สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์

สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ ลูกกรรมกรผู้กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพราะธรรมะ

สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ ลูกกรรมกรผู้กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพราะธรรมะ

คงไม่มีประโยคไหนอธิบายชีวิตของผู้ชายคนนี้ – สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ นักธุรกิจกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร้อยล้าน เจ้าของบริษัทแอสซิสเฮ้าส์ ได้ดีไปกว่า “แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกกำหนดชีวิตของตนเองได้”

 

 

ช่วยเล่าถึงช่วงชีวิตในวัยเด็กให้ฟังหน่อยค่ะ

ผมเป็นคนตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ ตอนเด็กอยู่กับยายเพราะพ่อกับแม่แยกทางกันแล้วเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯทั้งคู่ พ่อเป็น รปภ. แม่เป็นกรรมกร นาน ๆ ทีพ่อกับแม่ถึงจะส่งเงินมาให้ ความเป็นอยู่จึงค่อนข้างลำบาก แต่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองมีปมด้อย ผมก็ใช้ชีวิตตามประสาเด็กบ้านนอกทั่วไป

คงเพราะอยู่บ้านนอก ไม่มีเงิน ก็เก็บผักหาปลากินได้ไม่อด คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็ฐานะไม่แตกต่างกัน หลังจากเรียนจบ ม.3 ที่โรงเรียนตะคร้อพิทยา ผมได้โควตามาเรียนต่อปวช.ที่เทคนิคนครสวรรค์ จากนั้นก็กู้เงินเรียนต่อจนกระทั่งจบ ปวส. แล้วเข้ากรุงเทพฯมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน สาขาครุศาสตร์อุตสาหกรรม

ช่วงที่ผมมาเรียนกรุงเทพฯค่อนข้างลำบาก เพราะมาอยู่ช่วงแรก ๆ เงินกู้ กยศ.ยังไม่ออก แม่ก็ย้ายไปทำงานที่ชลบุรีแล้ว ส่วนพ่ออยู่สมุทรปราการ มีอยู่วันหนึ่งผมไม่มีเงินกินข้าว มีเหลือติดตัวแค่ 5 บาท เพื่อนที่อยู่ด้วยกันก็หยุดเรียนกลับบ้านต่างจังหวัด ตอนแรกผมไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วก็นึกได้ว่าตอนปิดเทอมเคยมาหาพ่อแถวอิมพีเรียลสำโรง สมุทรปราการ พอโทร.ไป พ่อบอกว่า “ไม่มีตังค์ก็มา”

ผมเลยนั่งรถเมล์แถวราชเทวีไปลงอิมพีเรียล สำโรงแล้วเดินไปอีกประมาณ 5 - 6 กิโลจึงจะถึงที่พักของพ่อระหว่างเดินผมก็คิดว่า “ความจนทำให้เราเหนื่อย ทำให้เราไม่มีความสุข” ตอนนั้นผมเกิดความฮึด เกิดแรงผลักไม่อยากจน ไม่อยากลำบากแล้ว มันฝังไว้ในหัวว่าอยากจะหลุดจากตรงนี้ แต่ยังทำอะไรไม่ได้เพราะเรายังไม่มีความรู้

หลังจากเรียนไปได้สักพัก ผมนึกได้ว่า ตอนเรียนที่นครสวรรค์เคยประกวดหนุ่มโดมอนแมน และได้รางวัลรองชนะเลิศ ปีนั้น วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ ได้เป็นหนุ่มโดมอนแมน ระหว่างประกวด เจ้าของโมเดลลิ่งแห่งหนึ่งให้นามบัตรผมไว้

ผมจึงโทร.ไปหาเขาและได้ทำงานเดินแบบตอนเรียนอยู่ปี 2 ซึ่งทำให้ได้เปิดโลกทัศน์ เห็นชีวิตของเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ ประกอบกับตอนนั้นมีพี่คนหนึ่งเอาหนังสือ Rich Dad Poor Dad พ่อรวยสอนลูก มาให้ผมอ่านจึงจุดประกายให้ผมอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จบ้าง

 

 

 

แล้วคุณเกมส์เข้าสู่วงการธุรกิจได้อย่างไรคะ

หลังจากเรียนจบ ผมไปสมัครงานหลายแห่ง แต่ไม่มีบริษัทไหนเรียกไปทำงาน ผมตกงานอยู่ 4 - 5 ปี ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่งานเดินแบบเล็ก ๆ น้อย ๆช่วงหลัง ๆ ก็แทบไม่มีเลย จึงตัดสินใจกลับไปเป็นเซลส์ขายรถยนต์ที่นครสวรรค์ ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือเพื่อพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ พอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งจึงดาวน์รถเป็นของตัวเอง และลองกู้เงินมาสร้างบ้านขาย ปรากฏว่าขายได้ ผมจึงลาออกจากการเป็นเซลส์ แล้วเอากำไรจากการขายบ้านหลังแรกมาเปิดบริษัททำหนังสือ บ้านและรถภาคกลางตอนบนและรับสร้างบ้านไปด้วย

แต่หนังสือบ้านไม่ประสบความสำเร็จ จึงเปลี่ยนไปทำหนังสือรถวัยรุ่นชื่อ รวมรถแต่ง และกลับเข้ากรุงเทพฯเพื่อหาสปอนเซอร์ลงโฆษณา หนังสือเล่มแรกขายดีมาก แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วแทบไม่มีเงินเหลือ ผมจึงหยุดทำหนังสือแล้วมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว

ช่วงนั้นผมไปเรียนต่อปริญญาโท การจัดการบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ เพราะอยากได้คอนเน็คชั่นและเพิ่มเติมความรู้ ปรากฏว่าธุรกิจรับสร้างบ้านซึ่งดีมาตลอดเกิดปัญหาเพราะลูกค้าไม่ยอมจ่ายเงิน ทำให้ผมไม่มีเงินทุนหมุนเวียน ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือน ต้องให้พนักงานออก ผมเองยังไม่มีเงินใช้ บางวันแค่ค่าน้ำมันเติมมอเตอร์ไซค์ก็ยังไม่มีได้แต่นอนอยู่กับบ้าน ตอนนั้นเครียดมาก ทุกอย่างแย่ไปหมด

ก่อนหน้านั้นช่วงที่ธุรกิจผมดี ผมขอให้พ่อออกจากงาน รปภ.มาอยู่ที่นครสวรรค์ แล้วเปิดร้านเกมให้พ่อดูแล แต่ตอนหลังก็เจ๊งไป พ่อจึงมาอยู่กับผมโดยไม่ได้ทำงานอะไรช่วงที่ธุรกิจผมล้ม วันหนึ่งเขามาขอเงินผม ผมไม่มีให้พ่อจึงไปขอเงินญาติ ญาตินอกจากไม่ให้แล้ว ยังพูดจาดูถูกต่าง ๆ นานา พ่อคงกลุ้มใจมากและไม่อยากอยู่เป็นภาระเราเขากลับไปนครสวรรค์แล้วไปผูกคอตายที่วัด ตอนนั้นผมร้องไห้หนักมาก เสียใจมาก ทั้งรู้สึกผิดและเครียดมากและจำฝังใจว่าเรื่องแย่ ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความจน

ตอนนั้นเคยคิดสั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำ วันหนึ่งผมหยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่าน รู้สึกว่าเครียดน้อยลง ผมจึงหาหนังสือของเกจิอาจารย์ต่าง ๆ มาอ่านและลองปฏิบัติด้วยตนเองมาเรื่อย ๆ หลังจากนั้นชีวิตผมก็ดีขึ้น

 

 

ธรรมะเปลี่ยนชีวิตคุณเกมส์อย่างไรคะ

พอเข้าใจธรรมะ ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือผมรู้จักการปล่อยวาง จิตมันเบาขึ้น พอปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จิตเริ่มยึดติดน้อยลง มองทุกอย่างเป็นเหตุและผล เป็นกลางทุกอย่างไม่เที่ยง มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เริ่มเข้าใจว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่เป็นแบบนี้ ทุกคนในโลกเป็นเหมือนกันหมด

ธรรมะคือความจริงของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องยาก ธรรมะไม่ใช่ทฤษฎีที่มีความซับซ้อนอะไรเลย เป็นแค่การรู้ตัว เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้านำมาใช้ควบคุมจิตใจให้มีความเสถียร ไม่หวั่นไหวกับสิ่งกระทบ ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะจิตไปยึดกับเรื่องราวต่าง ๆ ไม่รู้จักปล่อยวาง ทำให้ทุกอย่างในชีวิตพังหมดผมเรียนรู้ว่าเพียงแค่เรา “วาง” ได้ ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องเล็ก

ผมชอบพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าว่าจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ทุกครั้งก็จะได้คำตอบที่ทำให้เรารู้สึกทึ่งและศรัทธาผมฝึกโดยการดูลมหายใจ เอาจิตจับกับลมหายใจ สังเกตว่าเรากำลังหายใจเข้า หายใจออก ขณะที่ฝึกมันเกิดพลังมหาศาลโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะว่าจิตเราไม่ไปจับกับเรื่องที่เป็นลบหรือบวก จิตอยู่กับตัวเอง ไม่ถูกอวิชชาครอบ ภาษาธรรมะเรียกว่าเกิด “ดวงตาที่สาม คือดวงตาแห่งปัญญา”

 

 

การที่ต้องกลับมาทำธุรกิจแบบนี้ คุณเกมส์คิดว่าตัวเองยังอยู่ในทางสายกลางอยู่ไหมคะ

ช่วงแรก ๆ ที่ผมเริ่มทำธุรกิจ แรงผลักของผมคืออยากรวย อยากมีเงิน เพื่อตัวเองจะได้ไม่ทุกข์ อยู่สุขสบาย แต่เป้าหมายใหญ่ของการทำธุรกิจในตอนนี้คือต้องการปั้นแบรนด์ต้องการวางระบบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราทำได้ ส่วนเงินเป็นเรื่องท้าย ๆ ดังนั้นสถานะของผมตอนนี้ไม่ใช่ทางธรรม แต่ผมอาศัยความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากตรงนั้นมาใช้ในการทำธุรกิจ ในการควบคุมจิตและความรู้สึกตัวเองไม่ให้เป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย แล้วระบายอารมณ์ใส่พนักงานถ้าทำอย่างนั้นทุกอย่างพังหมด รวมถึงความกลัว ไม่กล้าตัดสินใจเป็นพลังงานด้านลบที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จคนที่มีชื่อเสียงหรือประสบความสำเร็จเข้าใจเรื่องนี้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก หรือ สตีฟ จ็อบส์ เพียงแต่เขาอาจไม่เรียกสิ่งนี้ว่า “ธรรมะ” แต่เป็นสภาวะที่เขารู้ว่าทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง เพราะจิตเป็นตัวควบคุมการกระทำ

จิตมีลบ กลาง บวก ความสำเร็จทางโลกต้องการพลังงานบวก ความสุขเป็นพลังงานบวก เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ได้ที่คุณมีความสุข บางคนเครียดทั้งชีวิต นั่นแปลว่าคุณกำลังจมอยู่กับพลังงานลบ ผลลัพธ์คือชีวิตไม่ประสบความสำเร็จแน่นอน

 

_X5A1484

 

แล้วถ้าอยากประสบความสำเร็จทางโลกจะต้องทำอย่างไรคะ

คนเราจะก้าวออกจากจุดเดิมได้มีสองแรง อย่างแรกคือ“แรงผลัก” ทุกคนที่มีชีวิตยากจนมาก่อนจะมีแรงผลัก ฉันอยากจะรวย ลูกคนรวยบางคนจึงไม่มีแรงผลัก เพราะเกิดมาสบาย พ่อแม่มีเงินทองอยู่แล้ว นั่นจึงทำให้เจเนอเรชั่นสองของบางครอบครัวล้มเหลว ดังนั้นพ่อแม่ต้องให้ลูกไปลำบากบ้างเพื่อให้มีแรงผลัก

อย่างที่สองคือ “แรงดึง” เหมือนที่ผมได้ไปเจอกับเจ้าของธุรกิจ เขาพาไปเที่ยวเชียงใหม่ นอนโรงแรมคืนละเป็นหมื่น ถ้าเป็นชีวิตผมเองคงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ลูกคนจนบางคนจึงไม่มีแรงดึง ผมเคยเขียนบ่อย ๆ ว่า “จงใช้ชีวิตให้แตกต่างและสุด ๆ” มีจนบ้าง มีรวยบ้าง บางครั้งเก็บเงินไปเที่ยวบ้าง ทำอะไรที่คนรวยเขาทำกันสักครั้งหนึ่ง พอเราได้ไปเห็น ได้ใช้ชีวิตที่ศิวิไลซ์ มันจะเป็นแรงดึงให้เราได้

การจะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีสติ “การมีสติคือการครองรู้ตัว” คนไม่น้อยเหม่อทั้งชีวิต ทุกวันเลือกจับแต่ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องหมา เรื่องเงินซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดโมโห เศร้าเสียใจ เคียดแค้นชิงชัง นั่นคือคนขาดทุนมาก ๆ เพราะเก็บพลังงานลบไว้กับตัวเอง เมื่อเกิดความเครียดจึงทำให้ไม่มีพลังพอในการแก้ปัญหาแต่ถ้าเราจัดเรียงจิตใหม่ เป็นการทำให้จิตกลับมาอยู่กับตัวเองพลังงานลบและบวกจะไม่เกิดขึ้น

จิตจะเป็นกลาง เกิดความสว่าง กระจ่าง เกิดปัญญา เรียกว่า “การมีสติ” นั่นเอง

 

เรื่อง : สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์

เรียบเรียง : กรรณิการ์ ทองคำ 

ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร 

www.facebook.com/สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์

สไตลิสต์ : ณัฏฐิตา เกษตระชนม์

ที่มา : นิตยสาร Secret


บทความน่าสนใจ

ดำเนินชีวิตด้วยหลักคิดของธรรมะ หลิน - มชณต สุวรรณมาศ

ตอนอายุ 60 ผมอยากเป็น เกษตรกรวัยชราที่ใจดี” ติ๊ก  เจษฎาภรณ์ ผลดี

นักธุรกิจรุ่นใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มิไคลา อัลเมอร์

อรรณพ จิรกิติ เจ้าของสีลมคอมเพล็กซ์ นักธุรกิจผู้คืนกำไรสู่สังคม

อาจารย์หมอประทีป ไวคำนวณ เมื่อชีวิตพลิกจากนักธุรกิจสู่การเป็นหมอจิตอาสา

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.