น้าโต๊ด

น้าโต๊ด กู้ภัยไร้แขนขา หัวใจเทวดา

น้าโต๊ด กู้ภัยไร้แขนขา หัวใจเทวดา

นายบุญ นาหอมหรือที่ใครๆเรียกว่า “น้าโต๊ด” คือเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิการไร้แขนขาอาสาสมัครมูลนิธิกู้ภัยไตรคุณธรรม จังหวัดชลบุรีซึ่งเมื่อไม่นานมานี้สังคมออนไลน์กล่าวถึงเรื่องราวของเขาอย่างกว้างขวางจากการช่วยหญิงตั้งครรภ์ลากรถเสียไปส่งจนถึงที่หมาย

ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไรคะ

ผมเกิดที่จังหวัดจันทบุรี พ่อแม่มีอาชีพทำไร่ทำนา ผมมีพี่น้อง 5 คน ผมเป็นลูกคนที่ 4 ครอบครัวของผมทุกคนร่างกายปกติกันหมด มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่เกิดมาร่างกายพิการแบบนี้ จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก ผมเคยได้ยินแม่คุยกับคนข้างบ้านว่า ญาติห่าง ๆ บอกว่า ลูกเกิดมาพิการ แขนขาไม่มีอย่างนี้ไม่น่าจะเอาไว้ ให้ฆ่าผมทิ้งไปเถอะ เอาหน้าคว่ำกับหมอนให้ตายไปเลยจะได้ไม่เป็นภาระแต่แม่บอกจะฆ่าได้อย่างไรในเมื่อลูกตาดำ ๆเกิดมาแล้ว ยังไงก็จะขอเลี้ยงต่อไป ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกโกรธหรือน้อยใจอะไร คิดแต่ว่าแม่มีพระคุณกับผมมาก และคิดว่าเมื่อโตขึ้นหากมีโอกาสผมจะทดแทนบุญคุณท่าน

ด้วยความที่ผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจึงไม่สามารถช่วยงานที่บ้านได้เลย แม่จึงให้ผมอยู่บ้านเฉย ๆ ในขณะที่พี่น้องคนอื่นไปเรียนหนังสือ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกน้อยใจที่สุดที่เราไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนคนอื่น แต่ผมก็เข้าใจดีว่าบ้านผมเป็นบ้านนอกกันดารมาก มีแต่ทางเกวียน ผมลืมตาเกิดมาก็เห็นแต่วัวแต่ควายไฟฟ้าน้ำประปาก็ไม่มี โรงเรียนก็อยู่ไกลจากบ้านถึง 2 กิโลเมตร จะให้พี่ ๆ แบกผมขึ้นหลังไปเรียนด้วยทุกวันก็คงลำบาก ผมจึงอดไปโรงเรียน แต่โชคยังดีที่ถึงแม้จะไม่ได้เรียนในโรงเรียน แต่ทุก ๆ เย็นเมื่อโรงเรียนเลิก เพื่อน ๆ จะมาสอนผมอ่านหนังสือ ซึ่งผมก็พยายามศึกษาหาความรู้เองทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถอ่านออกเขียนได้

ผมมีเพื่อนเยอะ และเพื่อน ๆ ก็รักใคร่ผมดี เพื่อนชอบพาผมไปเที่ยวบ้านเขาบางครั้งก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด พอผมอายุได้18 - 19 ปีก็ตัดสินใจออกจากบ้าน

ทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้นล่ะคะ

เพราะผมคิดว่า ถ้าอยู่บ้านนอกก็เป็นภาระกับพ่อแม่ญาติพี่น้อง ถ้าพี่น้องผมมีลูกเมียที่ต้องดูแล เขาคงมาคอยดูแลผมเหมือนเดิมไม่ได้ จึงคิดว่าออกจากบ้านมาดีกว่า พอออกมาผมก็ไปหาที่อยู่กับเพื่อนเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อย ๆ อยู่กับเพื่อนคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง คนละเดือนสองเดือน จนไปถึงกรุงเทพฯ ผมไปพักอยู่ที่ห้องเช่าของเพื่อนตอนนั้นผมไม่มีรายได้อะไร กินอยู่ก็อาศัยเพื่อน จนกระทั่งมาคิดว่าเราน่าจะหารายได้เลี้ยงตัวเองบ้าง จึงไปเป็นขอทานอยู่แถว ๆ บางบอน

ช่วงที่เป็นขอทาน ผมเคยถูกประชาสงเคราะห์จับตัวไป 2 ครั้ง พอออกมาได้ก็เกิดละอายใจตัวเอง จึงผันชีวิตไปลองร้องเพลงดู โดยไปสมัครเป็นนักร้องกับเจ้าของสวนอาหารที่หัวกระบือ เขาก็ให้ค่าตัวผม 80 บาท แต่รายได้ส่วนใหญ่มาจากพวงมาลัยคืนละ 400 - 500 บาท ผมร้องเพลงอยู่หลายปีร้านอาหารหลายร้านก็ค่อย ๆ ปิดตัวลง ทำให้หารายได้ยากขึ้น ผมก็ต้องตระเวนหาที่ร้องเพลงใหม่ แต่ละร้านจะมีโควตาให้คนพิการร้องได้คืนละคน บางร้านมีคนพิการทางสายตาจองอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ผมหาเงินลำบากขึ้นมากเพื่อนจึงพาผมตระเวนมาเรื่อย ๆ จนถึงชลบุรี

น้าโต๊ด

รู้สึกท้อในชีวิตบ้างไหมคะ

ไม่เคยท้อเลยครับ คิดแต่ว่าที่ไหนไม่รับเราร้องเพลง เราก็ออกเดินสายหาไปเรื่อย ๆ พอมาถึงชลบุรี ผมก็มาเช่าโรงแรมอยู่ ทุกเย็นเพื่อนจะพาผมนั่งมอเตอร์ไซค์ตระเวนไปตามร้านอาหารเพื่อหาที่ร้องเพลงเมื่อก่อนมีอยู่หลายร้าน แต่เดี๋ยวนี้เหลืออยู่ไม่กี่ร้าน รายได้ผมจึงน้อยลงตามไปด้วยคือได้คืนละ 200 - 300 บาท บางคืนไม่ได้เลยก็มี แต่ก็สู้ บอกตัวเองตลอดว่าอย่าท้อถ้าท้อเสียแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ท้อไปก็ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวไปเปล่า ๆ อีกอย่างผมเป็นคนไม่คิดมาก เวลาเหงา ๆ ก็จะไปหาเพื่อนคนโน้นทีคนนี้ที ผมโชคดีที่คนรอบตัวรักใคร่ผม ดีกับผม เป็นกำลังใจให้ผม

กำลังใจที่สำคัญของผมอีกอย่างคือการได้เป็นที่ปรึกษาให้หลาย ๆ คนทางเฟซบุ๊กเขามาขอคำปรึกษาผมเกี่ยวกับเรื่องปัญหาครอบครัวบ้าง ผิดหวังจากแฟนบ้าง ผมก็บอกเขาว่า คุณอย่าไปคิดมากเลย ลิ้นกับฟันกระทบกันเป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวสักวันทุกอย่างก็จะดีขึ้น

 

การเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกคนอื่นเป็นที่มาของการเป็นอาสาสมัครกู้ภัยด้วยใช่ไหมคะ

ตอนที่เพื่อนพาผมนั่งมอเตอร์ไซค์ตระเวนหาที่ร้องเพลง ทำให้ได้พบเห็นอุบัติเหตุบ่อย ๆ จึงทำให้อยากเป็นอาสาสมัครกู้ภัยเพราะคิดว่าหากวันหนึ่งผมประสบอุบัติเหตุก็อยากให้คนมาช่วย ผมคิดว่าคนที่ประสบอุบัติเหตุก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน

ผมยอมรับว่าตอนเป็นอาสาสมัครกู้ภัยใหม่ ๆ ผมกลัวทั้งเลือดกลัวทั้งผี ทีแรกผมคิดว่าจะทำได้ไม่นาน แต่พอได้ทำจริง ๆ ก็เกิดใจรักงานนี้ขึ้นมา ทุกวันนี้ไม่กลัวเลือดไม่กลัวผีแล้ว เพราะเราไม่ได้มาซ้ำเติมเขา แต่เข้าไปช่วยเหลือเขา เขาจึงไม่น่ามาหาเรา และพอไปช่วยบ่อย ๆ ก็ชินไปเอง ตอนนี้ทำมาได้ 15 ปีแล้ว โดยหลังจากร้องเพลงเสร็จประมาณ 3 - 4 ทุ่ม ก็เอาเวลามาช่วยสังคมให้ได้มากที่สุด

หน้าที่ของน้าโต๊ดเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุต้องทำอะไรบ้างคะ

เมื่อได้รับวิทยุแจ้งเหตุ ถ้าผมไปตรวจแล้วเจอเหตุอย่างเช่น คนได้รับบาดเจ็บถูกรถเฉี่ยวชน ผมก็จะนำรถของผมไปขวางไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน เวลาออกตรวจจะมีคู่หูไปด้วย เขาจะทำหน้าที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนผมจะเข้าไปถามคนเจ็บว่าได้รับบาดเจ็บที่ไหนบ้าง ถ้าเห็นว่าเขาเจ็บหนัก ก็จะวิทยุให้ศูนย์กู้ภัยส่งรถมารับเพื่อพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล

น้าโต๊ดได้อะไรจากการทำงานตรงนี้คะ

ผมได้ความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเขาและคำว่า “ได้” ในที่นี้ไม่ใช่เรื่องเงินทอง แต่หมายถึงการได้ทำความดี ได้ช่วยเหลือสังคมบางทีก็ได้คำขอบคุณเป็นกำลังใจให้ผมอยากทำงานนี้ต่อไปเรื่อย ๆ และทุกครั้งที่ทำความดี ผมมักแอบอธิษฐานในใจว่า ชาติหน้าขอให้มีร่างกายครบ 32 เหมือนคนอื่นส่วนชาตินี้ร่างกายเป็นแบบนี้ ผมก็ยอมรับว่าคงเป็นเพราะกรรมในอดีตที่เราทำมา ชาตินี้ขอเพียงผมได้มีโอกาสทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม ได้ทำความดีเรื่อยไปแบบนี้ก็พอใจมากแล้ว

%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%95%e0%b9%8a%e0%b8%941

การที่ไปช่วยคนที่ประสบอุบัติเหตุบ่อย ช่วยให้เราได้ข้อคิดอะไรบ้างคะ

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการขับรถอย่างประมาทและดื่มแอลกอฮอล์การที่ได้เข้าไปช่วยเหลือคนที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย ๆ ทำให้ผมเห็นได้ว่า เวลาอยู่บนท้องถนน เราไม่ควรประมาท และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์อย่างยิ่ง เพราะทำให้ขาดสติจนนำไปสู่การเสียชีวิต

แน่นอนความตายเป็นเรื่องที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนอาจช้า บางคนอาจเร็ว แต่เราไม่ควรจะมาตายบนท้องถนนหรือตายด้วยอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทของเราเอง เพราะหากเราขับรถอย่างระมัดระวังมีสติ ก็สามารถป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

ผมจึงอยากฝากทุกคนที่ใช้รถใช้ถนนโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลว่า อย่าดื่มแอล-กอฮอล์ อย่าประมาทกันเลยครับ อย่าคิดว่าเราขับรถเก่ง เพราะจะทำให้เราระมัดระวังน้อยลง ในความเป็นจริงเวลาอยู่บนท้องถนนแม้เราไม่ประมาท แต่คนอื่นเขาประมาทก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เหมือนกัน ผมจึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันรักษาและเคารพกฎจราจรด้วยครับ

มีเรื่องไหนที่น้าโต๊ดเคยไปช่วยเหลือแล้วรู้สึกประทับใจบ้างคะ

ครั้งหนึ่งที่เด็กนักเรียนอายุประมาณ 11 - 12 ปีกำลังไปโรงเรียนตอนเช้า แล้วถูกรถกระบะเฉี่ยวชนหน้าโรงพยาบาลธนบุรีแล้วคู่กรณีหนีไปครับ พอดีผมไปเจอจึงเข้าไปช่วย ก็พบว่าเขาบาดเจ็บเล็กน้อย พอเขาลุกได้ก็บอกว่า ขอบคุณนะครับน้าที่มาช่วยเหลือผม ผมรู้สึกประทับใจจนทุกวันนี้

ชีวิตอาสาสมัครกู้ภัยเราไม่ต้องการอะไรในการช่วยเหลือคน แค่คำขอบคุณก็ดีใจและเป็นกำลังใจมากแล้วครับ ผมไม่เคยคิดว่าจะได้สิ่งใดตอบแทน คิดแต่ว่าจะไปช่วยเหลือเขา ผมเชื่อว่าคนที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยทุกคนคิดอย่างนั้น เพราะเราช่วยด้วยใจ

 

แล้วเคสที่เป็นข่าวดังว่าน้าโต๊ดไปช่วยผู้หญิงท้องลากรถไปส่งจนถึงที่หมายล่ะคะ มีที่มาอย่างไร

ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ ๆ สี่ทุ่ม ศูนย์ฯวิทยุมาว่ามีชาวบ้านขอความช่วยเหลือ ผมไปตรวจดูก็เห็นรถเสียเพราะท่อน้ำมันรั่ว ผมจึงใช้รถผมลากรถเขาไปส่งที่บ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่ามีใครแอบถ่ายภาพผมไปโพสต์ลงในเฟซ พอผมเปิดเฟซดูก็เห็นรูปตัวเองเพียบเลย มีแต่คนมากดไลค์ ผมก็งงอยู่เหมือนกัน แต่ก็ดีใจมาก แล้วก็ภูมิใจที่เราทำความดีทั้งที่ไม่ได้เปิดเผย แต่ก็ยังมีคนเห็นและมีคนเข้ามาชมเชย ทำให้ผมได้กำลังใจอย่างมากว่าเราทำความดีและความดีก็ตอบแทนเราอย่างนี้นี่เอง

ทราบว่าขับรถเองด้วย ไม่ทราบว่ารถคันนี้มีที่มาอย่างไรคะ

ตอนเป็นอาสาสมัครกู้ภัยใหม่ ๆ ผมไม่ค่อยได้ออกเหตุกับเขา เพราะเราไปไหนมาไหนไม่สะดวก ผมจะได้ออกเหตุก็ต่อเมื่อเพื่อนยกเราขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปกับเขาด้วย ทำให้ผมเกิดความคิดว่า เราน่าจะมีรถสักคันหนึ่งไว้ใช้ไปซื้อกับข้าวหรือใช้ไปทำงานและถ้ามีรถก็จะเปรียบเสมือนมีขาที่จะพาผมไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น ผมจึงพยายามเก็บหอมรอมริบทีละเล็กทีละน้อยจากการร้องเพลง บางส่วนก็ขอความช่วยเหลือจากพี่ชายจนได้เงินประมาณสองหมื่นกว่าบาทและให้พี่สะใภ้ที่อยู่บางพลีเป็นคนดาวน์รถให้แล้วผมก็มาผ่อนเองเดือนละ 2,600 บาท 36 งวด

พอได้รถมา ผมก็คิดว่า ในเมื่อเขาเป็นแขนขาให้เราแล้ว ก็น่าจะนำมาทำประโยชน์เป็นรถตรวจสอบเหตุช่วยสังคมดีกว่า จึงมาขอใบอนุญาตที่มูลนิธิฯ

น้าโต๊ด

แล้วการปรับแต่งรถล่ะคะ ใครเป็นคนทำให้

ผมทำเองหมดทุกอย่างเลยครับ แต่กว่าที่ผมจะขับรถได้ใช้เวลา 2 - 3 เดือนในการคิดว่าเราจะดัดแปลงอย่างไรให้เราเบรกได้และเร่งคันเร่งได้ พอคิดออกว่าจะทำอย่างไรก็ไปให้ช่างช่วยต่อเติมโดยต่อคันเบรกกับคันเร่งขึ้นมา ทุกวันนี้ผมขับคันนี้มาตลอด แล้วก็ค่อย ๆ เก็บเงินซื้อวิทยุสื่อสาร ซื้อไฟส่องสว่างติดรถให้สมบูรณ์พร้อมใช้งาน เวลาขับรถ ผมก็ระวังตัวมากเพราะเราต้องขับเร็วเวลาขับรถ การตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญมากผมจึงไม่ประมาทเพราะรู้ว่าเรากำลังทำงาน

ที่เสี่ยงอันตรายอยู่แสดงว่าน้าโต๊ดไม่รู้สึกว่าตัวเองต่างจากคนอื่นใช่ไหมคะ

ที่ผมไม่รู้สึกแตกต่างเพราะคนรอบตัวผมโดยเฉพาะเพื่อน ๆ อาสาสมัครกู้ภัยเขารักใคร่ผมดี เขาไม่ได้รังเกียจอะไรเลยที่ผมเป็นอย่างนี้ทุกคนมีแต่ช่วยเหลือดูแลผม ทำให้ผมรู้สึกดีว่า แม้เราจะด้อยกว่าเขา แต่คนดี ๆ เขาไม่ได้มองข้ามเรา คนที่มองข้ามจริง ๆ ก็มีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งผมไม่คิดอะไรมาก

การที่เป็นคนดังในโลกโซเชียลจนทำให้คนเชิญไปออกทีวีบ่อย ไม่ทราบว่าส่งผลกับชีวิตอย่างไรบ้างคะ

ทำให้คนรู้จักผมมากขึ้น แต่ก็มีเหมือนกันเวลาไปร้องเพลง คนเขาไม่ให้ตังค์เพราะคิดว่าเราได้ค่าจ้างออกทีวีครั้งละ 20,000 - 30,000 บาท เขาคิดว่าเรารวยแล้ว แต่ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมดังจริง ดังแต่ชื่อ แต่เงินไม่มี พอสิ้นเดือนมาดู อ้าว เงินไม่พอเพราะผมมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 7,000 - 8,000 บาท

ตอนนี้ผมมีบ้านของตัวเองจากการที่คนเขาขายให้ผมหลังละ 15,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนก็มีค่าเช่าที่เดือนละ 1,500 บาท และค่าน้ำค่าไฟ ทุกวันนี้ผมส่งเงินให้แม่ด้วยเดือนละ 800 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ผมได้จากค่าครองชีพคนพิการ ผมให้แม่มาตลอดตั้งแต่ไปทำบัตรคนพิการและได้เงินมาเพราะอยากตอบแทนพระคุณแม่บ้างเท่าที่เราจะทำได้

 

การที่จิตใจดีอย่างนี้ ไม่ทราบว่าได้รับการปลูกฝังมาจากใครคะ

ก่อนที่ลูกทุกคนจะออกจากบ้าน แม่ของผมสอนเสมอว่า อย่าไปลักขโมย ขอให้ทำแต่ความดี ซึ่งผมก็จำใส่ใจมาตลอดทุกวันนี้ผมไม่ต้องการอะไรมาก มีแต่ความตั้งใจว่าสักวันหนึ่งอยากจะปลูกบ้านให้แม่อยู่อย่างสบายก่อนที่ท่านจะสิ้นลมหายใจ ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น

นิยามชีวิตของน้าโต๊ดคืออะไรคะ

คือการทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่ผมเน้นว่าทำเท่าที่ทำได้ เพราะบางคนไม่เข้าใจว่าคนพิการอย่างผมจะไปช่วยสังคมได้อย่างไรแม้ผมไม่เคยถูกคนรังแก แต่คนในโลกโซเชียลบางคนโพสต์ว่า เป็นคนพิการก็น่าจะกินนอนอยู่กับบ้านให้พ่อแม่เลี้ยง จะออกมาช่วยสังคมทำไม ผมไม่โกรธเขานะ รู้สึกว่าช่างเถอะ เพราะเขาไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองเขาจึงไม่รู้หรอกว่าเวลาผมทำงานนั้นทำอย่างไรผมจึงบอกว่า ผมทำเท่าที่ผมจะทำได้ สิ่งที่ผมทำไม่ได้ก็ให้คนอื่นทำไป เพราะผมไม่ได้ทำงานคนเดียว อาสาสมัครกู้ภัยทุกคนทำงานกันเป็นทีม

สมมุติว่าเกิดเหตุมีรถบรรทุกชนกันแล้วมีคนติดอยู่ภายใน คนอื่นได้รับการอบรมเรื่องการใช้อุปกรณ์ตัดถ่างเพื่อช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ แต่ผมไม่ได้อบรมมา ผมก็จะช่วยทำงานอย่างอื่น เช่น ไปประกาศบอกคนที่ขับรถตามมาว่า “ขอความกรุณารถที่ตามมาให้ขับเบี่ยงไปเลนอื่นและให้ขับอย่างระมัดระวังเพราะข้างหน้ามีอุบัติเหตุ” อย่างนี้เป็นต้นคือผมก็จะประกาศอยู่บนหลังคารถ เรียกว่าช่วยทำอะไรได้ผมก็ช่วย หรืออย่างรถผมมีไฟส่องสว่างอยู่ ผมก็จะเปิดไฟเพื่อให้อาสาที่กำลังทำงานทำได้สะดวกขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมทำ

วางแผนชีวิตในอนาคตไว้อย่างไรคะ

ผมคงจะทำงานอาสาสมัครกู้ภัยไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะแก่ทำไม่ไหว แล้วก็คงกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านนอก และอย่างที่บอกผมอยากเก็บเงินสักก้อนหนึ่งปลูกบ้านให้แม่เพื่อตอบแทนพระคุณท่าน นั่นคือสิ่งที่ผมวาดหวังไว้ แต่ก็ไม่รู้จะมีโอกาสเป็นจริงหรือเปล่า

%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%95%e0%b9%8a%e0%b8%944

รู้สึกอย่างไรที่เรื่องราวของเราสร้างกำลังใจให้คนอื่น โดยเฉพาะคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต

ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ตัวผมแม้จะมีร่างกายแบบนี้ แต่ได้สร้างความดีทำให้คนที่ร่างกายครบ 32 ได้มีกำลังใจ ผมอยากบอกว่า ความดีเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้โดยเฉพาะคนที่ร่างกายพร้อมย่อมทำความดีได้อย่างแน่นอน

สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต ผมอยากบอกคุณว่า ในขณะที่คุณคิดว่าตัวคุณไม่เหลืออะไร ยังมีคนที่ลำบากกว่าคุณ แม้คุณไม่มีโอกาสในวันนี้ แต่วันข้างหน้ายังมีอย่าท้อแท้เลยครับ แม้ตัวผมเองจะเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยคิดสั้นเลยสักครั้งในชีวิต เพราะผมคิดว่าชีวิตยังมีความหวัง ผมอยากให้คุณลุกขึ้นสู้ ท้อแท้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ลุกขึ้นสู้ดีกว่า สู้เหมือนผม

พลังแห่งความดีและจิตใจที่แข็งแกร่งย่อมเอาชนะอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตได้เสมอ 


Secret BOX

ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

น้าโต๊ด บุญนาหอม

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.