกลงและยอมย้ายตามมาโดยดี  ทว่าแม่ไม่ได้มาแต่ตัว  แต่ยังหอบหิ้ว “ผีการพนัน” ติดมาด้วย  ส่วนพ่อ เมื่อไม่สามารถห้ามปรามอะไรแม่ได้  ก็ได้แต่ก้มหน้าทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในบ้านและใช้หนี้ให้แม่

ด้วยความสงสารพ่อจับใจ  ฉันจึงตัดสินใจเรียนพาณิชย์แทนสายสามัญ  จะได้เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้  รายได้ที่ได้มาหลังจากแบ่งไว้ใช้จ่ายส่วนตัวแล้ว  ส่วนที่เหลือฉันก็ยกให้แม่หมด  แต่ให้เท่าไรก็ดูเหมือนจะไม่พอ  เพราะวันหนึ่งแม่ก็ออกปากไม่ให้ฉันเรียนหนังสือ  ให้ทำงานอย่างเดียวเชื่อไหมว่า  แม่ถึงขั้นเก็บหนังสือเรียนของฉันไปทิ้งและฉีกชุดนักศึกษาจนขาดหมด

ตอนนั้นฉันทุกข์ใจมาก ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนนอกจากไปวัดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดฉันก็ตัดสินใจหาหนังสือสวดมนต์มาไว้ที่บ้าน  หวังจะได้สวดเพื่อคลายทุกข์แต่นั่นกลับยิ่งเป็นการจุดไฟโกรธในใจแม่ขึ้นมาอีกครั้ง  เพราะพอแม่มาเห็นเข้า  แม่ก็โกรธจัด ถึงขั้นไล่ฉันออกจากบ้านและประกาศตัดแม่ตัดลูกกันตั้งแต่วันนั้น!

ฉันเองก็ใจแข็งพอที่จะพาน้อง ๆ อีกสองคนย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเพื่อจบปัญหาไม่กี่ปีต่อมาฉันก็ส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรี  และได้ทำงานกับบริษัทไฟแนนซ์ข้ามชาติมีหน้าที่การงานเติบโตอย่างรวดเร็ว

จากนั้นชีวิตก็ดำเนินมาถึงอีกขั้น  เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิต…เขาชื่อ“พงษ์”  เป็นคนไทยเชื้อสายจีน  ฉันกับพงษ์คบหากันได้ไม่นานก็แต่งงานกัน  ด้วยเหตุผลที่ว่า  พงษ์เป็นคนดีและเป็นคนที่รักแม่มากซึ่งนั่นก็หมายความว่า  เขาต้องรักครอบครัวแน่ ๆ  ทว่าพอมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริง ๆ ฉันถึงได้รู้ว่า  ความรักแม่ของพงษ์นั้นใกล้กับคำว่า “กลัว” เพียงนิดเดียว  เพราะแม่คือผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อชีวิตพงษ์  ไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไร  ก็ต้องขออนุญาตแม่ก่อนทุกครั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว…ซึ่งสะใภ้อย่างฉันก็พลอยต้องรับสภาพนี้ไปด้วย

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงที่รักอิสระและมีความมั่นใจในตัวเองมาตลอดชีวิตอย่างฉันเริ่มทุกข์ใจขึ้นเรื่อย ๆ  จนถึงขั้นยื่นคำขาดกับพงษ์ว่า  “เราจะต้องย้ายออกมาสร้างครอบครัวเองเสียที  ไม่อย่างนั้นเราก็คงต้องแยกทางกัน  เพราะฉันทนแม่กับน้อง ๆ ของคุณไม่ไหวแล้ว”  พงษ์ตอบตกลง  เพียงแต่ขอเวลาอธิบายให้แม่เข้าใจก่อน  แต่ถึงอย่างนั้นกว่าฉันและพงษ์จะได้ย้ายออกมาอยู่บ้านหลังใหม่ด้วยกันก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี

ครอบครัวเล็ก ๆ ของเราอยู่กันอย่างมีความสุขได้ไม่นาน  แม่  น้องชาย  และน้องสาวของพงษ์ก็พากันย้ายตามมาอยู่ด้วยคราวนี้ฉันบอกกับตัวเองว่า  “ฉันจะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติของใครอีกแล้ว  ฉันจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง”  แต่ถ้าจะไปให้ถึงจุดนั้นฉันต้องมีเงินก้อนเสียก่อน  ฉันจึงตัดสินใจเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปลงทุน  แรก ๆ ทุกอย่างดูจะไปได้ดี  มีเงินเข้าบัญชีทุกเดือนรายรับอู้ฟู่ทีเดียว

แต่เพียงชั่วข้ามคืนเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก…ทุกอย่างก็พังพินาศ  ว่าที่เศรษฐินีอย่างฉันกลายเป็นลูกหนี้แบกหนี้สินร่วมสิบกว่าล้าน!  ฉันเครียดที่สุดในชีวิตไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร  ไม่แม้แต่จะเล่าให้พงษ์รับรู้  แล้วในที่สุดฉันก็ตัดสินใจจะจบปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายอย่างที่เล่ามาในตอนต้น

ทว่าด้วยร่มเงาบุญแห่งพุทธศาสนาทำให้ฉัน “คิดได้”  และทยอยแก้ปัญหาด้วยตัวเองไปทีละจุด ๆ ทรัพย์สินใดที่ขายได้ก็ขาย  แม้จะต้องลาออกจากงานเพื่อไม่ให้เรื่องกระทบถึงบริษัทก็ต้องทำ  แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังใช้หนี้ไม่หมดอยู่ดี  ฉันจึงตัดสินใจเล่าปัญหาให้พงษ์ฟัง  ซึ่งพงษ์ก็ตัดสินใจช่วยใช้หนี้โดยไม่อิดออด

หลังใช้หนี้หมด  ฉันเริ่มหางานใหม่อีกครั้งด้วยอาชีพขายประกัน  และก็เหมือนฟ้าดินเป็นใจ  เพราะเพียงแค่ฉันขายประกันให้ลูกค้ารายแรกสำเร็จเท่านั้น  ฉันก็ได้ค่าคอมมิชชั่นเป็นเงินมากกว่าล้านบาท!  เงินก้อนนี้ช่วยให้ฉันกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง…ชีวิตค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ

ฉันมีความสุขอยู่ได้ไม่นาน  โชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง  เมื่อคุณหมอตรวจพบว่าพงษ์เป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 3  ฉันแทบล้มทั้งยืน  คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไร  นอกจากตั้งใจว่า  จะดูแลพงษ์จนวินาทีสุดท้ายอย่างที่เคยให้สัญญากันไว้  ไม่เพียงเท่านั้น  เรื่องของพงษ์ยังทำให้ฉันเริ่มคิดทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา  คิดถึงแม่  และสิ่งที่เคยทำกับแม่

“คนเราสุดท้ายก็เท่านี้  เมื่อวันนี้ยังมีโอกาสอยู่ด้วยกันก็ทำดีต่อกันให้มากที่สุดดีกว่า”

สามวันต่อมา  ฉันตัดสินใจกลับไปหาแม่ที่บ้าน  เตรียมน้ำเพื่อล้างเท้าให้แม่  แล้วก้มลงกราบแม่อย่างสวยที่สุด  เพื่อขออโหสิกรรมในทุกสิ่งที่เคยล่วงเกินแม่มา  แม่เองพอเห็นฉันทำอย่างนั้นก็ตกใจ  คิดว่าฉันจะลาตาย  เราทั้งคู่กอดกันร้องไห้อย่างหนัก…ครั้งนั้นนับเป็นการกอดครั้งแรกในชีวิตของฉันกับแม่ก็ว่าได้

หลายเดือนหลังจากนั้น  พงษ์ก็จากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของฉัน  พงษ์ไม่เพียงทิ้งทรัพย์สินไว้ให้ครอบครัวเท่านั้น  แต่ยังทิ้งบันทึกส่วนตัวที่ฉันคิดว่า “ล้ำค่า” ยิ่งกว่าทรัพย์สินชิ้นไหน ๆ ไว้ด้วย  เพราะในบันทึกเล่มนั้นพงษ์ได้บอกเล่าถึงความในใจของเขาอย่างละเอียด

จากบันทึกของพงษ์ทำให้ฉันได้รู้ว่าที่ฉันเห็นเขาเงียบ ๆ ไม่มีปากมีเสียง  แท้จริงแล้วในใจของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงออกและการทำอย่างนั้นเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างร้ายกาจ  ความเครียดที่สะสมในใจเขาโดยไม่รู้ตัวมีมากขึ้น ๆ จนในที่สุดก็ลุกลามเป็นเซลล์มะเร็ง

วันนี้ฉันรู้แล้วว่า  ที่ผ่านมาไม่มีใครลิขิตชีวิตฉันนอกจาก “ฉัน” กำหนดเองดังนั้น  ถ้าไม่อยากมีชีวิตที่ผิดหวังซ้ำ ๆ เหมือนเดิม  ฉันก็ต้องปรับเปลี่ยนชีวิตที่เหลือใหม่  เพราะฉันไม่อยากเรียนรู้อะไรจากการสูญเสียอีกต่อไปแล้ว

 

คำแนะนำจากพระอาจารย์บวรวิทย์

                เกิดเป็นทุกข์  แก่เป็นทุกข์  เจ็บเป็นทุกข์  ตายเป็นทุกข์  แม้ความโศก  ความร่ำไรรำพัน  ความไม่สบายกาย  ไม่สบายใจ  ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์  ได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ก็เป็นทุกข์  ไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ก็เป็นทุกข์  โดยสรุปแล้วทุกข์เพราะการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นเองความทุกข์เป็นสภาวธรรมที่มนุษย์ทุกคนต้องพานพบไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนหรือไม่นับถือก็ตาม  ไม่มีข้อยกเว้น  มีทั้งความทุกข์ที่เป็นขาประจำและขาจร

                ความทุกข์ทั้งหลายบรรดามีล้วนมีที่มาหรือต้นตอทั้งสิ้น  คือมาจากตัวเองเป็นผู้สร้างเงื่อนไขหรือตัวแปรให้ได้รับความทุกข์หรือความสุข  และผู้อื่น สิ่งอื่นเป็นตัวประกอบในการเพิ่มเงื่อนไขนั้น ๆ กล่าวโดยสรุปก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัยแห่งการเกิดขึ้นและดับไป  ไม่มีปัญหาและความทุกข์ใดที่เกิดขึ้นแล้วจะอยู่ชั่วนิจนิรันดร์

                เรื่องของคุณอารีถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในสังคม โดยตกเป็นฝ่ายตั้งรับและถูกกระทำมาโดยตลอด  แต่เธอก็สามารถฟันฝ่าผ่านเหตุการณ์ที่ความทุกข์เข้ามาบีบคั้นอย่างแสนสาหัสได้สำเร็จถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้จิตใจเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคใด ๆ อันจะพึงมีมาอีกในอนาคต  ปัญหาและอุปสรรคมีไว้ให้แก้ไข  ผู้ที่มีสติปัญญารู้ความเป็นจริงของกฎแห่งสัจธรรม  มีจิตใจกล้าแกร่งเท่านั้นจึงจะเอาชนะมันได้โดยไม่ถูกความทุกข์ครอบงำ

 

เรื่อง ปาปิรัส 


หากใครมีเรื่องราวชีวิตจริงที่อยากแบ่งปัน สามารถส่งเรื่องเข้ามาได้ที่อีเมล therranuch_pa@amarin.co.th


บทความน่าสนใจ

Dhamma Daily : การกระทำบางอย่าง บางสังคมบอกว่าเป็นความดี อีกสังคมบอกว่าเป็นความชั่ว จริงๆ แล้วใช้เกณฑ์อะไรวัด

 

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.