อดีตพ่อค้าอาวุธสงคราม

จากปลายกระบอกปืน คืนสู่แสงสว่างทางธรรม เรื่องจริงของอดีตพ่อค้าอาวุธสงคราม

ชีวิตที่ผกผันของผม…นายจักรกฤษณ์ ศิริมณฑา ( อดีตพ่อค้าอาวุธสงคราม ) เริ่มต้นขึ้นเมื่อไปเป็นทหารจับด้ามปืน

ในช่วงแรก ชีวิตการเป็นทหารของผมรุ่งโรจน์มาก ผมได้รางวัลนายสิบดีเด่นถึง 2 ครั้ง จนกระทั่งเมื่อผมขอย้ายไปรับราชการที่จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อเป็นทหารป้องกันชายแดน ตั้งแต่สังขละบุรีถึงสวนผึ้ง ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป

เนื่องจากพื้นที่ที่ผมควบคุมดูแลเป็นของศูนย์สงครามพิเศษ ซึ่งมีด่านทหารประจำการอยู่บริเวณทางขึ้นลงระหว่างชายแดนไทยกับพม่า จึงถูกลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางพื้นที่นี้เป็นจำนวนมาก

ด้วยเหตุนี้ทหารที่ทำงานตรงจุดดังกล่าวจึงถูกผู้ประกอบการซื้อตัวไปหมด ทำให้การขนถ่ายของเถื่อนจากฝั่งพม่ามายังไทยกลายเป็นเรื่องง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เพียงแค่จ่ายเงินค่าผ่านทางเป็นค่าปิดปากเท่านั้น

เวลานั้นผมและลูกน้องเป็นคนกลุ่มเดียวที่ยังไม่ถูกซื้อตัวเราทำหน้าที่อย่างแข็งขัน “จับดะ” พวกลักลอบขนของเถื่อนทั้งหมด จนของเถื่อนที่เก็บไว้เป็นหลักฐานมีมากขนาดเต็มสนามฟุตบอล

เมื่อนายทหารยศนายพลคนหนึ่งที่ผมเคารพนับถือทราบถึงความจริงที่น่าอดสูนี้ ท่านถึงกับส่ายหน้า และพูดกับผมว่า “ที่นี่…ไม่มีใครอีกแล้วที่จะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่มีใครที่จะไม่เห็นเงินเป็นใหญ่…เงินซื้อได้หมดทุกคน” วันนั้นผมจึงยืนยันอย่างหนักแน่นกับท่านและกับตัวผมเองว่า “ยังไงผมก็จะไม่ทำอย่างพวกเขาแน่นอน…ผมขอสาบาน”

ตามปกติเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม แต่ในเมื่อผมทำสิ่งที่ตงกันข้าม พฤติกรรมของผมจึงเป็นที่จับตามองของใครบางคน วันหนึ่งจึงเกิด”เรื่อง”ขึ้น!

“หัวหน้าๆ มันไม่จอด!” ลูกน้องของผมซึ่งประจำอยู่ด่านแรกและด่านสองวอมาบอก เมื่อมีรถกระบะคันหนึ่งฝ่าด่านทหารเข้ามาในเขตประเทศไทยพร้อมกับไม้ (เถื่อน) เต็มคันรถ!

เมื่อรถแล่นผ่านเข้ามาบริเวณที่ผมประจำอยุ่ ผมจึงต้องเตรียมตั้งรับอย่างเต็มที่ ด้วยการใช้ปืนยิงสกัดคนขับ แต่กระสุนกลับพลาดไปโดนคนในรถตายเกือบหมด เหลือเพียงคนขับที่รอดชีวิตและสามารถขับรถฝ่าด่านออกไปได้

ตอนนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ผมทำทุกอย่างด้วยสัญชาตญาณโดยไม่กลัวตาย รีบกระโจนขึ้นรถกระบะเก่าๆของทางราชการขับตามไป แต่แล้วเมื่อขับข้ามลำห้วยใหญ่ รถเก่าด้อยประสิทธิภาพก็ดับสนิท ส่วนรถคันที่ลักลอบนำของเถื่อนเข้ามาในประเทศไทยกลับวิ่งฉิวหนีไปได้อย่างน่าเจ็บใจ

กว่าจะรู้ตัวอีกทีคนขับรถคันนั้นก็นำไม้ไปโยนทิ้ง พร้อมกับถ่ายรูปทุกอย่างไว้เป็นหลักฐาน ไม่ว่ารถที่เต็มไปด้วยรูพรุนของกระสุน รูปลูกน้องที่ตาย และยังเก็บปลอกกระสุนที่ผมยิงตกไว้แล้วนำไปแจ้งความอีกด้วย

เมื่อนึกย้อนกลับไป ผมก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือการจัดฉาก! เพื่อสั่งสอนผม โดยหวังจะให้ผมกลายเป็นคนผิดและต้องรับเคราะห์

หลังจากเจรจายอมความกันแล้ว ฝ่ายเจ้าทุกข์เรียกร้องให้ผมจ่ายเงินค่าทำขวัญทั้งหมดหกหมื่นบาท สำหรับคนอื่นอาจเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย แต่สำหรับนายทหารขั้นสิบโทที่เบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างผม มันเป็นจำนวนเงินที่ผมไม่สามารถหามาชดใช้ได้ สุดท้ายผมจึงต้องตัดสินใจ… “ทุจริตในหน้าที่”

หลังเหตุการณ์วันนั้นผมขึ้นไปประจำด่านอยู่สองวัน แต่ผมไม่ได้จับใครแม้แต่คนเดียว สุดท้ายก็มีเงินหกหมื่นมาชดใช้ให้เจ้าทุกข์ …คนเราเมื่อได้ทำผิดครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปก็เป็นเรื่องง่าย ผมคิดว่า “เมื่อทำดีไม่ได้…แล้วเราจะทำความดีไปทำไม”

ช่วงเวลานั้น…ผมลืมคำสาบานที่เคยให้ไว้จนหมดสิ้น!

ตั้งแต่นั้นมาผมเริ่มเข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มกระเหรี่ยงที่ต่อต้านรัฐบาลพม่า ด้วยการคอยจัดหาอาวุธสงครามจากไทยไปขายให้กับคนกลุ่มนี้ บางครั้งผมก็ตั้งตัวเป็นพ่อค้าลักลอบตัดไม้เถื่อนจากพม่าเข้ามาไทยเสียเอง ตอนนั้นผมมีรายได้มากมายเป็นกอบเป็นกำ แต่ทุกอย่างเท่ากับศูนย์ เพราะผมนำเงินที่ได้ไปกินและเที่ยวกับเพื่อนจนแทบไม่เหลือเก็บ

หลังจากประจำการอยู่ที่นี่สองปีผมก็หมดภารกิจ ต้องกลับมาประจำการอยู่แถวบ้าน พร้อมปฏิบัติภารกิจใหม่คือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน และเปิดอู่ซ่อมรถ จนแทบไม่ได้ค้าอาวุธสงครามอีกต่อไป

แล้ววันหนึ่งเพื่อรักที่เคยลักลอบค้าอาวุธสงครามด้วยกันก็เดินทางมาขอความช่วยเหลือจากผม เพราะประสบปัญหาหนี้สินอย่างหนัก ทั้งรถทั้งบ้านกำลังจะโดนยึด ด้วยความรักเพื่อนผมจึงหวนกลับไปทำอาชีพเสริมที่เคยทำร่วมกันอีกครั้ง ด้วยการยกหูโทรศัพท์ไปสั่งออร์เดอร์พิเศษเป็นอาวุธสงครามเต็มคันรถ แล้วออกเดินทางพร้อมเพื่อนและลูกน้องเพื่อนนำสินค้าไปส่งที่พม่าในอีกไม่กี่วันถัดมา

ผมนอนฝันหวานถึงเงินสิบกว่าล้านที่จะได้ในคราวเดียว ทว่าทันทีที่รถกำลังจะขับจากถนนลูกรังขึ้นไปยังถนนลาดยางบริเวณอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ตำรวจก็สาดสปอตไลท์ใส่รถมาแต่ไกล ด้วยสัญชาตญานทุกคนในรถรู้ดีว่าตอนนี้เราตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย จึงจอดรถแล้วหนีกระจายไปคนละทิศละทาง

เสียงปืนยิงไล่หลังพวกเราดังสนั่นจนหูดับตับไหม้ กระสุนเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา แต่ไม่โดนตัวผม ทว่าคนที่โชคร้ายคือผู้พันชาวกระเหรี่ยงที่ติดรถมาด้วยเพื่อคุมการส่งของ เขาถูกปืนยิงเจาะหัวใจเสียชีวิตคาที่ พอเห็นอย่างนั้นผมจึงหยุดวิ่งแล้วยกมือขึ้นยอมมอบตัว

เช้าวันรุ่งขึ้นเรื่องราวของผมกลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับและในทีวีทุกช่อง พ่อแม่เสียใจร่ำไห้จนเป็นลมล้มไป ส่วนญาติพี่น้องก็รู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

หลังจากขึ้นศาล ผมถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่โชคดีคุณงามความดีที่ผมเคยทำมา บวกกับการได้รับพระราชทานอภัยโทษทำให้ผมได้รับการลดหย่อนโทษ ให้ติดคุกเพียง 10 ปี 11 เดือน 22 วันเท่านั้น

หลังออกมาจากคุก แทนที่ผมจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ผมกลับเหิมเกริมตั้งตัวเป็นนักเลงใหญ่ ทำอู่ซ่อมรถและประกอบรถแข่ง อู่ของผมเป็นแหล่งซ่องสุมของวัยรุ่นเกรียนซ่าทั้งหลายทำให้เป็นที่ขับตามองของตำรวจ วันดีคืนดีเวลาว่างๆตำรวจก็จะบุกมาตรวจค้นอู่ผมเล่นๆแต่ก็ไม่เคยเจออะไร

แรกๆ ผมยังไม่ได้ทำสิ่งผิดกฎหมาย แต่ผมก็ยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีหรือเกรงกลัวต่อบาปกรรมเลยแม้แต่น้อย และพร้อมที่จะเดินสู่เส้นทางที่เลวร้ายเสมอ

จนกระทั่งวันหนึ่งชีวิตที่มืดบอดมานานของผมก็เริ่มมีแสดงสว่างให้เห็นรำไร เมื่อผมได้พบกับ พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ ซึ่งเดินทางมาเทศก์ญาติโยมของ พระวิชัย สาคัมภีร์ คนที่ผมนับเป็นเพื่อนตายในชีวิต เพราะผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันตั้งแต่สมัยเป็นทหาร และได้บวชกับพระอาจารย์นวลจันทร์ในพรรษานั้น

ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจพระสงฆ์องค์เจ้าหรือธรรมะเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยนับถือใครนอกจากตัวเอง เมื่อพระวิชัยโทรมาชวนให้ผมไปกราบพระอาจารย์นวลจันทร์ ด้วยความที่ผมยังมีจิตใจแข็งกระด้าง เวลากราบพระกราบแบบขอไปที

หลังจากพระวิชัยกลับสถานปฏิบัติธรรมไป ไม่นานก็โทร.มาหว่านล้อมให้ผมไปบวชกับพระอาจารย์ในพรรษาเดียวกับเขา พร้อมกับบอกว่า “ทำเพื่อเพื่อนสักครั้ง”

น่าแปลกที่วันบวชผมซึ่งแทบไม่เหลือคุณงามความดีอะไรในหัวใจ กลับน้ำตาไหลทันทีที่ถูกโกนผมราวกับสำนึกชั่วดีผุดขึ้นมาในใจ ผมตัดสินใจ ณ วินาทีนั้นเองว่าเมื่อเป็นพระ ผมก็จะทำให้เต็มร้อย ในวันที่บวช พระอาจารย์นวลจันทร์จับศีรษะของผมแล้วพูดว่า “ลูกผู้ชายต้องฆ่าได้ หยามได้นะ!” ผมรับคำท่านในใจ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าท่านจะรู้จักตัวตนของผมดีถึงเพียงนี้

การบวชครั้งนี้ทำให้ผมเริ่มเห็นความดีในผู้อื่น เห็นบุญคุณของญาติโยมที่ใส่บาตรให้ทุกเช้า แม้ญาติโยมเหล่านั้นจะแทบไม่มีข้าวกินก็ตาม บางครั้งโยมหลายคนที่ทำงานในตำแหน่งสูงๆกลับกราบเท้าและล้างเท้าให้ผมอย่างไม่รังเกียจ แม้ผมจะเคย “ชั่ว” มาก่อน แต่โยมกลับบอกผมว่า “ลูกศิษย์พระอาจารย์นวลจันทร์ กราบได้อย่างสนิทใจทุกรูป”

และเมื่อเห็นความดีในคนอื่น ผมจึงเริ่มเห็นความดีในตัวเอง…ว่าตัวเองก็”ดีได้”เช่นเดียวกัน

นอกจานี้ผมก็เริ่มเห็นความเลวที่เคยทำมาทั้งชีวิต จนต้องเข้าปริวาสกรรม คือเข้าปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียวโดยงดเว้นกิจนิมนต์อื่น เพื่อชดใช้กรรมที่เคยทำมา

ทุกวันนี้แม้ผมจะลากสิกขาแล้วและเปิดอู่ซ่อมรถเหมือนเคยแต่ชีวิตผมไม่เป็นแบบเดิมอีกต่อไป หลายครั้งที่ผมเดินจงกรมหน้าอู่ซ่อมรถ (จนตำรวจหาว่าเมายา) บางทีก็ชวนเด็กสุดเกรียนที่ชอบมาสิงสู่อยู่ที่อู่ฝึกนั่งสมาธิเพื่อสงบจิตสงบใจ เมื่อใดที่พระอาจารย์มีคอร์สปฏิบัติธรรม ผมก็พร้อมจะทิ้งอู่ไปช่วยพระอาจารย์ทันที

ตอนนี้ผมเป็นมารร้ายที่กลับตัวกลับใจได้แล้วครับ!


ข้อคิดจากพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโ

จริง ๆ แล้วก่อนที่เขาจะบวช พระที่บวชมาก่อนส่วนมากเป็นพวกเรื่อย ๆ สุภาพเรียบร้อยกว่าผุ้หญิงอีก ไม่มีอะไรตื่นเต้น โชคดีที่ได้พวก “เสือ” เข้ามาเสริมพอดี คือหลายคนเป็นข้าราชการ เป็นทหารมาก่อน แต่ชีวิตผิดพลาด เดินทางผิด ไปเป็นนักฆ่าบ้าง ค้าอาวุธบ้าง สักลายกันเต็มตัว ปล่อยรังสีอำมหิตออกมาตลอด

พวกเสือส่วนมากเขารู้สึกว่าเขาถูกสังคมตัดสินเรียบร้อยแล้วว่าเป็นคนเลว เขาเลยไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้นเลยไม่ต้องแคร์ใคร พร้อมจะทำเลว หรือฆ่าใครตอนไหนก็ได้ อาจารย์มองว่าคนกลุ่มนี้น่าช่วย เพราะถ้าเสือสงบ บ้านเมืองก็สงบ

ลึก ๆ คนกลุ่มนี้อยากแก้ตัว อยากเป็นคนดี อยากเข้ามาหนทางนี้กันทั้งนั้น แต่ว่าจังหวะมันยังไม่ลงตัว โชคดีที่เพื่อนรุ่นเดียวกัน (พระวิชัย) มาบวช ธรรมะเลยจัดสรร ได้โอกาสชวนเขามาบวชพอดี

คนแบบนี้ถ้าภาวนาจริงจังจะไปไกล เพราะจิตมั่นคง เด็ดเดี่ยว จิตเขามีพลังอยู่แล้ว แถมเขาเคยฝึกทหารจึงมีวินัย เราแค่เสริมธรรมะเข้าไปเท่านั้น เขาก็พร้อมจะกลับใจ

 

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.