ทำร้ายน้องผม

เรื่องจริงจากพี่ชาย… “ใคร?! ทำร้ายน้องผม !”

เรื่องจริงจากพี่ชาย… “ใคร?! ทำร้ายน้องผม !”

 

เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้ชมซีรี่ส์เรื่องหนึ่งซึ่งว่ากันว่า

สร้างขึ้นจากประสบการณ์จริงของลูกสาวที่ถูกแม่แท้ๆ แย่งสามีไป

แน่นอนว่าเรื่องที่เปราะบางต่อความรู้สึกแบบนี้ย่อมมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ

 

แต่สำหรับผมแล้ว…ผมเชื่อครับ เพราะเคยเจอเรื่องทำนองนี้มากับตัวเอง เพียงแต่เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟัง ตัวละครในเรื่องสลับที่สลับทางกัน…ก็เท่านั้น! ครอบครัวของผมมีกันอยู่ 4 คนครับ พ่อ แม่ ผม และน้องสาวอีก 1 คน ซึ่งเป็นเด็กพิเศษ มีพัฒนาการทางสมองช้ากว่าเด็กทั่วไป 4 - 5 ปี พ่อของผมเป็นแค่ครูน้อยในโรงเรียนประชาบาล ส่วนแม่ก็รับจ้างซักรีด ครอบครัวเราจึงมีฐานะแค่พออยู่พอกิน จะว่าไปแล้วครอบครัวเราคงมีฐานะดีกว่านี้

หากพ่อเลิกเหล้าได้ หรืออย่างน้อยก็ดื่มให้น้อยลง

บ้านของเราเป็นเพียงบ้านเช่าหลังเล็กๆ มีแค่ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องโถงโล่งๆ รวมทั้งหมด 3 ห้องเท่านั้น พอตกกลางคืนปั๊บห้องโถงที่ว่าก็จะแปรสภาพเป็นห้องนอน มีที่นอนพร้อมมุ้งเรียบร้อยมุ้งแรกเป็นของพ่อกับแม่ ส่วนมุ้งที่สองเป็นของผมกับน้องสาวพวกเราใช้ชีวิตกันอย่างนี้มาตลอด จนผมสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้ จึงจำเป็นต้องเก็บกระเป๋าย้ายไปอยู่หอที่โน่น จะกลับบ้านก็เฉพาะเสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น

ผมจำได้แม่นว่าวันที่ผมเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า ก้อย น้องสาวที่อายุห่างจากผม 3 ปีได้แต่นั่งมองตาปริบๆ และเข้ามาถามผมว่าจะย้ายไปไหน เพราะอะไร ผมอธิบายว่าไม่ได้ทิ้งเธอไปไหน เพราะทุกเย็นวันศุกร์ผมจะกลับมาหาเธอ ก้อยฟังแล้วดูเบาใจขึ้น แต่ก็ไม่วายกำชับอีกว่าผมต้องกลับบ้านจริงๆ นะ เพราะเธอไม่ชอบนอนคนเดียว

เพียงแค่อาทิตย์แรกที่ผมย้ายออกไป แม่ก็เล่าให้ฟังว่าทุกๆ คืน ก้อยจะงอแงมาเปิดมุ้งขอนอนกับพ่อแม่ แม้ว่าแม่จะไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่ผมก็พอจะเข้าใจว่าพวกเขาต้องนอนเบียดกันแค่ไหนเพราะมุ้งของพ่อกับแม่นอนได้แค่สองคนเท่านั้น ผมจึงค่อย ๆ พูดจาหว่านล้อมให้ก้อยกลับไปนอนที่มุ้งเดิม

หนึ่งเดือนต่อจากนั้นแม่ก็เล่าว่าก้อยปรับตัวเก่งขึ้น เริ่มกลับไปนอนมุ้งเดิมคนเดียวได้แล้ว แต่ก็ไม่วายอ้อนแม่หรือพ่อให้สลับกันไปนอนเป็นเพื่อน ได้ฟังอย่างนี้ผมก็เริ่มเบาใจ เพราะอย่างน้อยก้อยก็เริ่มดูแลตัวเองได้มากขึ้น

ส่วนผมเอง เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางก็ตัดสินใจหางานพิเศษทำ ด้วยเหตุนี้สัญญาที่เคยให้ไว้กับก้อยจึงเริ่มเปลี่ยนไป ผมกลับบ้านแค่เดือนละครั้งหรือ 2 - 3 เดือนครั้ง และทุกครั้งจะมีขนมเสื้อผ้าติดมือมาฝากก้อยเสมอไม่เคยขาด

เมื่อขึ้นมหาวิทยาลัยปีที่ 2 ผมเริ่มสังเกตว่าก้อยดูอวบอ้วนขึ้นแต่ผมก็ยังไม่ติดใจอะไร แค่คิดว่า “ก้อยอาจจะมีความสุขกับการกินมากไปหน่อย คราวหน้าค่อยซื้อเสื้อผ้าไซส์ L มาฝากแทนก็แล้วกัน” แต่เพียงไม่นานก้อยก็ใส่เสื้อผ้าไซส์ L ไม่ได้ เพราะติดพุงน้อยๆ ที่ยื่นออกมา คราวต่อไปผมจึงขยับมาซื้อเสื้อไซส์ XL ให้แทน

 

ทำร้ายน้องผม
ภาพเป็นเหตุการณ์จำลอง

 

เมื่อต้องเปลี่ยนเสื้อถึง 2 ไซส์ในเวลาเพียงแค่ 6 – 7 เดือน ผมก็เริ่มสงสัย จึงตัดสินใจถามแม่ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับก้อย” เพราะก้อยเป็นเด็กพิเศษและกำลังอยู่ในรุ่นสาว หน้าตาผิวพรรณก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ผมคิดไปว่าอาจมีผู้ชายมาข่มเหงรังแกก้อย ซึ่งข้อนี้ผมก็แอบภาวนาขออย่าให้เป็นจริงเลย เพราะถ้าก้อยท้องผมคงรับไม่ได้และก็คงยอมไม่ได้แน่ๆ

แต่คำตอบของแม่ที่ว่า “มันกินเยอะ มันก็อ้วนสิ จะมีอะไร” ทำให้ผมโล่งอก ไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก

จากนั้นผมก็วุ่นๆ อยู่กับการเรียนและการทำงานพิเศษ กว่าจะได้กลับบ้านอีกครั้งก็ผ่านไปถึงสามเดือน ทว่าการกลับบ้านครั้งนี้ของผมแปลกกว่าครั้งไหนๆ เพราะทันทีที่ก้าวเข้าซอยมา ทุกคนในซอยก็พากันมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แล้วก็หันไปซุบซิบกันผมเองเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นอะไรกัน แต่ก็ยังทักทายทุกคนตามปกติแล้วรีบเดินเข้าบ้านไป

เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ผมก็รู้สึกสะดุดตากับข้าวของบางอย่างที่เพิ่มเข้ามา…ที่ลานหน้าบ้านมีผ้าอ้อมและเสื้อเด็กเล็กๆ ตากอยู่เต็มราว! แถมยังมีเสียงทารกร้องไห้จ้าอีกด้วย ผมแอบคิด (เอาเอง) อีกว่าแม่คงไปรับเด็กมาเลี้ยงหารายได้เสริมช่วงปิดเทอมแน่ๆ

สักพักผมก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนออกมาว่า “ก้อยอุ้มลูกขึ้นซิแล้วเอานมให้กินซะ” ได้ยินอย่างนี้ผมก็ยิ่งงงมากขึ้น แทนคำตอบผมเห็นก้อยค่อยๆ อุ้มเด็กทารกขึ้นมา ผมแทบช็อกกับภาพตรงหน้าหรือว่า…เด็กคนนี้คือลูกของก้อย และนี่คือสาเหตุที่ก้อยดูอวบขึ้น!

ผมวิ่งไปหลังบ้าน ถามแม่ด้วยความโกรธสุดขีดว่า “ใครทำร้ายน้องผม”แม่ก้มหน้านิ่งเอาแต่ร้องไห้ แต่ดูเหมือนว่าน้ำตาของแม่จะหยุดผมไม่ได้อีกแล้ว เพราะผมรู้สึกว่าแม่ต้องรู้ความจริงแน่ เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมา ผมจึงคาดคั้นหนักขึ้น สุดท้ายแม่จึงตะโกนออกมาว่า “พ่อแกมันรู้ดีที่สุด อยากรู้ก็ไปถามมันที่สภากาแฟโน่น หรือไม่ก็ร้านเหล้าท้ายซอย ไม่ต้องมาถามฉัน เข้าใจไหม”

ผมตัดสินใจไปหาพ่อที่สภากาแฟก่อน ระหว่างทางมีแต่คนมองหน้าผมแล้วหันไปซุบซิบกัน หนักไปกว่านั้นบางคนยังมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ผมเร่งฝีเท้าขึ้นอีกจนกระทั่งใกล้ถึงสภากาแฟ ผมก็ได้ยินเสียงพ่อกำลังคุยกับคนในร้านอย่างออกรส แรกทีเดียวผมตั้งใจจะตามพ่อกลับมาคุยกันที่บ้าน แต่พอได้ยินเรื่องที่พ่อคุยกับเพื่อนเท่านั้น ผมก็เปลี่ยนใจยืนแอบฟังนิ่งๆ แทน

“จะเป็นไรไป หลายครอบครัวเขายังให้พี่น้องแต่งงานกันเองเลย พี่ได้น้องมีเยอะแยะไป ก้อยมันก็เป็นเด็กพิเศษ ถ้าให้แต่งกับคนอื่นฉันก็ไม่ไว้ใจหรอก คนกันเองนี่แหละ ดูแลกันดีที่สุด”

ถ้าก้อยที่พ่อพูด หมายถึงน้องก้อย น้องสาวของผม เรื่องพี่น้องได้กันที่พ่อพูดก็คงหนีไม่พ้นผม ที่เป็นพี่ชายแน่ๆ แล้ว พ่อจะพูดอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ผมรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะถามหรือต่อล้อต่อเถียงกับพ่อต่อหน้าผู้คนที่ร้านนี้ ผมจึงรีบกึ่งลากกึ่งฉุดแขนพ่อกลับบ้านทันที เมื่อถึงบ้านผมเหวี่ยงตัวพ่อเข้าไปในบ้านรีบปิดประตูแล้วรัวคำถามใส่ทันที

“พ่อพูดกับคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง ผมไม่เคยล่วงเกินน้องเลยไม่เคยแม้แต่จะคิด ก้อยเป็นลูกพ่อ ผมเองก็เป็นลูกพ่อ พ่อทำลายน้องไม่พอ ยังมายัดเยียดความผิดให้ผมอีก ทำไมพ่อถึงทำแบบนี้”

แทนที่จะอธิบายหรือขอโทษ พ่อกลับทำให้ผมช็อกหนักกว่าเก่าด้วยการตอบกลับมาว่า

“แล้วมึงจะให้กูบอกใครๆ ว่ากูเป็นพ่อเด็กเหรอ ไอ้ต่อ กูเป็นครูนะโว้ย! มึงเป็นลูกกู มึงก็รับๆ ไปเหอะ”

ผมน้ำตาไหลพราก กำหมัดแน่น ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แล้วเสียงสั่นเครือของแม่ก็ดังแทรกขึ้นมาว่า “ต่อ พ่อแกทำก้อยจริงๆ แม่ผิดเองที่ช่วยอะไรก้อยไม่ได้เลย แม่ขอโทษ” สิ้นเสียงแม่ ผมโกรธจัดจนกระชากคอเสื้อพ่อเข้ามาถามว่า

“พ่อทำอย่างนี้ได้ยังไง พ่อยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า บอกหน่อยซิ ขนาดหมาแท้ๆ มันยังไม่ทำกับลูกมันแบบนี้เลย แล้วพ่อเป็นอะไร ตอบซิว่าพ่อเป็นอะไร”

พ่อชกผมด้วยกำปั้นอย่างแรงจนเลือดอุ่นๆ ไหลออกมาจากมุมปาก เพียงเท่านั้นผมก็ฟิวส์ขาด ปล่อยทั้งหมัดทั้งเท้าใส่ผู้ชายที่ผมเคยเรียกว่า “พ่อ” ไม่ยั้งจนกระทั่งเขาสลบไป สาบานได้เลยว่าถ้าแม่ไม่เข้ามาห้าม ผมคงกระทืบพ่อตายคาเท้าแน่ๆ ให้สาสมกับความเลวของเขา ไม่ว่าบาปบุญหรืออะไร ตอนนี้ผมไม่สนใจอีกแล้ว

จากนั้นผมก็ประกาศก้องว่า “ชาตินี้ผมอยู่ร่วมชายคากับคนแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมจะพาน้องไปอยู่ที่อื่น แม่ไปด้วยกันนะ” แม่เองถึงจะเสียใจและผิดหวังกับการกระทำของพ่อมากแค่ไหน แต่ก็พูดได้แต่เพียงว่า “ต่อพาน้องไปเลย แม่ไปไม่ได้จริงๆ แต่แม่ขอร้องต่ออย่าไปแจ้งความนะลูก อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ แม่ไม่อยากให้พ่อเดือดร้อน แม่ขอร้อง”

แม่ทำให้ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วแม่รักพ่อมากกว่าลูก และรักมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมแม่ถึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับก้อย สิ่งเดียวที่แม่ทำได้ตอนนี้คือเร่งมือเก็บข้าวของเครื่องใช้ของก้อยและลูกให้เสร็จ เพื่อให้ผมพาทั้งสองออกจากบ้านก่อนที่พ่อจะฟื้น ไม่อย่างนั้นต้องเกิดเรื่องใหญ่โตกว่านี้แน่ๆ

หลังกราบลาแม่แล้ว ผมก็พาก้อยไปกรุงเทพฯ กับผมทันที ระหว่างทางผมหันไปมองดูน้องด้วยความสงสาร ท่าทางของก้อยดูเหมือนไม่มีความทุกข์ร้อนใดๆ มันยิ่งทำให้ผมยิ่งโกรธเกลียดผู้ชายคนที่ผมเคยเรียกว่า “พ่อ” มากขึ้นเท่านั้น โชคดีที่ผมยังพอรู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่บ้างจึงพยายามอดทน ไม่ย้อนกลับไปทำร้ายผู้ชายคนนั้นอีก แต่ถึงอย่างนั้นใจของผมก็ยังคงร้อนรุ่มอยู่ดี ทันทีที่ถึงกรุงเทพฯ ผมจึงตัดสินใจพาก้อยและลูกไปไหว้หลวงลุงที่ผมนับถือก่อน

เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลวงลุงก็ช่วยเตือนสติว่า

“การละโกรธ ละเกลียดอย่างที่พยายามทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ การแก้แค้นไม่มีประโยชน์รังแต่จะสร้างบาปผูกเวรกันอีกเรื่อยไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรมเถิด สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือการดูแลสองชีวิตนี้ให้ดีที่สุด เริ่มต้นกันใหม่นะลูก”

ผมน้อมรับคำสอนของหลวงลุงไว้ รู้สึกคลายความโกรธความเกลียดในใจลงไปได้ในระดับหนึ่ง ก่อนจะขอฝากก้อยและลูกไว้กับแม่ชีในวัดสัก 2 - 3 วัน เพราะอยากไปหาที่อยู่ใหม่ให้ได้ก่อน แล้วจึงจะย้อนมารับก้อยและลูกไปอยู่ด้วย

ผมรู้สึกเสียใจ ผิดหวังกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างมาก มากเสียจนไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้ชายคนนั้นอีก ผมคิดจะหลีกลี้หนีหน้าไม่ให้เขาตามเจอตัวผมได้อีก ผมจึงลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วพาก้อยกับลูกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ย่านชานเมืองของกรุงเทพฯ

ส่วนเรื่องของผู้ชายคนนั้น แม้ผมจะยังรู้สึกว่าเป็นความผิดที่ยากจะให้อภัย แต่ก็ไม่ขออาฆาตพยาบาทกันอีก ขอให้เรื่องระหว่างเราจบลงเพียงเท่านี้ ส่วนแม่ ผมก็ได้แต่หวังว่าแม่จะมีความสุขกับสิ่งที่เลือกต่อไป แต่หากวันไหนที่แม่อยากเปลี่ยนทางเดินชีวิต ผมก็พร้อมที่จะรับแม่มาดูแลอีกคน

นอกจากก้อยจะมีความสุขกับการมาอยู่กับผมและคุ้นชินกับการอยู่กรุงเทพฯ แล้ว ลูกของก้อยก็สุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีความผิดปกติอื่นๆ ด้วย ซึ่งนั่นนับเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของผม เพราะก้อยเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดมาแล้ว นับแต่นี้ไปชีวิตของน้องควรจะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามา แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็ยินดีรับหน้าที่ดูแลก้อยและลูกด้วยความเต็มใจยิ่ง

ผมจะเป็น “พี่ชายที่ดี” ของน้องให้ได้…ผมสัญญา

 

ข้อคิดจากดร.พระมหาบวรวิทย์รตนโชโต

มนุษย์มักหลงตัวเองว่าประเสริฐกว่าสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย แต่หากพิจารณาอย่างเที่ยงธรรมแล้วจะเห็นว่าคำกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกนัก เพราะมนุษย์บางคนกลับมีพฤติกรรมเหมือนสัตว์เดียรัจฉานหรืออาจแย่กว่าด้วยซ้ำไป

มนุษย์และสัตว์มีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ กิน กาม เกียรติแต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์ก็คือ ศีลธรรม จริยธรรมการมีสติปัญญาแยกแยะชั่วดี มีความข่มใจ และมีความละอายใจในการกระทำที่ผิดแผกออกไป โดยพิจารณาจากเบญจศีลและเบญจธรรม บุคคลใดรักษาศีล 5 อย่างบริบูรณ์ ไม่ด่างพร้อย ก็ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่หากใครไม่สามารถรักษาศีล 5 ได้ ก็ถือว่าเป็นคนผิดปกติ

นอกจากนั้นมนุษย์ยังพิเศษกว่าสัตว์เดียรัจฉานด้านคุณธรรมคือมีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและเหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ มีอาชีพการงานที่สุจริต มีการสำรวมระวังในเรื่องกามเรื่องเพศให้เหมาะสม มีการกล่าวคำสัตย์ คำจริง และมีสติ-สัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์

ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ การจะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีการฝึกฝนอบรม มีระดับจิตใจที่สูงส่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน มิเช่นนั้นแล้วจะทำตนเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉานที่ไม่รู้จักพ่อ ไม่รู้จักแม่ และไม่รู้จักพี่น้องหรือลูกหลาน เหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่า หากอยากเกิดเป็นโคก็ให้ประพฤติตนเยี่ยงโคหากอยากเกิดเป็นสุนัขก็ให้ประพฤติตนเยี่ยงสุนัข

 

เรื่อง : ปาปิรัส 

ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี 

สไตลิสต์ : สุธีร์ รติวัฒน์บุญญา

แบบ : รำไพพรรณ บุญพงษ์, สุรดิษ สุรัตตกุล, ชลอ เปียละออง, สมสมัย วรรณทิสูด


บทความที่น่าสนใจ

True story: เหตุเกิดเพราะความเกลียดชัง

การจากลาครั้งสุดท้ายของน้องชาย เรื่องจริงที่แสนเจ็บปวดเเละ ยากเกินอภัย

อ๋อง – พัฒนะ พันธุ์เทวะ ดาราหนุ่ม นักสู้ชีวิต ได้ดีทุกวันนี้ เพราะมีพี่ชายเป็นไอดอล

ปัญหาธรรมประจำวันนี้: พี่ชาย สอนธรรมะ จนดิฉันรู้สึกรู้สึกแย่ ทำอย่างไรดีคะ

ญาติพี่น้องนั้น สำคัญไฉน : จากพระพุทธเจ้าห้ามญาติสู่ข้อคิดที่ได้จาก เลือดข้นคนจาง

 

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.