เมื่อมีลูกคนแรก ตุ๊ก (ชนกวนัน รักชีพ) ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับลูก เรียกว่า “บ้าเลี้ยงลูก” มาก ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้แบ่งหน้าที่ของภรรยาและแม่ของลูกได้ไม่สมดุลกัน
ถึงอย่างนั้นสามีก็ไม่เคยตำหนิหรือขอให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้ตุ๊กมั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นดีมากแล้ว ช่วงนั้นพี่บ๊วยให้หยุดทำงานเพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียว ชีวิตครอบครัวของเรามีความสุขมาตลอด จนตั้งท้องลูกคนที่สอง ช่วงตั้งท้องเดือนที่แปด จู่ ๆ วันหนึ่งตุ๊กก็รู้สึกแปลก ๆ ไปเองว่า “นี่เรามีความสุขมากไปไหมนะ” เพราะในขณะที่เพื่อนมีปัญหาทะเลาะกับแฟนบ้าง สามีมีผู้หญิงอื่นบ้างหรือมีปัญหาเรื่องเงินทอง แต่ชีวิตเรากลับดูราบเรียบไม่มีปัญหาอะไรเลย
เมื่อคลอดลูกคนที่สอง ตุ๊กต้องอยู่ไฟทุกวันตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น เวลาที่เหลือก็ยุ่งอยู่กับการให้นมลูก และดูแลเลี้ยงลูกเองทุกขั้นตอนเหมือนเดิม ช่วงหนึ่งเดือนที่อยู่ไฟนี้เริ่มรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอหน้าพี่บ๊วยเลย ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความห่างเหินและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ที่สุดของความเสียใจ
ในวันแรกที่รู้แน่ชัดแล้วว่าชีวิตครอบครัวมีปัญหา ตุ๊กนอนไม่หลับทั้งคืน ทั้งที่ปกติเป็นคนนอนหลับง่ายมาก ขนาดที่นับหนึ่ง สอง สามแล้วหลับได้ทันที เรียกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นอนไม่หลับ เพราะกังวลคอยแต่รอจังหวะที่จะได้คุยกันให้หายค้างคาใจว่าเขาเปลี่ยนไปจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้รับคือ เขาขอยกเลิกสถานภาพสามีภรรยาด้วยการหย่า
วินาทีนั้นตุ๊กหนาวสั่นไปหมด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดไว้เลย ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดกับตัวเอง เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ตุ๊กไม่เคยรู้สึกถึงความระหองระแหงในชีวิตคู่ อีกทั้งเราก็เพิ่งมีลูกคนที่สองด้วยกัน และก่อนหน้านั้นไม่นานก็วางแผนจะมีลูกคนที่สามด้วย จึงไม่น่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้
ตุ๊กพยายามหาเหตุผลมาพูดคุยกับเขาอยากให้เขาลองคิดทบทวนดูใหม่ และคิดห่วงไปถึงลูกทั้งสองคน เพราะไม่อยากให้เติบโตในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ว่าจะหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาพูดคุยอย่างไรคำตอบก็คือ เขาต้องการยกเลิกการเป็นสามีภรรยาของเราจริง ๆ แต่เขายังรักและพร้อมดูแลลูกทั้งสองคนเหมือนเดิม
เช้าวันนั้นตุ๊กรู้เลยว่าสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองย่ำแย่มาก และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โทร.หาแม่ว่า
“แม่ช่วยมาดูลูกให้ตุ๊กหน่อยนะ ตุ๊กไม่สบายมาก อุ้มลูกไม่ไหว”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ แม่ก็รู้เลยว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ เพราะปกติตุ๊กไม่ยอมขอให้ใครมาช่วยดูแลลูก พอแม่มาที่บ้าน ตุ๊กกลับนิ่งเงียบ ไม่เล่าอะไรให้ท่านฟังทั้งสิ้น จนแม่ต้องโทร.ไปถามเขาจึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด
กลายเป็นว่าที่เราคิดว่าทำหน้าที่ภรรยาและแม่บ้านอย่างดี ทุกอย่างผิดไปหมดชีวิตคู่ที่ดูมั่นคงมาตลอดกลับเปราะบางมากแต่ตัวเราไม่เคยสังเกตเห็นเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และคิดเอาเองว่าไม่มีอะไร แต่อีกฝ่ายกลับเก็บรายละเอียดเหล่านี้ไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
หลังเหตุการณ์วันนั้น ตุ๊กพยายามยื้อเวลารอให้เขาเปลี่ยนใจ และประคับประคองชีวิตคู่ให้ดีที่สุด แม้จะต้องทนทุกข์ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงและเฉยชาอยู่ทุกวัน เป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก แต่ก็ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งให้ลูก เพราะรู้ว่าความรู้สึกของแม่กับลูกเชื่อมต่อกันตลอดเวลา ไม่อยากให้ลูกมารับรู้ความทุกข์ของเราแม้สักเล็กน้อย
จนวันหนึ่งได้ปรึกษาพี่ที่เคารพในวงการท่านหนึ่งที่รับรู้เรื่องชีวิตคู่ของเรามาตลอด เขาบอกว่า
“ตุ๊ก มนุษย์เราเปลี่ยนแปลงได้ทุกวันนะ”
พอได้ยินประโยคนี้ ตุ๊กเข้าใจทันทีและได้คำตอบที่เคยถามตัวเองมาตลอดว่าทำไมชีวิตเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เพราะจริง ๆ แล้วมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ไม่ใช่แค่คนข้างกายเราที่เปลี่ยนไป ตัวเราก็เองก็เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อพอจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ตุ๊กจึงทำตามที่เขาต้องการด้วยการเซ็นใบหย่าให้และมั่นใจว่าเราไม่ได้รู้สึกโกรธเขา
มองทุกข์และสุขอย่างเข้าใจ
ความล้มเหลวในชีวิตคู่ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ราบเรียบมาตลอดของตุ๊ก แต่ก็สอนให้เข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น เข้าใจว่า ความทุกข์และความสุขเกิดขึ้นเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น หากวันนี้เราเจอความทุกข์ เราก็ต้องเดินผ่านไปให้ได้ เพราะเมื่อผ่านพ้นความทุกข์ไปแล้ว เราอาจเจอความสุข แต่ความสุขนี้ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เพราะสุดท้ายเราก็ต้องผ่านไปพบกับความทุกข์อีกครั้งอยู่ดี ชีวิตเราต้องพบเจอทั้งทุกข์และสุขอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
เมื่อเริ่มเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ตุ๊กจึงมีความสุขได้ง่ายขึ้น ด้วยการไม่พิรี้พิไรกับความทุกข์ เพราะจริง ๆ แล้วความทุกข์นั้นอาจเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่เรากลับนำมันมาทำร้ายตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ ด้วยการนำความทุกข์นั้นมาคิดซ้ำไปซ้ำมา เราต้องดึงสติให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะการกังวลอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้วและฝันเฟื่องถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงไม่ได้ช่วยให้ปัจจุบันของเราดีขึ้นเลย
ตุ๊กยังจำได้ถึงวันที่ต้องไปทำงานวันแรกหลังจากที่หยุดเลี้ยงลูกมานาน วันนั้นแม่โทร.มาบอกว่าลูกไม่ยอมกินนมจากขวด เพราะไม่เคยให้นมแม่ด้วยขวดนมมาก่อน เวลานั้นทุกอารมณ์ความรู้สึกถาโถมเข้ามาหมด ทั้งเสียใจที่ไม่ได้อยู่เลี้ยงลูก แล้วก็พาลโกรธทุกอย่างที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องเตือนตัวเองว่า กังวลไปก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกยอมกินนม และงานตรงหน้าก็ทำได้ไม่ดีไปด้วย ต้องตัดความกังวลทั้งหมดออกไปและกลับมาทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ชีวิตที่มีความสุขง่ายขึ้น
ช่วงเวลาที่ต้องพบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส ตุ๊กโชคดีที่ได้กำลังใจจากคนรอบตัวเยอะมาก และที่สำคัญคือ มีกัลยาณมิตรที่ดีอย่าง “พี่โอ๋” (ชนาธิป นิติภานนท์)พี่สาวซึ่งเป็นลูกของพ่อบุญธรรมที่คอยอยู่เคียงข้างตุ๊กเสมอ
ตุ๊กได้เรียนรู้การใช้ชีวิตหลายอย่างจากพี่โอ๋ จากเป็นคนที่ต้องทำทุกอย่างให้เป๊ะชอบวางแผนอนาคตไว้ไกล ๆ พี่โอ๋สอนให้ตุ๊กรู้จักผ่อนปรนและปล่อยวาง ด้วยการ “รู้จักคิดถึงชีวิตแบบระยะสั้น แบบวันต่อวัน หรือวางแผนชีวิตไม่เกินสามปีห้าปี” ไม่น่าเชื่อว่าแค่เรื่องธรรมดา ๆ นี้จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะไม่ต้องคอยเครียดว่าต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปอย่างใจเสมอ แม้แต่เรื่องการเลี้ยงลูก ตุ๊กก็ทุ่มเทเต็มร้อย ดูแลให้ความรักความเข้าใจไปตามวัยอย่างดีที่สุด เพื่อที่ในอนาคตเขาจะสามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้โดยที่เราไม่คาดหวังมากเกินไป
นอกจากนี้ตุ๊กยังมีโอกาสได้ไปเป็น“ชาวนา” จากการที่ได้ไปช่วยคุณพ่อบุญธรรมดูแลการปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ที่สุธาทิพย์ฟาร์ม อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีตุ๊กมีความสุขที่ได้มาเรียนรู้วิถีชีวิตของเกษตรกรได้พาลูก ๆ มาลองใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติและที่สำคัญคือ เป็นการฝึกให้ตัวเองใช้ชีวิตช้าลง เพราะในระหว่างดำนา เก็บเกี่ยว หรือแม้แต่การบรรจุหีบห่อ ทุกขั้นตอนต้องอยู่กับตัวเองและใช้สมาธิอย่างมาก จิตใจของเราจึงนิ่งและสงบมากขึ้น
ทุกวันนี้มุมมองชีวิตเปลี่ยนไปมากตุ๊กเริ่มรู้จักศิลปะในการรับมือกับความทุกข์และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ง่ายขึ้น แม้ที่ผ่านมาต้องเจ็บปวด แต่ก็คุ้มที่ทำให้เข้าใจชีวิตได้ดีขึ้นเช่นกัน
เรื่อง ชนกวนัน รักชีพ เรียบเรียง เชิญพร คงมา ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ ผู้ช่วยช่างภาพ พรพรรษา อรคามิน, ภัณทิลา ทนงคงสวัสดิ์