ขอโทษ

True story : คำ ขอโทษ ที่ป๊าไม่ได้ยิน…เรื่องจริงสุดเศร้าของลูก “บ้านใหญ่”

“ ขอโทษ ” และ “ขอบคุณ” เป็นคำพื้นฐานที่ทุกคนควรพูดให้ติดปาก ขอโทษเมื่อรู้สึกว่าตนผิดกับใครสักคน และขอบคุณเมื่อใครทำอะไรดีๆ ให้เรา แต่คำสองคำนี้คงแทบไม่มีความหมาย หากไม่ได้เอ่ยออกมาจาก “ใจ” จริงๆ

หนูชื่อ “ปัน” ค่ะ อายุ 22 ปี ครอบครัวของหนูมีสมาชิก ทั้งหมด 4 คน พ่อ แม่ ลูกสาวและลูกชายอย่างละหนึ่ง ไม่มากไม่น้อยเกินไป…ดูเป็นครอบครัวในฝันเลยค่ะ แต่ไม่นานนักลูกชายคนเล็กก็เริ่มรักสวยรักงาม มีจริตจะก้านกระเดียดไปทางผู้หญิงมากขึ้นทุกวันๆ และกลายเป็นลูกสาวคนเล็กไปในที่สุด

ลูกชายคนเล็กที่ว่านั้นก็คือ…หนูเอง! ถึงหนูจะเป็น “ไม้แปลกป่าหรือปลาที่ว่ายผิดน้ำ” ในสายตาคนข้างนอก แต่สำหรับคนในครอบครัวแล้ว เรื่องนี้แทบไม่สำคัญอะไรเลย เพราะแม้แต่ “ป๊า” ผู้ชายคนเดียวของบ้าน (ที่เหลืออยู่) ก็ยังไม่เคยบ่น ไม่เคยว่า แถมยังแนะนำหนูกับคนอื่นๆ ว่า “นี่ลูกสาวผม” มาแล้วด้วยซ้ำ

เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับหนู…แต่ที่เป็นปัญหาคือเรื่องที่หนูกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ค่ะ

ฐานะทางบ้านหนูจัดว่าดีเข้าขั้นรวยก็ว่าได้ มีทั้งเงินทองที่ดิน บ้าน อาคารพาณิชย์สะสมไว้มากมาย ทว่าเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นค่อนข้างจะ “สุขเศร้าเคล้าน้ำตา”

เวลาป๊าไม่เมาเหล้า ไม่โมโห ไม่เสียม้า ป๊าจะใจดีกับลูกๆ เสมอ อยากได้อะไร แค่เอ่ยปาก…เป็นได้หมด แต่เมื่อไรที่ป๊าเมา โมโห หรือเสียม้ากลับมา ป๊าจะเปลี่ยนเป็นคนละคนทันทีซึ่งตอนนี้แหละที่หนูว่า “น่ากลัวที่สุด” อะไรที่ว่าแย่ๆ ไม่ว่าจะการทำลายข้าวของ พูดจาหยาบคาย ด่าทอ พูดให้เจ็บช้ำน้ำใจ ป๊าทำหมด ขนาดแกล้งพูดประกาศไปทั่วว่า “แม่มีชู้” ป๊าก็เคยทำมาแล้ว…บางครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกับแม่ก็มี

ที่หนักสุดเท่าที่จำได้คือ ป๊าเคยถือมีดวิ่งไล่ฟัน แล้วก็ขู่จะฆ่าหนู พี่สาว และแม่ด้วย พร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นว่า “มึงฟังไว้นะ เดี๋ยวพอพวกมึงหลับกัน กูจะเอามีดแทงให้ตายให้หมดเลย”

ด้วยเหตุนี้ หนู พี่สาว และแม่จึงต้องวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุนไปอยู่กับคนข้างบ้านบ้าง ไปอยู่กับเพื่อนแม่บ้าง เรียกว่าค่อยๆ ขยับหนีออกไปไกลบ้าานมากขึ้นทุกทีๆ ชีวิตเราสามแม่ลูกช่วงนั้นเรียกว่า “ไม่มีความสุขเอาเสียเลย”

ในที่สุดความอดทนของแม่ก็สิ้นสุดลง แม่จึงตัดสินใจขอหย่าขาดกับป๊าโดยที่ไม่แตะต้องทรัพย์สินใดๆ ของป๊าทั้งสิ้น นอกจากขอให้ป๊าส่งเสียดูแลลูกสองคนต่อ เพราะป๊ามีความพร้อมทางการเงินมากกว่า ส่วนแม่จะกลับไปทำงานที่ต่างจังหวัด

หลังจากป๊ากับแม่หย่าขาดจากกัน ความรู้สึกเป็น “เด็กบ้านแตก” ของหนูก็ยังมีไม่มากเท่าไร จนกระทั่งป๊ามีผู้หญิงคนใหม่ก้าวเข้ามาในชีวิตในฐานะ “ภรรยาใหม่” ผู้หญิงคนนี้นอกจากจะอายุน้อยกว่าป๊าถึง 20 ปีแล้ว! บุคลิกของเธอยังดู “แรง” ใช้ได้ทีเดียว ไม่ว่าเสื้อผ้าหน้าผม การพูดจา หรือท่าทางการเดินเหิน

แม้แรกๆ หนูกับผู้หญิงคนนั้นจะดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเพราะมีจริตบางอย่างที่ตรงกัน เช่น บ้าช็อปปิ้ง บ้าของแบรนด์เนม ล้างผลาญเงิน (ป๊า) เก่งเหมือนกัน แต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นมีลูก…ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

หนูกับแม่เลี้ยงกลายเป็นคู่กัด เราทะเลาะกันทุกวันแบบไม่มีใครยอมใคร  บางครั้งก็ทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นที่หนูหยิบมีดขึ้นมาอยากจะแทงเธอให้ตายคามือก็เคยมาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอเพราะไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะพูดอะไร ป๊ามักจะเชื่อเป็นจริงเป็นจัง…จนคำพูดของหนูแทบไม่มีความหมาย ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ แม้บางเรื่องหนูจะไม่ได้ทำผิดอะไร  แต่เธอก็มีวิธีพูดเกลี้ยกล่อมจนป๊าเชื่อว่า “หนูผิดจริงๆ” จากนั้นป๊าก็จะตามมาด่าทอ ต่อว่าหนูแรงๆ ให้เจ็บใจอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ไม่ให้สตางค์ ฯลฯ

จากความน้อยใจเริ่มสะสมเพิ่มระดับเป็นความโกรธและยกระดับจนกลายเป็นความเกลียดในที่สุด ไม่ใช่แค่เกลียดเฉพาะแม่เลี้ยง แต่หนูกำลังเกลียดป๊าตัวเอง! และเกลียดมากจนถึงขั้นเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าป๊าตายหนูจะไม่เสียใจเลย จะใส่ชุดสีแดงไปงานด้วยซ้ำ!

สิ่งเดียวที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจหนูและยับยั้งไม่ให้ทำอย่างใจคิดก็คือ คำพูดจากแม่ค่ะ เพราะหนูจะโทรศัพท์คุยกับแม่ทุกวัน เล่าทุกอย่างให้แม่ฟังแบบหมดเปลือก  ทั้งเรื่องดีเรื่องไม่ดีแม่ก็จะคอยห้าม “ปันอย่าไปทำเขา อยู่ห่างๆ เขาไว้ อย่าไปยุ่งกับเขานะลูก” และแม่จะคอยสอนให้หนูรู้จักอดทนอดกลั้น

แต่ในที่สุดความอดทนของหนูก็หมดลง เพราะท่าทีของแม่เลี้ยงที่หนักข้อขึ้นทุกวันๆ นิสัยลำเอียงของป๊าก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หนูและพี่สาวจึงตัดสินใจย้ายออกไปอยู่กับแม่ ซึ่งตอนนั้นฐานะของแม่ดีขึ้นมากแล้ว

แรกๆ หนูก็มีความสุขดีที่ได้มาอยู่กับแม่ แต่ต่อมาไม่นานก็มีเรื่องมากวนใจอีก เมื่อได้รู้จากแม่ว่า “แม่นั่นผลาญเงินป๊าจนหมดตัวแล้ว” ป๊าต้องขายสมบัติทุกอย่างที่มีจนหมด ไม่เหลือแม้กระทั่งบ้านหลังที่อยู่ในปัจจุบัน ต้องไปหาบ้านเช่าอยู่แทน แต่ในที่สุดป๊าก็ทนแบกรับภาระค่าเช่าบ้านไม่ไหว

เมื่อแม่รู้เรื่องนี้ จึงรีบยื่นมือไปเข้าช่วยเหลือทันที  ด้วยการอนุญาตให้ป๊า แม่เลี้ยง ลูก และอาม่า (แม่ของป๊า) มาอยู่อาคารพาณิชย์ที่แม่ซื้อเก็บไว้ และรับหน้าที่ดูแลค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่ว่า

“แม่สงสารอาม่า (แม่ของป๊า) เพราะถ้าไม่มีอาม่า แม่ก็คงไม่มีวันนี้ ส่วนเด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ เขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ช่วยอะไรได้ก็ช่วยเขาไปเถอะลูก”

อาม่าอยู่บ้านหลังใหม่นี้ได้ไม่นานก็เสียด้วยโรคคนแก่ส่วนป๊าก็เริ่มป่วยด้วยโรคเบาหวาน ตอนนั้นหนูไม่สนใจไยดีป๊าเลย จะเป็นอะไรก็ช่าง เพราะยังโกรธเกลียดป๊าไม่หาย แต่ก็เป็นแม่อีกตามเคยที่กึ่งวานกึ่งบังคับให้หนูไปหาป๊าบ้าง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี

ภาพแรกที่หนูได้เห็นป๊า…จะเป็นเพราะหนูไม่ได้เจอป๊ามานาน หรืออาการของโรคที่รุมเร้าป๊าอย่างหนักกันแน่ที่ทำให้ป๊าดู “ย่ำแย่มาก” จนหนูนึกสงสาร แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรจู่ๆ แม่เลี้ยงก็เดินตรงรี่เข้ามาชี้หน้าด่าว่าหนูเสียๆ หายๆ จนหนูแทบตั้งตัวไม่ติด และเพียงชั่วพริบตา แม่เลี้ยงก็เปลี่ยนทีท่าเป็นยกมือขึ้นร่ายรำไปมา ยกแข้งยกขาราวกับเป็นนางรำ

ตอนนั้นความโกรธของหนูหายไปทันที พร้อมกับมีความกลัวเข้ามาแทนที่ หนูรีบออกจากบ้านป๊าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะคิดว่าแม่เลี้ยงบ้าแน่ๆ จากนั้นอาการเพี้ยนๆ ของแม่เลี้ยงก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม่ของหนูสงสารต้องพาไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา…ซึ่งทำให้หนูรู้สึกขัดหูขัดตาอีกเช่นเคย

ส่วนอาการป่วยของป๊าก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นต้อง “ตัดขาทิ้งหนึ่งข้าง” และก็เริ่มมีโรคไตแทรกเข้ามาอีกโรค คราวนี้ป๊าต้องไปนอนโรงพยาบาลเพื่อรับการฟอกไตสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง หนูจึงมีหน้าที่ต้องไปหาป๊าทุกวันหลังเลิกเรียน แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็ไม่ใส่ใจอยู่ดี อยากไปก็ไป เบื่อก็เล่นกับเพื่อน อ้อ…ลืมบอกไปค่ะว่า พออาการของแม่เลี้ยงเริ่มดีขึ้น แม้จะยังไม่หายสนิท แต่เธอก็เริ่มกลับมาซ่าอีก คราวนี้แผลงฤทธิ์กับแม่ของหนูตรงๆ จนหนูต้องขอให้แม่ช่วยไล่แม่นั่นและลูกชายออกไปจากบ้าน ก่อนที่หนูจะอดทนไม่ไหว (ซึ่งก็ไม่ยาก  เพราะป๊าหมดตัวจนไม่เหลืออะไรให้แม่นั่นสูบอีกแล้ว)

วันหนึ่งหนูไปเยี่ยมป๊าตามหน้าที่ ป๊าน่าจะเพิ่งฟอกไตเสร็จ  เลยมีอาการเบลอนิดๆ แต่อะไรก็ไม่น่าตกใจเท่ากับว่าป๊าพยายามยกขาข้างที่ตัดออกไปขึ้นมา (ยังพันผ้าพันแผลอยู่เลย) แล้วพูดว่า

“ไปซื้อรองเท้ากีฬาสีแดงให้ป๊าหน่อยนะ เราจะได้ไปวิ่งกันต่อไปนี้ป๊าจะออกกำลังกาย ป๊าจะได้แข็งแรง แล้วก็จะงดน้ำ งดผลไม้ ป๊าจะดูแลตัวเอง จะได้อายุยืนๆ อยู่กับลูกได้นานๆ”

นี่เป็นครั้งแรกที่หนูสงสารป๊าจนน้ำตาไหล เพราะอาการของป๊าตอนนี้ย่ำแย่เสียจนป๊าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกตัดขาไปแล้ว ทว่าความรู้สึกอยากให้อภัยก็ยังไม่เกิดขึ้นอยู่ดี จนกระทั่งวันที่คุณหมอบอกว่า ป๊าเหลือเวลาอีกไม่มาก หนูถึงได้ตัดสินใจไปหาป๊าที่โรงพยาบาลและค่อยๆ กราบลงที่เท้าป๊าพร้อมกับบอกว่า

“ป๊าคะ หนูขอโทษ” แต่นั่นก็เป็นแค่คำพูดที่ออกมาจากปากเท่านั้น เพราะใจหนูไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แม้กระทั่งวันรุ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าป๊าสิ้นใจแล้ว หนูก็แค่รู้สึกอึ้งเท่านั้น คิดในใจว่า “ป๊าเสียแล้วจริงๆ หรือ”

ในวันเก็บกระดูกป๊า สัปเหร่อตั้งข้อสังเกตว่า กระดูกของป๊าทำไมไม่เป็นสีขาว หรืออย่างเข้มที่สุดก็สีเทา แต่กลับเป็นสีดำ แถมยังเปราะมาก  ชนิดที่แค่ใช้นิ้วกดเบาๆ ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว!

หนูเองได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ จนกระทั่งวันหนึ่งพอได้รับโทรศัพท์จากแม่ ความสงสัยทุกอย่างก็คลี่คลายลงเพราะหลังจากป๊าเสียแล้ว แม่ได้พาคนไปช่วยกันยกข้าวของของป๊าเพื่อไปบริจาค แต่ขณะที่กำลังยกเตียงที่ป๊านอนเป็นประจำออกมานั้นเอง แม่กลับได้เจอสิ่งที่ไม่คาดฝันซ่อนอยู่ใต้เตียง

สิ่งนั้นคือตุ๊กตา 2 ตัวผูกมัดติดกันด้วยด้ายสายสิญจน์เก่าๆ เหมือนตุ๊กตาทำเสน่ห์ในละครอย่างไรอย่างนั้น!

ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ ส่วนหัวของตุ๊กตาตัวหนึ่งมีรูปภาพติดอยู่ด้วย ซึ่งภาพนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็น “รูปป๊า” ของหนูนี่เอง แถมยังมีอักขระอะไรบางอย่างเขียนเต็มตัวไปหมด

เพียงเท่านี้หนูก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า พฤติกรรมแย่ๆ ที่ป๊าแสดงออกมาตลอด ไม่ว่าจะไม่ใส่ใจเรา หรือเข้าข้างแม่เลี้ยงจนน่าเกลียด ป๊าทำไปโดยไม่รู้ตัว เพราะโดนทำเสน่ห์นี่เอง พอรู้อย่างนี้ กำแพงความโกรธเกลียดป๊าที่หนูสร้างขึ้นมาอย่างแน่นหนาก็พังทลายลงทันที

หนูอยากจะตามไปฆ่าแม่เลี้ยงให้สาสมกับสิ่งที่มันทำกับครอบครัวหนูเอาไว้ มันทำให้ป๊าหนูหมดตัว  ทำให้ป๊าป่วยหนักจนตาย และที่สำคัญ ทำให้หนูต้องเกลียดป๊า แต่ก็เป็นแม่อีกตามเคยที่พูดเตือนสติว่า

“ลูกจะไปทำเขาทำไม ทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้มีความสุขอะไรแถมยังเป็นบ้าด้วย เขาได้รับผลกรรมของเขาแล้ว แม้แต่ลูกชายของเขาเองก็ได้รับกรรมที่แม่ต้องเป็นอย่างนี้เหมือนกัน”

เรื่องผลกรรมที่แม่เลี้ยงได้รับนี้ หนูกับแม่สรุปกันว่าน่าจะเป็นเพราะสายสิญจน์ที่ผูกตุ๊กตาตรงส่วนคอขาดออกจากกันนั่นเอง จึงทำให้ “ของที่ทำเสื่อม” ความเลวร้ายต่างๆ ถึงได้ย้อนกลับไปทำลายตัวคนทำ ฝ่ายแม่เลี้ยงเองคงพอจะรู้แล้วว่าอาการบ้าของตัวเองต้องแก้ไขอย่างไร จึงย้อนกลับมาหาแม่เพื่อขอตุ๊กตาคืน โชคร้ายว่าแม่นั่นมาสายเกินไป เพราะแม่ของหนูเอาตุ๊กตาลอยน้ำทิ้งไปแล้วนับตั้งแต่วันนั้น แม่นั่นจึงต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง และจากนั้นมาก็ไม่มีใครได้ข่าวหรือพบเห็นแม่เลี้ยงที่บ้าๆ บอๆ และลูกชายเล็กๆ ของเธออีกเลย

ความรู้สึกผิดอัดแน่นอยู่ในใจหนูจนแทบจะระเบิด ถ้าป๊ายังอยู่ วันนี้หนูคงทรุดตัวลงร้องไห้กราบเท้าป๊าเป็นร้อยๆ ครั้ง หนูเสียใจที่ปล่อยให้ความโกรธความเกลียดเข้าครอบงำจนทำสิ่งที่ลูกไม่สมควรทำกับพ่อมานานเป็นสิบๆ ปี เสียใจที่ละเลยไม่เคยดูแลป๊า มองป๊าแบบผิดๆ ฯลฯ แต่ความจริงก็คือความจริง เมื่อป๊าจากหนูไปแล้ว สิ่งที่หนูทำได้ตอนนี้คงมีแต่เอ่ยคำขอโทษออกมาจากใจจริงเท่านั้น…

“ป๊าคะ หนูขอโทษ”

หนูไม่รู้ว่าป๊าจะได้ยินหนูไหม แต่หนูเชื่อว่าป๊าคงไม่โกรธหนู หนูตั้งใจว่าชีวิตต่อจากนี้ หนูจะไม่ปล่อยให้ความโกรธเกลียดเข้าครอบงำจิตใจอีกแล้ว หนูจะใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่คิดจองเวรใคร เพราะใครทำสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น และหนูจะทำบุญ ทำความดีอุทิศให้ป๊าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 หนูเพิ่งรู้ตัวว่า จริงๆ แล้วหนูรักป๊าไม่น้อยไปกว่าแม่เลย ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้หนูกับป๊าได้เกิดเป็นพ่อลูกกันอีกนะคะ


คำแนะนำจากพระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ

เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่แต่ละคนทำไว้ เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ไม่ควรเอามาย้ำคิดย้ำจำให้เศร้าหมองไม่เกิดประโยชน์ แต่ควรเอามาสอนใจว่า “ไม่ทำความชั่วทำแต่ความดี และอโหสิกรรมให้กันเสีย” แล้วควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับบ่อยๆ ทั้งเวลาทำทาน (บุญ) หรือสวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วแผ่เมตตาให้ หากได้ปฏิบัติธรรมด้วยก็จะดี เพราะมี “พลังบุญสูง” ที่จะส่งให้ผู้ล่วงลับได้

อนึ่ง ไม่ควรจะอธิษฐานว่า ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นพ่อลูกกันอีก เพราะชาติหน้าต่างคนต่างสถานะกัน แต่ควรอธิษฐานว่า ชาติหน้าถ้าพบกัน ก็ขอให้ได้เกื้อกูลกัน  ทำแต่สิ่งดีๆ ให้กัน อย่าทำร้ายกัน สำหรับกรณีนี้หนูปันมีบุญที่ได้แม่เป็นคนดี ควรเอาท่านเป็นแบบอย่างและเชื่อฟังคำสอนของท่าน

 

เรียบเรียงโดย วรลักษณ์  ผ่องสุขสวัสดิ์

Photo by Eric Ward on Unsplash

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.