ไชยา มิตรชัย

ชีวิตที่ “ไม่ธรรมดา …อื้อหือ…ไม่ธรรมดา” ของไชยา มิตรชัย

ชีวิตที่ “ไม่ธรรมดา…อื้อหือ…ไม่ธรรมดา” ของไชยา มิตรชัย

ไชยา มิตรชัย ผู้ชายคนนี้เป็นทั้งนักแสดง นักร้อง และลิเก เส้นทางชีวิตของเขาช่างไม่ธรรมดาจริงๆ สมเพลงดังของเขา “ไม่ธรรมดา” เรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของเขา อาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนมีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้และเผชิญกับปัญหา

1

ด้านหลังเวทีกําลังวุ่นวายกันยกใหญ่

2
นักแสดงชาย – หญิงนับสิบชีวิตต่างแต่งหน้าให้ตัวเองอย่างขะมักเขม้น ฝ่ายแสง สี เสียงพากันวิ่งวุ่นเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสําหรับการแสดงที่กําลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ภายในห้องเล็ก ๆ ถัดจากเวที ไปทางด้านหลัง บรรดาหางเครื่องก็กําลังสวมใส่ชุดสุดอลังการกันอย่างชุลมุน… ท่ามกลางผู้คนที่กําลังวิ่งวุ่นกันอยู่นั้น ชายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งเดินมาทางด้านหลังเวทีพร้อมกับกล่าวว่า
3
“วันนี้ถือว่าเป็นชุดเล็กนะครับ เพราะเจ้าภาพบอกว่าสถานที่มีจํากัดจริง ๆ แล้วผมต้องมีจอแอลซีดีอยู่ด้านหลังเหมือนคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ ตอนนี้เหมือนเรากําลังขี่หลังเสือ ทรุดไปกว่านี้ไม่ได้ต้องรักษาให้ทรงไว้ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทําอย่างไรให้เราโตขึ้น ๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีอะไรที่แปลกใหม่อยู่เสมอ อย่างชุดลิเกเนี่ยผมใส่ขึ้นเวทีแค่ 3 เดือน ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ แล้วชุดหนึ่งก็ไม่ใช่ถูก ๆ แถมคืนหนึ่งต้องใส่เป็นสิบชุด ถามว่าคุ้มไหมผมไม่รู้ขอแค่คนดูแฮ็ปปี้ ผมก็มีความสุขมากแล้วครับ ”
4
ชายนัยน์ตาหวานปนเศร้าคนนั้นพูดกับก่อนจะขอตัวเข้าไปแต่งหน้าแต่งตัว เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการแสดงที่ผู้ชมนับล้านทั่วประเทศชื่นชอบมาตลอดเวลาหลายปี…นั่นคือลิเก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของ เอ-ไชยา มิตรชัยในวันนี้
0
ไชยา มิตรชัย
5

ตอนเป็นเด็ก คุณเอเคยใฝ่ฝันว่าอยากจะก้าวมาถึงจุดนี้ไหมครับ

6
ไม่เคยเลยครับ ก่อนที่จะไปอยู่ในความอุปการะของวัดสระแก้วและเริ่มหัดลิเก ผมเป็นเด็กยากจนคนหนึ่ง เกิดที่อยุธยาอาศัยอยู่หน้าสถานีรถไฟ ผมเกิดกับหมอตําแยด้วยซ้ํา (หัวเราะ) ไม่ได้เกิดในโรงพยาบาล รกยังฝังดินอยู่เลย แต่ด้วยความที่ครอบครัวเราเป็นลิเก แถมเพื่อนบ้านเกือบทุกหลังคาเรือนก็เป็นลิเกกันหมด เรียกว่าเป็นหมู่บ้านลิเกก็ว่าได้ ผมเลยได้เห็นได้ฟังเขาเล่นลิเกกันมาตลอด น้าผมเขาชอบฟังเพลงลูกทุ่ง เขาก็จะเปิดวิทยุกรอกหูเรามาตั้งแต่เด็กส่วนข้างบ้านชอบฟังเพลงลูกกรุง ก็จะเปิดเพลงของธานินทร์ อินทรเทพ รวมทั้งเพลงของใครต่อใคร สิ่งเหล่านี้จึงค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใจเราแต่ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าโตขึ้นจะต้องเป็นลิเกหรือจะต้องโด่งดังอะไร
7
ผมจําได้ว่าตอนที่เพลงกระทงหลงทางเริ่มเป็นที่รู้จักของคนฟัง และได้เล่นคอนเสิร์ตมากพอสมควร วันนั้นผมเดินเข้าไปในโรงรถแล้วตะโกนลั่นเลยว่า “ดังแล้ว-ว-ว-ว-ว-ว-ว-ว-ว-ว-ว-ว-ว-ว” ผมดีใจมากจริง ๆ เพราะไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้เข้าไปอยู่ในจอทีวีเป็นลิเกที่คนรู้จัก หรือเป็นนักร้อง แต่อยู่มาวันหนึ่งหลาย ๆ อย่างเข้ามาในชีวิตเราพร้อม ๆ กัน ผมก็ค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกัน
8

เคล็ดลับที่ทําให้ “เด็กยากจน” ในวันนั้นฝ่าฟันมาจนเป็นพระเอกลิเกคิวทองในวันนี้ได้คืออะไรครับ

9
ความจนทําให้เราสู้ชีวิต และความจนนี่แหละที่ทําให้ผมต้องไปอยู่วัดสระแก้ว เพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเราเรียนหนังสือ พ่อแม่ต้องขอยืมเงินคนข้างบ้านให้เราเอาไปใช้ที่โรงเรียน ช่วงเรียนประถม ผมได้วันละ 2 บาท แต่พอรู้ว่าท่านต้องไปยืมเงินคนอื่นมาให้ ผมเลยไม่เอาและแอบเอาเงินไปคืนแม่
10
บ้านเราหลังเล็กเท่ารถกระบะแค่นั้น เวลาฝนสาดก็เปียก พ่อกับแม่ไม่อยากให้ลูกลําบาก เลยต้องพาไปฝากไว้ที่บ้านย่าตลอด ตอนหลังผมเริ่มรู้ว่าตัวเองอาจจะต้องถูกส่งไปอยู่วัด ผมร้องไห้แล้วก็บอกพ่อกับแม่ว่า “หนูจะลําบากยังไงก็ได้นะ แต่อย่าเอาหนูไปไว้วัดเลย หนูไม่อยากไปจากพ่อแม่” แต่สุดท้ายผมก็ถูกส่งไปอยู่กับหลวงพ่อฉบับ ขันติโก เจ้าอาวาสวัดสระแก้วอยู่ดี ตอนนั้นบ้านเราจนมาก และการส่งลูกไปอยู่วัดก็น่าจะเป็นทางเดียวที่ลูกจะได้เรียนต่อ เพราะถ้าอยู่บ้านต่อไป ก็คงได้เรียนแค่
ป. 4
11
พอเรียนจบ ป. 4 เทอมแรก ผมก็ย้ายไปอยู่วัดสระแก้วปรากฏว่าเราได้เรียนรู้อะไรมากมาย เพราะที่วัดมีฝึกอาชีพ เด็กโขน ลําตัด ลิเก หรือหากใครชอบทําการเกษตรก็ทํา ใครชอบเรื่องผ้าก็ทํากันไป ส่วนผมนั้นชอบลิเกอยู่แล้วก็เลยได้หัดลิเกตั้งแต่นั้น
0
ไชยา มิตรชัย
12

ตอนเข้าไปเป็นเด็กวัดใหม่ ๆ มีปัญหาเรื่องการปรับตัวบ้างหรือเปล่าครับ

13
มีครับเพราะที่วัดมีเด็กอยู่ร่วมกันเยอะมาก ร้อยพ่อ พันแม่ ศิษย์วัดที่ดีก็ดีใจหาย แต่ที่ร้ายก็ร้ายกันสุด ๆ พอผมเข้าไปก็เกิดปัญหาทันที ตั้งแต่เรื่องถูกเด็กเกเรและโตกว่าแกล้ง ไปจนถึงเรื่องที่หลับที่นอน ตอนแรกไม่รู้เลยว่าจะไปอยู่ตรงไหน มีศาลาเดียวแต่เด็กอยู่กันเป็นพันคน ตกกลางคืนนอนกัน ยั้วเยี้ย มุ้งก็ไม่มีกาง แต่โชคดีที่หลวงพ่อท่านเห็นว่าผมเป็นลูกของพ่อศักดิ์ แม่เดือน ท่านเลยให้ขึ้นไปนอนบนกุฏิด้วย
14

ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังร้องไห้อยู่บ่อย ๆ ไหนจะคิดถึงบ้าน เวลาเห็นคนมาทําบุญกันเป็นครอบครัวก็รู้สึกน้อยใจมาก ๆ และไหนจะไม่ได้กินข้าวเพราะถาดหาย เด็กวัดเขากินข้าวในถาดหลุมกันครับ ถ้าถาดใครหายก็จะไม่ได้กิน ครั้นจะไปต่อคิวรับอาหารมือเปล่าก็ไม่ได้ ใส่จานก็ไม่ได้ผิดระเบียบ หลายครั้งผมนอนร้องไห้ทั้งคืนเพราะหิว นอกจากนั้นผมยังชอบไปนั่ง ทํามิวสิคอยู่ริมแม่น้ําเจ้าพระยาทุกเย็น(หัวเราะ) ซึ่งก็ไม่ได้มีแต่เราคนเดียว พอตกเย็นเสียงเด็กร้องไห้กันระงมเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็สู้นะ หลวงพ่อท่านให้หัดลิเกก็ตั้งใจหัดเต็มที่เพื่อนคนอื่นเขานั่งคุยกันเวลาครูสอน แต่ผมจะไม่คุยคอยฟังแล้วเก็บข้อมูลตลอด สมุดจดกลอนนี่ในรุ่นเดียวกันไม่มีใครจะเล่มใหญ่เกินผมแล้ว เพราะเก็บทุกข้อมูลที่ครูให้ที่พ่อแม่สอนมา สมุดเล่มแรกที่ผมใช้จดยังอยู่มาจนถึงวันนี้

15

เริ่มแสดงลิเกเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่เมื่อไรครับ

16
พอเริ่มเล่นลิเกเป็นทางวัดก็ส่งให้ไปเล่นที่ตลาดพระโขนงซึ่งเพิ่งเปิดใหม่ เกิดเป็นลิเกเด็กกําพร้าวัดสระแก้ว ตอนนั้นเราต้องไปเล่นทั้งหมด 9 คืน แต่หัดไปแค่ 2 เรื่อง เลยต้องเล่นวนอยู่อย่างนั้น ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับดีตั้งแต่คืนแรกเลย เพราะเมื่อก่อนนี้พระเอกลิเก ต้องอายุ 30 ขึ้นไป ถ้าเป็นลิเกเด็ก ๆ คนเขามักจะดูถูก แต่พอพวกผมไปเล่นกลับกลายเป็นว่าได้ทั้งฮา ได้ทั้งโศก เพราะเอาชีวิตจริงไปเล่นกันเลยครับ คนดูร้องไห้กันระงม เล่นเสร็จ ได้รับบริจาคข้าวสารกลับวัดเป็นร้อยกระสอบเลย รวมทั้งได้เงินทําบุญเกือบล้าน และวัดสระแก้วก็กลายเป็นที่รู้จักของคนจํานวนมาก เวลามีงานบุญ งานบวช เขาก็จะเรียกหากันว่าเอาไอ้พระเอกตัวเล็กนั่นน่ะมาเล่นตั้งแต่นั้นมาผมเลยต้องวิ่งรอกรับลิเกคืนหนึ่ง 3 งาน เวลากําลังเล่นอยู่งานแรกเจ้าภาพงานต่อไปต้องมารอรับแล้ว สมมติเล่นอยู่ที่พระโขนงแล้วต้องไปต่อที่พระประแดง เจ้าภาพพระประแดงมารอแล้วพอลงจากเวทีมาก็เอากระเป๋าเหมือนถุงปุ๋ยคลุมตัวผมไป เพื่อไม่ให้คนที่นี่รู้ตัว (หัวเราะ) แล้วก็เล่นจนสว่างทุกคืนวน อยู่อย่างนั้นแต่ผมก็ไม่ทิ้งการเรียนนะ เพราะพ่อบอกไว้เลยว่าถึงจะโด่งดังยังไงก็ไม่ให้ทิ้งการเรียน และนี่เป็นนโยบายของหลวงพ่อฉบับด้วยครับ
17

มองย้อนกลับไปก็น่าแปลกที่คุณเติบโตมาเป็นเด็กดีทีเดียว แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะไม่ค่อยเป็นใจนัก

18
(หัวเราะ) ความจริงตอนเด็ก ๆ ผมก็เกเรเหมือนกันนะ หนีเรียนตามเพื่อนไปตามวัย โดนตีกันเป็นแถว บุหรี่ก็เคยริลอง แต่สูบไม่เป็นสักที…แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือผมเป็นคนที่พ่อแม่สอนแล้วฟัง ผมเอาคําว่า “ฟัง” ไปสอนเด็กรุ่นใหม่ ๆ ด้วยว่าครูให้วิชาแก่ศิษย์ทุกคนเท่ากันหมด แต่ศิษย์จะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าคุณฟังแล้วเอาไปปรับใช้หรือไม่อย่างไร พ่อผมนี่ถือได้ว่าเป็นครูที่ยุติธรรมมากที่สุดเลยนะครับ ท่านสอนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน อาหารมีแค่ไหนก็ต้องแบ่งกันกินแค่นั้น ถ้ามีแค่ข้าว ผัก น้ําพริกก็ต้องกินเหมือนคนอื่น ไม่ใช่ว่าเป็นลูกแล้วจะมีไข่เจียวให้เป็นพิเศษ ครั้งหนึ่งตอนอยู่ ม.ต้น ผมเพิ่งได้เงินจากการเล่นลิเก หลังจากแบ่งเงินให้แม่แล้ว ผมยักยอกเงินส่วนหนึ่งไปซื้อข้าวหน้าเป็ดมากินด้วยความหิว พ่อมาถึงตีเลยแล้วก็เทข้าวทิ้งบอกว่า “ทําไมกินไม่แบ่งเพื่อน” แนวคิดของท่านคือการทําอย่างนั้นเหมือนเป็นการแบ่งชนชั้นกัน พ่อให้ความเป็นธรรมกับลูกศิษย์เท่าเทียมกันทําให้ทุกคนในคณะรักกันมากมาจนถึงเดี๋ยวนี้
0
ไชยา มิตรชัย
19

คุณได้เรียนรู้อะไรจากความยากจนในตอนนั้นบ้างครับ

20
ความจนทําให้ผมกลายเป็นไชยา มิตรชัย ในวันนี้ถามว่า ตอนนั้นทุกข์ไหมทุกข์…เพราะไม่มีจะกิน ภาพที่ติดตาผมอยู่เสมอคือ ภาพที่พ่อกับแม่ยืนคุมลิเก สมัยก่อนแม่ผมแต่งหน้าให้ลิเกทุกคน ส่วนพ่อเป็นผู้กํากับเวที วันหนึ่งผมเห็นแม่ยืนแต่งหน้าให้คนอื่นทั้งที่ตัวเองเหงื่อไหลโซมหน้าเป็นภาพที่ติดตามาก ผมบอกกับตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าสักวันจะไม่ให้แม่กับพ่อต้องลําบากอีก สิ่งใดที่พอทําได้ เราต้องทํา แม้ปัจจุบันจะมีน้อง 2 คนแล้วคือ แอน กับ มิตร ผมก็ยังไม่อยากให้น้องลําบาก เพราะน้องเป็นผู้หญิง ต่อให้แกร่งหรือเก่งยังไง แต่ก็คงสู้ผู้ชายไม่ได้ ผมก็เลยพยายามทําทุกอย่างเองทั้งหมดตราบเท่าที่ยังมีแรง
21
ช่วงหนึ่งผมต้องถ่ายรายการโทรทัศน์ตอนเช้า กลางคืน ไปเล่นลิเก พอเล่นลิเกจบ ทางบริษัทก็มารับไปร้องเพลงต่อเลย เป็นอย่างนี้ตลอดเดือน ตลอดปี 365 วันไม่ได้หยุด จนมีครั้งหนึ่งต้องมีคนช่วยหามผมขึ้นเวที แอนซึ่งปกติไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับการทํางานของผมเลย ครั้งนั้นถึงกับร้องไห้กับแม่บอกว่า “แม่หนูไม่ให้พี่เอทําอย่างนี้แล้วนะ หนูสงสารพี่” ซึ่งแอนก็เก็บภาพตรงนั้นเอาไว้ในใจ ทุกวันนี้ แอนถึงได้เป็นคนที่สู้ชีวิตไม่เคยบ่นหรือขี้เกียจเลย
22

ผ่านความทุกข์ยากมาขนาดนี้ ครั้งไหนที่ถือว่าสาหัสสากรรจ์มากที่สุดครับ

23
ครั้งที่หนักหนาที่สุดก็ตอนที่เกิดความไม่เข้าใจกันภายในครอบครัว คือ ผมเป็นคนที่เวลามีความทุกข์มักจะเก็บไว้คนเดียว ตอนนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมไม่มีเวลาเลยจริง ๆ มาถึงงานก็ต้องแต่งหน้าไปด้วย ทําโน่นทํานี่ไปด้วยเพื่อน ๆ ในคณะก็เลยว่าลับหลัง หรือบางคนก็ถึงกับพูดใส่หน้าว่า “เดี๋ยวนี้ ดังแล้วไม่มองพวกเราเลย” แล้วไหนจะมีปัญหาเรื่องสัญญากับทางบริษัทอีกเครียดมากพ่อแม่ก็ร้องไห้นอนไม่หลับกันเลย นอกจากนั้นก็ยังโดนนักข่าวโจมตีชนิดสาดเสียเทเสียผมเจ็บนะ แต่ก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นไม่เคยปรับทุกข์กับพ่อแม่เลยทั้งหมดค่อย ๆ สะสมมาเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งที่ผมเพิ่งกลับจากถ่ายรายการทีวีและไปเล่นลิเกไม่ทันพ่อก็ด่าทันที ตอนนั้นผมรู้สึกน้อยใจมากข้าวเราก็ไม่ได้กิน ทําไมพ่อไม่เห็นใจลูกบ้าง แต่ก็ไม่พูดอะไรให้พ่อด่าไปตรงนั้น เพราะว่าท่านเป็นผู้กํากับงานก็คืองาน สุดท้ายก็อดทนเล่นจนจบฉากสุดท้าย
24
พอแสดงเสร็จปุ๊บผมก็คว้ากุญแจรถแล้วก็ขับออกไปเลย ใจคิดแค่ว่า “พอแล้วไชยา มิตรชัย พอกันทีกับชีวิต” เราได้ทุกอย่างมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง หรือซื้อบ้าน ให้พ่อแม่ไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว อย่าอยู่เลยขอไปชนเสาไฟฟ้า ตายหรือไม่ก็ให้รถคว่ําตายตรงนั้นดีกว่า
25
หลังจากที่ขับไปได้แป๊บหนึ่ง ผมมองกระจกหลังเห็นว่ามีรถไล่กวดตามมา ตอนแรกนึกว่าเป็นรถพ่อ แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรมาหยุดเราได้แล้ว ก็ขับต่อไปบนถนนซึ่งเป็นลูกระนาด เกือบตลอดทางรถก็เหิน ๆ จนเกือบจะพลิกอยู่แล้ว แต่พอถึงช่วงหนึ่งรถที่ขับตามมาก็แซงขึ้นตัดหน้าเลย ทําให้ผมต้องจอดรถ พอลงมาถึงได้รู้ว่าไม่ใช่พ่อ แต่เป็นคนดู พอเจอหน้าเขาก็เตือนไม่ให้ผมคิดสั้น ผมขอบคุณเขา แต่ก็ยังรู้สึกกรุ่น ๆ อยู่ในใจว่า “เดี๋ยวพอพี่ไป โค้งหน้าผมก็จะเอาอีก” เนี่ยเป็นซะอย่างนี้คนเรา (ยิ้ม)
26
ดังนั้นเวลาที่เศร้าโศกเสียใจ ผมขอแนะนําว่าไม่ควรอยู่คนเดียว โดยเฉพาะคนอย่างผมที่ไม่ชอบบอกอะไรกับใคร โชคยังดีที่สุดท้ายก็ไม่ได้ทํา แต่ความเศร้าโศกเสียใจก็ยังไม่หมดไป ไม่ว่าไปที่ไหนก็ยังคิดถึงการฆ่าตัวตายอยู่เห็นตึกก็เดินเหม่อลอยขึ้นไปแล้วก็อยากกระโดดลงมา อยู่ในห้องก็คิดอยากจะผูกคอตาย
0
ไชยา มิตรชัย
27

ทุกวันนี้คุณคิดว่าสิ่งที่ได้มาคุ้มกับที่เสียไปไหมครับ

28
คุ้ม ผมคิดว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตมาจนคุ้มนะ ได้เจอมาหลากสไตล์หลายเรื่องราว ถ้าที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป คือฉันต้องมีความรักควบคู่ไปกับการทํางาน ผมก็อาจจะเกงาน หรือไม่ก็คงไม่ได้ก้าวมาจนถึงตรงนี้ ในช่วงที่คิดสั้นคิดว่าตัวเองไม่เหลือใครแล้ว คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่มี แต่พอเราผ่านตรงนั้นมาได้ก็ถือเป็นบทเรียนชีวิตที่คุ้มค่ามาก ๆ ครับ
29

ถึงวันนี้ คุณกลัวไหม ถ้าวันหนึ่งจะต้องกลับไปจน เหมือนเดิมอีก

30
(ตอบทันที) กลัว ๆ เพราะอะไรก็ไม่แน่นอน ผมได้เห็นอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่จีรัง มีลิเกที่รวยและดังกว่าผมเยอะแยะเลยนะ เคยได้กันมาเป็นร้อย ๆ ล้าน แต่บั้นปลายชีวิตไม่จนก็บวช ซึ่งผมกลัวตรงนั้นมาก คือตัวเองน่ะอยู่ได้ให้กลับไปเด็ดตําลึงข้างรั้วกินอีก ผมก็ทําได้แต่ผมกลัวคนรอบข้างจะลําบาก ไม่ว่าพ่อแม่หรือคนในคณะ ถ้าผมเลือกได้ ผมรับคอนเสิร์ตอย่างเดียวไม่ดีกว่าหรือ ทีมงานก็น้อยกว่า ไปแค่ตัวคนเดียวรับเหนาะ ๆ เลยตรงกันข้ามเล่นลิเกคราวหนึ่งหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ไม่เหลือเลยนะเพราะทีมงานใหญ่ขึ้น ออปชั่นเยอะขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นตามมา แต่ที่ยังต้องรับงานลิเก เพราะใจรักและเติบโตมากับลิเก และที่สําคัญที่สุดคือ เราไม่ได้หากินคนเดียว แต่เรามีทีมงานและผู้ชมที่คอยสนับสนุนอยู่เราถึงดังมาได้จนวันนี้ ผมจึงตั้งใจไว้ว่ายังไงก็จะเล่นลิเกต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดแรง
31
ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 107
ผู้เขียน/แต่ง : พีรภัทร โพธิสารัตนะ
ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร
32

บทความน่าสนใจ

เผยมุมธรรมะของดาราวัยรุ่น ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร

บุญ-บาปในทรรศนะของ 3 ดาราดัง

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.