ต้อม รชนีกร

ความรัก ความทุกข์   ต้นเหตุของความสุขในปัจจุบัน – ต้อม รชนีกร พันธุ์มณี

ความรัก ความทุกข์   ต้นเหตุของความสุขในปัจจุบัน – ต้อม รชนีกร พันธุ์มณี

ช่วงที่ผ่านมา ต้อม รชนีกร พันธุ์มณี ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวความรักในอดีตที่ไม่สมหวังของเธอ

แน่นอนว่าความล้มเหลวในความรักสร้างทุกข์ให้เธออย่างมาก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ประสบการณ์เหล่านั้นหล่อหลอมให้เธอเข้มแข็ง และความสุขในปัจจุบันก็ล้วนมาจากการเรียนรู้ชีวิตที่ผ่านมา

หากเทียบกับเส้นทางอาชีพ เธอได้รับบทบาทการแสดงหลากหลาย ในเส้นทางชีวิตเธอก็ได้พบเจอเรื่องราวหลากรสชาติเช่นกัน

รักแรกที่ล้มเหลว

ต้อมยอมรับว่า “โง่” มากในเรื่องความรักตอนเข้ามหาวิทยาลัยมีเพื่อนผู้ชายมาจีบคอยมารับมาส่ง มานั่งทำการบ้านที่บ้านอยู่สองปี จนเพื่อนถามว่า “นี่ฉันจีบแก รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” ต้อมก็ถามกลับไปว่า “อ้าวนี่คือการจีบเหรอ” ต้อมไม่รู้เรื่องพวกนี้จริง ๆ หรือจะเรียกว่าตามไม่ทันก็ได้ เพราะที่ผ่านมาก็เรียนโรงเรียนหญิงล้วนและอยู่ในกรอบของที่บ้านมาตลอด

อีกทั้งตอนที่เรียนก็ใส่แว่นตาหนาเตอะไว้ผมม้า มัดแกละ เพื่อน ๆ ก็จะเรียกว่า“อาราเล่” แล้วก็ไม่ได้เป็นคนรักสวยรักงามไปเรียนยังใส่รองเท้าผ้าใบ จึงไม่คิดว่าจะมีคนมาสนใจหรือมาจีบ และไม่คิดเรื่องความรักเลยสักนิดเดียว

กว่าจะได้คบใครจริงจังก็เข้าวงการแล้ว ตอนนั้นได้คบหาดูใจกับผู้ชายคนหนึ่ง แม้จะอยู่ไกลกัน เพราะเขาทำงานอยู่ทางใต้ แต่สุดท้ายดูใจกันได้สักพักเราก็ตกลงแต่งงานกัน พอได้มาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันจริง ๆ กลับมีหลายอย่างที่ไม่ลงตัว เวลาแค่ 3 เดือนก็รู้แล้วว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ ช่วงนั้นต้อมพยายามปรับตัวและประคับประคองชีวิตคู่ของเราแต่ก็เกิดความเครียดสะสมจากการทำงานและเรื่องชีวิตคู่ จนวันหนึ่งก็รู้สึกได้ว่า ตัวเองไม่ปกติแล้ว

เวลานั้นต้อมถ่ายละครชนิดเช้าชนเช้าเพราะต้องถ่ายไปออนแอร์ไป ปกติกลับมาบ้าน หัวถึงหมอนต้องสลบแล้ว แต่ช่วงนั้นต้อมกลับนอนไม่หลับ ทั้งที่เหนื่อยและอยากนอนมาก แต่ก็นอนไม่ได้ 4 วันก็ไม่หลับแล้วยังต้องไปทำงานทุกวัน หรืออยากกินข้าวก็กินไม่ลง ให้คุณแม่ทำของโปรดให้กินก็กินไม่ได้ พอเข้าปากคำแรกก็ออกมาหมดเลย

ที่แย่กว่านั้นคือ พอต้อมรู้ว่าแฟนจะกลับมาจากต่างจังหวัด ร่างกายของต้อมจะสั่น ควบคุมตัวเองไม่อยู่ เรียกสติกลับมาอยู่กับตัวไม่ได้ ขนาดที่มีวันหนึ่งต้อมลืมของไว้ที่บ้าน จึงให้คนขับรถกลับไปเอามาให้ พอรู้ว่าเขานั่งรถมาหาที่กองถ่ายด้วยเท่านั้นแหละ ต้อมก็นั่งร้องไห้ ตัวสั่น ทำงานไม่ได้ จนผู้กำกับต้องขอให้เขากลับไปเพื่อให้ต้อมทำงานต่อได้

ต้อมเล่าปัญหานี้ให้ใครฟังไม่ได้ครอบครัวก็ไม่มีใครรู้เลย เพราะที่บ้านหัวโบราณมาก และมีความคิดว่า ผู้หญิงต้องอดทน และไม่ควรทำให้ครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะการหย่าร้าง ต้อมจึงแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวจนเครียดและกดดันมาก หลายครั้งเวลาที่อยู่เพียงลำพัง ต้อมมักคิดว่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว และในวันที่เศร้ามาก ต้อมถึงกับหยิบปืนที่เคยใช้เรียนยิงปืนออกมาเพราะคิดที่จะจบปัญหาต้อมถือปืนขึ้นมาหลายรอบมาก แต่ทุกครั้งจะเห็นหน้าคุณแม่และพี่ชายลอยมา จึงฉุกคิดได้ว่า ถ้าเราเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะอยู่กับใครและพี่ชายที่ป่วย ใครจะช่วยดูแล

คงเป็นบุญของต้อมที่คิดได้เช่นนี้ตลอดจึงไม่ได้ทำร้ายตัวเอง ตอนนั้นต้อมรู้ตัวแล้วว่าสภาพทางกายและใจของตัวเองย่ำแย่มากแล้ว ทางออกเดียวคือต้องไปพบจิตแพทย์เท่านั้น ต้อมไม่สนใจว่าจะเป็นข่าวหรือคนจะเอาไปพูดอย่างไร รู้เพียงว่า ขอเอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อน

ตอนที่ไปพบคุณหมอ ร่างกายของต้อมแย่มาก น้ำหนักลดลงเหลือ 35 กิโลกรัมจากปกติ 42 กิโลกรัม ตอนเจาะเลือดที่แขนก็ไม่มีเลือด มีแต่ลมออกมา จนคุณหมอต้องเจาะเลือดที่คอ เวลานั้นคุณหมอพูดกับต้อมว่า

“คุณมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกัน คุณเหมือนมีแต่ร่าง แต่ไม่มีวิญญาณ น้ำหล่อเลี้ยงในตาก็ไม่เหลือแล้ว”

หลังจากที่ไปรักษามาสักระยะ คุณหมอก็บอกว่า ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีสาเหตุจากเราคนเดียว ควรจะต้องพาคู่ของเรามารับรู้สภาวะทางจิตใจของเราด้วย ซึ่งต่อมาสามีก็ไปด้วย แต่ไปด้วยกันได้สัก 2ครั้ง เขาก็ไม่ยอมไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า

“เธอป่วย เธอก็ไป ฉันไม่ได้ป่วยฉันจะไปทำไม”

คำพูดของเขาทำให้ต้อมรู้สึกว่า เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วจริง ๆ จากวันนั้นต้อมก็พยายามทำตัวห่างเขาไปเรื่อย ๆ เมื่อไหร่ที่เขากลับบ้าน ต้อมก็หนีไปอยู่บ้านเพื่อนที่อยู่ไกล ๆ ให้เขาตามไม่เจอ หนีอย่างนี้ตลอดจนวันหนึ่งก็ถึงจุดแตกหัก คือต้อมป่วยต้องนอนโรงพยาบาล คุณแม่จึงได้เห็นการกระทำหลาย ๆ อย่างของเขา ท่านจึงบอกต้อมว่า “ถ้าอยู่กันไม่ได้ ก็เลิกกัน” สุดท้ายเราก็เลิกรากันไป

หลังจากนั้นต้อมต้องรักษาตัวอีกร่วมปีซึ่งทรมานมาก ต้องกินยามื้อละ 18 เม็ดต้องพบคุณหมอทุกสัปดาห์ ครั้งละ 2 ชั่วโมงและต้องตรวจระดับฮอร์โมนในร่างกายเป็นประจำ เพราะเวลานั้นต้อมเล่นละครในหนึ่งวันต้องเล่นหลายฉาก หลายอารมณ์ทั้งหัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ ทำให้ฮอร์โมนสับสนขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดเวลาแม้เลิกงานกลับมาบ้าน แต่ทุกอย่างยังอยู่ในหัว จนทำให้เครียดโดยไม่รู้ตัว

เวลานั้นคุณหมอทั้งรักษาทางการแพทย์และใช้ทางธรรมร่วมด้วย โดยให้ต้อมนั่งสมาธิทำจิตให้ว่าง ปลดปล่อยอารมณ์ต่าง ๆ ออกไป เรียบเรียงความคิดความรู้สึกในสมองใหม่ซึ่งก็ค่อย ๆ เห็นผลที่ดี หลังจากปรับสภาพจิตใจทุกอย่างแล้ว ก็ต้องกายภาพบำบัดอีก 6 เดือน เพราะความเครียดทำให้เกิดภาวะที่ไม่สามารถยืดขาและแขนให้ตรงได้ ต้องเริ่มหัดเดินและฝึกร่างกายให้เป็นปกติใหม่อีกครั้ง ในขณะที่ต้องทำงานไปด้วย และไม่มีใครรู้เลยว่าเรากำลังเป็นอะไร

ชีวิตคู่ครั้งนี้ถือเป็นความล้มเหลวที่สุดในชีวิต ทำให้ต้อมเข็ดกับความรักไปนานทุ่มเททำแต่งานอย่างหนัก จนกระทั่งได้เจอรักใหม่ที่ทำให้ได้ใช้ชีวิตคู่อีกครั้ง

เมื่อรักทำร้าย

ต้อมรู้จักกับความรักครั้งที่สองจากที่แม่บุญธรรมของต้อมซึ่งอยู่ที่อเมริกาแนะนำให้รู้จักกับลูกชายของเพื่อนสนิทของเขา ครั้งหนึ่งเพื่อนของคุณแม่คนนี้พาลูกชายมาติดต่อธุรกิจที่ประเทศไทย ต้อมจึงมีโอกาสรู้จักเขาเขาเป็นหนุ่มลูกครึ่ง คุณพ่อเป็นอเมริกัน -อิหร่าน ส่วนคุณแม่เป็นไทย - ปากีสถานตลอดเวลาที่เขาอยู่เมืองไทย เราก็ได้พบกันคุยกัน ต้อมไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็ได้เรียนรู้จากเขา และเราก็สอนภาษาไทยให้เขาด้วย

จนวันหนึ่งเมื่อเขาจะกลับบ้าน เขาก็บอกรักผ่านการพิมพ์ข้อความในทอล์คกิ้งดิกชันนารีมาว่า “I think I love you” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เราทั้งคู่คบหาดูใจกันแม้การติดต่อในสมัยนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะต้องโทร.หากันอย่างเดียว แต่เขาโทร.มาหาสม่ำเสมอ ตลอด 3 ปีเขาก็ติดต่อมาสม่ำเสมอเหมือนเดิม

จนกระทั่งคุณแม่ของเขาเสียชีวิต ต้องนำร่างท่านกลับมาฝังที่เมืองไทย หลังจากเสร็จธุระทุกอย่างเขาก็พูดประโยคหนึ่งว่า “ผมเสียผู้หญิงที่รักไปคนหนึ่งแล้ว ผมจะไม่ยอมเสียผู้หญิงที่ผมรักอีกคนแน่นอน แต่งงานกับผมนะ”

ในเวลานั้นต้อมอายุ 30 แล้ว คิดอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ อยากมีลูก จึงตกลงแต่งงานกัน หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยด้วยกัน จนกระทั่งต้อมตั้งท้องได้สักสี่ห้าเดือน เขาชวนไปเยี่ยมคุณพ่อของเขาที่อเมริกา ปรากฏว่าพอไปถึง ทางบ้านเขาไม่อยากให้เรากลับเมืองไทย ต้อมจึงต้องอยู่ที่นั่นจนกระทั่งคลอดและอยู่ยาวไปโดยปริยาย

ความเป็นอยู่เป็นไปอย่างสุขสบาย แต่นานวันเข้าต้อมกลับเหงามาก เพราะสามีเป็นคนขี้หึง เขาให้อยู่แต่กับบ้าน ถ้าออกไปไหนต้องไปกับเขาเท่านั้น จะพูดคุยกับใครก็ไม่ได้ขนาดคุยกับพี่ฝาแฝดของเขา เขาก็หึงเราต้อมต้องทนเหงาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ ที่มองออกไปก็เห็นบ้านอีกหลังอยู่ไกลลิบ ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีใครเลยจริง ๆ วันไหนที่มีเมทเข้ามาทำความสะอาดบ้าน ต้อมจะรีบวิ่งเข้าไปคุยกับเขา เดินตามคุยกับเขา แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะต้องรีบทำงานบ้านให้เสร็จและเขาก็ฟังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ด้วย

เวลานั้นแม้จะทุกข์แค่ไหน ต้อมก็บอกตัวเองเสมอว่า ต้องอยู่ให้ได้ แต่นานวันไปทุกอย่างก็มีแต่แย่ลง เพราะเหมือนถูกขังอยู่แต่ในบ้านด้วยความรักและความห่วงของสามี

มีอยู่วันหนึ่งต้อมอุ้มลูกไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นให้เขานั่งดูทีวี แล้วก็แอบเดินออกมาอีกห้องหนึ่ง จากนั้นก็กรี๊ดสุดเสียงเพื่อระบายความรู้สึกที่เก็บกดไว้ และปัดข้าวของที่อยู่ใกล้มือกระจายไปหมด พอหันหลังกลับมาก็เห็นลูกสาวตัวน้อยวัย 2 ขวบยืนมองอยู่ และเรียกต้อม “หม่ามี้ ๆ”

ภาพของลูกทำให้ต้อมตัดสินใจได้ในทันทีว่า จะไม่ยอมให้ลูกอยู่ในสภาพที่ถูกขังอยู่ในบ้านอย่างนี้อีกต่อไป วิธีเดียวที่คิดออกคือ ต้องพาลูกหนีไปจากที่นี่เท่านั้น

พาลูกหนี

ถ้าให้เลือกระหว่างลูกกับสามี ต้อมเลือกลูกอย่างไม่ลังเล และเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อลูกได้ ต้อมเคยขอสามีกลับมาอยู่เมืองไทยสักพัก แต่เขาไม่ยอม เพราะทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน ต้อมจะอยู่นานสามเดือนหกเดือนกว่าจะกลับไป ครั้งหนึ่งเคยขอเขากลับมาอยู่เมืองไทย เขากลับบอกว่า

“ถ้ากลับไปจะมีปัญญาเลี้ยงลูกเหรอเธอก็เป็นแค่ดาราแก่ จะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูก”

ทั้งที่ต้อมยอมทิ้งทุกอย่างที่เมืองไทยแต่เขากลับไม่เห็นค่าและดูถูกอาชีพของเรา ต้อมคิดดีแล้วว่าลูกจะอยู่ในกรงในกรอบอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าลูกโตขึ้นมาจะมีสภาพแบบไหน เขาไม่ใช่ลูกหมาลูกแมว ต้องมีสังคมจึงตัดสินใจว่า ต้องพาลูกหนี

เวลานั้นต้อมเข้าใจหัวอกผู้หญิงที่ยอมอยู่ในกรงทอง ยอมทำตามที่สามีชี้นิ้วทุกอย่างเพราะเขาคงไม่รู้ว่าถ้าออกไปจากกรงทองนี้ แล้วจะเอาตัวรอดไหม แต่ต้อมคิดแล้วว่าถึงอย่างไรก็ต้องไปตายเอาดาบหน้า

ต้อมคิดวางแผนหนีไว้ทุกอย่าง เริ่มแรกแอบไปคุยกับคุณพ่อสามีก่อนว่า ต้อมเหงา อยากมีเพื่อน อยากมีสังคม อยากออกไปเรียน จนคุณพ่อสามีสงสาร และไปคุยกับสามีให้ โดยท่านอาสารับส่งและออกค่าเรียนให้ด้วย ต้อมจึงมีโอกาสได้ออกไปเรียนภาษานอกบ้าน

เมื่อได้มาเรียน ครูก็ให้การบ้านเขียนบันทึกประจำวันเป็นภาษาอังกฤษ ต้อมก็เขียนส่งครูไปว่า ต้อมเจอสามีกักขังไม่ให้ออกไปไหน โดนกักบริเวณ ไม่มีเพื่อนเขียนเล่าเรื่องแบบนี้ไปทุกวัน จนครูเรียกเข้าไปคุยว่าที่เขียนมาอย่างนี้คุณต้องการอะไรต้อมจึงบอกไปตรง ๆ ว่าต้องการให้เขาช่วยออกไปจากตรงนี้เพื่อกลับเมืองไทย ซึ่งเขาตกลงช่วย

ตอนที่อยู่บ้านต้อมทำใจดีสู้เสือทุกวันดูแลสามีอย่างดีเหมือนเดิม แต่ระหว่างนั้นก็ลิสต์เลยว่าจะต้องซื้ออะไรกลับเมืองไทยบ้างเพราะลูกสาวเป็นโรคแพ้นม จะกินได้เฉพาะนมผงชนิดพิเศษที่ขายที่นี่เท่านั้น ต้อมสั่งซื้อของที่จำเป็นทางอินเทอร์เน็ตและให้มาส่งที่บ้านตลอด พอมีโอกาสก็แอบเอาไปส่งไปรษณีย์กลับประเทศไทย โดยเลือกใช้ส่งทางเรือ ประมาณสี่เดือนจะถึงเมืองไทย ซึ่งก็น่าจะตรงกับระยะเวลาที่ต้อมหนีกลับไปพอดี

ทุกวันต้อมจะรอให้ทุกคนออกจากบ้านไปหมดก่อน แล้วก็แอบเอารถออกไปส่งของที่ไปรษณีย์ ก่อนไปก็จะเอาปากกาเมจิกทำสัญลักษณ์ไว้ที่ตำแหน่งเดิมของเบาะ กระจกมองหลัง - มองข้าง แล้วปรับให้พอดีกับตัวเรา พอกลับมาก็จะปรับทุกอย่างเข้าที่เดิม เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเราแอบขับรถออกไปข้างนอก

ต้อมต้องคิดแผนหนีให้รอบคอบเพราะหากสามีแจ้งความว่าลูกสาวหาย จะกลายเป็นว่าต้อมลักพาตัวพลเมืองของสหรัฐ-อเมริกาทันที ต่อมาจึงวางแผนว่าจะไม่บินตรงกลับประเทศไทย แต่บินไปหาพี่สาวที่แอลเอก่อน สองสามวันหลังจากนั้นจึงบินกลับไทย ระหว่างที่วางแผนก็จัดแจงซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็ให้ส่งไปที่บ้านครูสอนภาษา

วันที่จะหนีต้อมขอให้แฟนของคุณพ่อสามีช่วย โดยพาคุณพ่อไปเที่ยวไกล ๆ เพื่อถ่วงเวลาให้ต้อมหนีไปได้ แต่คุณพ่อสามีคงมีเซ้นส์อะไรบางอย่าง วันนั้นจึงไม่อยากไปไหนไกล และกลับมาพบต้อมที่เตรียมตัวออกจากบ้าน ต้อมจึงบอกท่านว่า “ฉันขอไปพักผ่อนบ้านพี่สาวที่แอลเอสักสิบวันแล้วจะกลับมา”

ต้อมเขียนจดหมายบอกสามีไว้ด้วยและเดินทางไปแอลเอ พอไปถึงก็ติดต่อกลับมา เขาโทร.หากี่ครั้งก็ติดต่อได้ จนสามวันให้หลังต้อมก็พาลูกบินกลับเมืองไทย เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบิน ต้อมกอดลูกร้องไห้ คิดในใจว่า ฉันถึงเมืองไทยแล้วฉันรอดแล้ว

หลังจากนั้นสามีพยายามติดต่อมา แต่ต้อมหนีมาได้ขนาดนี้จึงไม่ยอมใจอ่อนกลับไปอีกแล้ว ต้อมยื่นคำขาดให้เขามาอยู่ที่เมืองไทย แต่เขาก็ไม่มา ติดต่อกันได้สักหกเดือนเขาก็หายไป

คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว

กลับมาแรก ๆ ต้อมมีเงินติดตัวไม่เยอะและไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะมีเงินติดตัวเพียง 300 บาท ต้อมไม่เคยบอกใครว่าตัวเองไม่มีเงิน เพราะคิดว่าในเมื่อเราเลือกให้ชีวิตเป็นเช่นนี้เองแล้วก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะพูดได้ว่า ก็เพราะเธอไม่ใช่เหรอที่ทำให้ชีวิตเป็นแบบนี้ ระหว่างกำลังกลุ้มใจก็คิดออกว่าเพื่อนคนหนึ่งมีโรงงานทำครีมบำรุงผิว จึงเข้าไปคุยว่าจะขอเอาครีมมาขายก่อน พอขายได้แล้วจะเอาเงินทุนมาคืน เพื่อนก็ตกลง

จากชีวิตที่ไม่เคยขายของให้ใครเลย ก็ต้องออกไปขายครีมให้คนโน้นคนนี้ จนสุดท้ายหลังจากหักทุนแล้วมีเงินเหลือห้าพันบาท ซึ่งเป็นห้าพันบาทที่มีค่าที่สุดในชีวิต เมื่อก่อนเล่นละครได้เงินเยอะ ก็หลงใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไปบ้าง แต่ในวันที่ลำบาก เงินที่หามาได้ทุกบาททุกสตางค์มีค่ามาก ต้อมขายครีมได้สักระยะ ก็เริ่มมีคนบอกต่อกันว่า รชนีกรกลับมาแล้วนะ จึงมีละครติดต่อมาซึ่งถือว่าโชคดีมากที่ได้กลับมายืนตรงนี้ ทั้งที่หายจากวงการไปถึงห้าปีเต็ม

การกลับมาครั้งนี้ต้อมต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะ จากชีวิตคุณแม่ที่ไม่แต่งหน้าแต่งตัว ต้องเริ่มแต่งตัวใหม่ ก็รู้สึกเขิน ๆเดินไปไหนก็กลัวว่าจะมีคนมองไหม ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเรามั่นใจในตัวเอง เดินไปไหนมาไหนได้อย่างสง่างาม กว่าจะดึงให้ความกล้าความมั่นใจกลับมาได้ก็ใช้เวลาเป็นปี

ตอนที่คนรู้ว่าเลิกกับสามีคนนี้ก็มีกระแสข่าวทางลบมาอีก คือจริง ๆ ต้อมโดนข่าวพวกนี้มาตั้งแต่เลิกกับคนแรกแล้ว อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนสังคมคาดหวังให้ผู้หญิงต้องทน แต่ต้อมกลับรู้สึกว่า ในเมื่อชีวิตคู่ของเราไปไม่รอดเราจะอยู่และทนเพื่ออะไร คนอาจคาดหวังกับดาราว่าต้องทำตัวดูดีเสมอ แต่ดาราก็เป็นปุถุชนคนธรรมดา มีความรู้สึกเจ็บปวดเป็นเหมือนกัน ครั้งนี้ต้อมไม่ใส่ใจข่าวพวกนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าแค่คนรอบตัวเราเข้าใจก็พอ คนอื่นจะพูดอย่างไรก็ช่างเขา

ความสุข ณ ปัจจุบัน

ตอนนี้ต้อมมีครอบครัวใหม่แล้ว และมีลูกชายที่น่ารักอีกหนึ่งคน รักครั้งนี้ต้อมไม่ได้คาดหวังอะไร เพียงแต่นำบทเรียนของความรัก ที่ผ่านมามาใช้ แม้เวลาส่วนใหญ่จะต้องดูแลลูกแต่เราก็ไม่ละเลยที่จะเติมความรักให้กันเสมอ

เมื่อไม่นานนี้ต้อมต้องติดต่อกับคุณพ่อของน้องวีวี่หลังจากห่างหายกันไปเป็นสิบปีเพราะต้องทำเรื่องเอกสารให้ลูก พอถามสารทุกข์สุกดิบกันจึงได้รู้ความจริงว่าที่เขาหายไปเลยนั้นเพราะเสียใจกับคำพูดที่ต้อมประชดว่าถ้าเขาไม่ตามมาเมืองไทย ต้อมจะขายแหวนแต่งงาน พอเขารู้ว่าต้อมแค่พูดประชดก็ร้องไห้โฮเลย เพราะวัฒนธรรมของเขาให้ความสำคัญเรื่องแหวนแต่งงานมาก เขาบอกว่า ตอนนี้เขายังไม่มีใคร เพราะชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะรักใครได้ต้อมได้แต่บอกเขาว่าเรื่องของเราจบไปแล้วและต้อมก็มีชีวิตใหม่ มีครอบครัวใหม่แล้วด้วย

ตอนนี้ต้อมเป็นคุณแม่ลูกสอง ซึ่งลูก ๆ ทั้งสองคนก็น่ารัก น้องวีวี่ ลูกสาวคนโตกำลังเข้าวัยรุ่น ต้อมก็เลี้ยงเขาสนิทเหมือนเป็นเพื่อนเขาก็จะกล้าเล่าเรื่องของเขาให้ต้อมฟัง รวมไปถึงเพื่อน ๆของลูกก็กล้ามาปรึกษาต้อมด้วย ส่วนน้องวิน ลูกชายคนเล็ก เป็นเด็กกล้าแสดงออก ชอบการแสดงอาจเป็นเพราะต้อมยังเล่นละครอยู่ตั้งแต่ตั้งท้องจนถึงคลอดเขา เขาจึงได้ซึมซับเรื่องนี้มา

ต้อมสอนให้ลูกทั้งสองสวดมนต์ไหว้พระเสมอ น้องวินชอบสวดมนต์มาก ก่อนเข้านอนถ้าอยากให้เขาหลับสบายต้องเปิดเพลงสวดมนต์ให้ฟัง น้องวินเป็นเด็กที่แปลกอย่างหนึ่งคือ ตั้งแต่เล็ก ๆ เวลาเห็นพระในทีวีหรือดูข่าวในพระราชสำนัก เขาจะยกมือไหว้ตลอด ซึ่งเขาเป็นแบบนี้เอง ไม่มีใครสอน มีครั้งหนึ่งต้อมอุ้มลูกพาดบ่าพาไปข้างนอกด้วยกัน อยู่ ๆ ลูกก็เหมือนจะดิ้น พอหันไปมองก็ร้องอ๋อ เพราะเขาเห็นผู้ชายผมเกรียน ใส่เสื้อสีส้ม แล้วคงนึกว่าเป็นพระจึงพนมมือก้มหัวไหว้ใหญ่เลย ต้อมขำลูกแต่ก็ดีใจที่เขามาทางนี้

การใช้ชีวิตปัจจุบันนี้ต้อมไม่คาดหวังอะไรเลย ขอเพียงทำทุกวันให้ดีและมีความสุขเท่านั้นเอง เมื่อก่อนต้อมเคยอิจฉาคนอื่นเหมือนกันนะ อย่างละครเรื่องนี้ฉันอยากเล่นจังเลย ทำไมฉันไม่ได้เล่นนะ แต่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกนั้นเลย

ความสุขในชีวิตตอนนี้ก็คือลูก ทุกครั้งที่สวดมนต์ไหว้พระก็จะนึกขอให้ลูก ๆ มีสุขภาพแข็งแรง เป็นคนดี รักในพระพุทธศาสนา มีคนรักคนเมตตาเขาเท่านั้นเอง ต้อมไม่เคยหวังว่าเขาจะต้องมาเลี้ยงดู ขอให้ต่อไปเขาดูแลตัวเองได้ก็พอใจแล้ว

เรื่องราวความทุกข์ในชีวิตที่ผ่านมานั้นแม้จะเจ็บปวด แต่ก็สอนให้ต้อมรู้จักปล่อยวางและอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นสุขแท้ที่อยู่กับตัวเราเสมอ 


ที่มา: นิตยสาร SECRET

เรื่อง: รชนีกร พันธุ์มณี เรียบเรียง: เชิญพร คงมา ภาพ: วรวุฒิ วิชาธร  สไตลิสต์: ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แต่งหน้า-ทำผม: ภูดล คงจันทร์


บทความน่าสนใจ

หนุ่ม กะลา กับช่วงเวลาที่พบธรรม – จากวันที่ทุกข์ถึงวันที่ซึ้งธรรม

เพราะทุกข์นำทาง เม้าท์ซี่ เบญจวรรณ เทิดทูลกุล 

ชีวิตวัยเด็กที่ไม่เคยยอมแพ้ ของ ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด

รักแท้ไม่แพ้โชคชะตา ตี้ สมเจตน์ เจริญวัฒน์อนันต์

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.