สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (2)

ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (2)

ชีวิตของตา ( สุรางคณา สุนทรพนาเวศ ) อยู่ใกล้วัดใกล้วามาตั้งแต่เด็กเพราะวิ่งเล่นอยู่ในวัดบูรพารามซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ทำให้มีโอกาสได้เจอหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ศิษย์ของหลวงปู่มั่นที่ยังมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น

กว่าที่พวกเราจะเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้นั้นเราต้องเหยียบย่ำคนมาตั้งเท่าไหร่…เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเราเรียนเพื่อตัวเอง แต่จงเรียนเพื่อคนอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาส และนำความรู้ที่ได้ไปช่วยพวกเขา

ตาเป็นเด็กที่ซนมาก ชอบเที่ยวเล่นไม่เคยรับรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ต้องสำรวมระวัง ไปวัดก็ไปวิ่งเล่นโป้งแปะกับเพื่อน จำได้ว่าที่วัดบูรพารามมีต้นหูกวางเยอะและมีกุฏิพระอยู่โดยรอบ

วันนั้นตาก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนเหมือนทุกวัน ขณะที่วิ่งไล่กันอยู่นั้น ตาก็วิ่งหนีไปจับชายผ้าเหลืองของพระรูปหนึ่งที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ โดยที่ไม่ทราบเลยว่าท่านคือหลวงปู่ดูลย์ พระภิกษุผู้มีปฏิปทาสูงเป็นที่เคารพนับถือของพระบรมวงศานุวงศ์และบุคคลทั่วไป แต่หลวงปู่ดูลย์มีเมตตาสูงมาก ท่านพูดกับเด็กหญิงตาในวันนั้นว่า“เป็นผู้หญิงจับจีวรพระไม่ได้นะ”

เมื่อโตขึ้น เล่าให้ใครฟังมีแต่คนบอกว่าเป็นบุญของตา และนั่นก็คงเป็นความจริง ตาคงเคยทำบุญมาบ้าง เพราะหลังจากนั้นต่อให้ชีวิตพลิกผันไปอย่างไร ตาก็ได้ประสบแต่สิ่งที่ดี มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชูเสมอมา

 

บ้านนอกเข้ากรุง

ตอนเด็ก ๆ ตาอยู่กับยายที่จังหวัดสุรินทร์ พอเริ่มเข้าเรียน ป.3 แม่ก็รับมาอยู่ที่กรุงเทพฯด้วยกัน แต่อยู่กับแม่ได้ไม่นาน ผู้จัดการร้านคอฟฟี่ช็อปที่แม่ทำงานอยู่ก็ขอตาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เพราะสามีภรรยาคู่นี้ไม่มีลูก ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด เมื่อเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตาก็กลายเป็นเด็กไม่มีความมั่นใจ ที่เคยกล้าพูด กล้าเล่นก็กลายเป็นเด็กขี้อาย ร้องไห้เก่ง และไม่กล้าพูด

จำได้ว่า สมัยเด็ก ๆ ตาเกลียดวิชาภาษาอังกฤษมาก เพราะเรียนไม่ทันเพื่อน ด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอก เขียนได้แค่เอบีซี แต่วันแรกที่เข้ามาเรียนกรุงเทพฯครูสั่งให้เขียนชื่อวันทั้งเจ็ดเป็นภาษาอังกฤษ ตาเขียนไม่ได้เลยถูกทำโทษ พอกลับบ้านไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็เลยช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ พอถึงชั้น ป.6 จากเด็กเรียบร้อยที่โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งเป็นประจำ ตาก็ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองด้วยการเลือกเรียนวิชาเนตรนารี และสมัครเป็นสารวัตรนักเรียน เป็นจราจรโรงเรียน คอยดูแลให้คนข้ามถนน  ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้ นอกจากนั้นว่าง ๆ ยังไปเตะบอลกับเพื่อนผู้ชายด้วยเพราะไม่อยากให้เขามาแกล้งเราอีก

หลังจากจบ ป.6 ตาก็เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง เป็นโรงเรียนหญิงล้วนที่มีชื่อเสียง อยู่แถวสุขุมวิท 22 สมัยก่อนสุขุมวิทไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ สองข้างทางยังเป็นทุ่งนาเล้าหมู เวลาจะไปเรียนก็ต้องนั่งรถสองแถวจากปากซอยเข้าไป

ชีวิตวัยเรียนของตาค่อนข้างสนุกสนานตาเป็นคนเรียนระดับปานกลาง แต่ชอบทำกิจกรรม เป็นทั้งนักวิ่ง นักยิมนาสติกแต่พอขึ้น ม.4 ชีวิตก็ต้องพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง

 

 

สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

 

ตามสูตรสู่ดวงดาว 

วันหนึ่งตาไปเดินเล่นแถวสยามฯแล้วไปเจอโมเดลลิ่ง ตามสูตรของการเป็นดารายุคนั้นเป๊ะ หลังจากนั้นก็มีงานถ่ายแบบถ่ายโฆษณาตามมามากมาย งานแรกได้ถ่ายโฆษณาน้ำอัดลม ตามด้วยโฆษณาฟิล์มถ่ายรูป และด้วยความที่มือสวย ฟันสวย ตาก็ได้งานโฆษณาแบบที่ใช้มือของเราไปจับหน้าคนอื่น ได้ถ่ายโฆษณายาสีฟันที่เป็นภาพยิ้มเห็นฟันอยู่ข้างกล่อง

เมื่อเข้าวงการก็เริ่มมีเงินจ่ายค่าเทอมของตัวเอง งานแรกได้เงินถึง 20,000 บาท หลังจากนั้นเมื่ออายุ 18 ปีก็ได้รับเลือกให้เป็นอิมเมจเกิร์ลของผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องจากประเทศฝรั่งเศสยี่ห้อหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ เวลามีการแข่งรถต้องไปยืนถือร่มที่สนามแข่ง เซ็นสัญญาทำงานหนึ่งปี ได้รับเงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท

นอกจากนั้นตอนอยู่ ม.6 บังเอิญมีพี่เลี้ยงนางงามชวนไปประกวดนางนพมาศที่สมุทรปราการ พอได้ตำแหน่งก็ไปประกวดนางสงกรานต์วิสุทธิกษัตริย์ ซึ่งเป็นงานประกวดนางสงกรานต์ที่ดังมาก แล้วไปจบด้วยการประกวดนางสาวไทย

ความจริงตามีแววด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆเพราะตาชอบถือไม้กวาดอยู่หน้ากระจกแล้วพูดว่า “สุรางคณา คัมฟรอมไทยแลนด์”

ตอนอายุ 14 กลับไปเยี่ยมยายที่จังหวัดสุรินทร์ท่านก็ให้เป็นนางเทียน ใส่ชุดไทยนั่งบนรถแห่เทียนพรรษาของวัด เรียกว่าก่อนประกวดนางสาวไทยตาผ่านมาหลายเวทีมาก แม้กระทั่งสาวแพรวก็เคยประกวดมาแล้ว เป็นรุ่นเดียวกับ คุณหน่อย - บุษกร วงศ์พัวพันธ์ปีนั้นพี่หน่อยได้ตำแหน่ง ส่วนตาได้เป็นรองสาวแพรว

แม้ว่าจะทำกิจกรรมมากมาย แต่ตาก็ยังเป็นคนที่รักเรียน จบ ม.6 แล้วก็สอบเข้าเรียนต่อที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สมความตั้งใจและชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยก็ให้อะไรตามากมายจนถึงทุกวันนี้

 

สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

 

คำสอนของธรรมศาสตร์ 

สมัยก่อนการประกวดนางสาวไทยได้รับความสนใจมาก แต่แทบจะไม่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยปิดเข้าประกวดเพราะต้องใส่ชุดว่ายน้ำ จึงเสี่ยงกับการถูกไล่ออก ตาน่าจะเป็นผู้เข้าประกวดที่มาจากมหาวิทยาลัยปิดยุคแรก ๆ ก็ว่าได้

ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ตาไม่มีอะไรทำเลยลองเข้าประกวดดูเล่น ๆ แอบไปโดยไม่บอกเพื่อน ไม่บอกแฟน กะว่าถ้าตกรอบจะได้ไม่ต้องอายใคร แล้วสมัยก่อนคนเข้าประกวดนางงามต้องทำผมทรงฟาร์ราห์แต่ตากลับตัดผมสั้น โอกาสเข้ารอบน้อยมาก เรียกว่าเป็นม้ามืดเลยทีเดียว ยิ่งรอบที่ให้แสดงความสามารถพิเศษ ตาก็ไม่มีอะไรไปโชว์เลยสักอย่าง คนอื่นรำไทย เล่นเปียโน เต้นบัลเลต์ ตาทำได้อยู่อย่างเดียวคือ พูดเก่ง เลยขอเป็นพิธีกรคู่กับเพื่อนอีกคนในเวทีประกวดนางสาวไทย

ผลปรากฏว่า ปีนั้น คุณยลดา รองหานาม ได้เป็นนางสาวไทย และตาได้เป็นรองนางสาวไทยอันดับ 4 แบบที่ไม่มีใครคาดหมาย เพราะเป็นรองนางสาวไทยที่ตัดผมสั้น คุยเก่ง ไม่ได้มีบุคลิกเรียบร้อยอย่างรุ่นก่อน ๆ เลยแม้แต่น้อย

พอได้รับตำแหน่งก็กลายเป็นที่รู้จักของเพื่อนในมหาวิทยาลัย แต่ตาก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่ได้แบ่งรวยจน ทุกคนเป็นเพื่อนกันได้หมด ตาได้รับคำสอนดี ๆ จากธรรมศาสตร์ที่นำมาใช้ในทุกวันนี้หลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะการทำอะไรเพื่อคนอื่น

เทอมแรกของการเรียน รุ่นพี่พาตาและเพื่อน ๆ ไปทำกิจกรรม “รับเพื่อนใหม่”ที่หาดแม่รำพึง การรับน้องที่นี่ไม่โหด เราเน้นทำกิจกรรมที่สนุกสนานและผูกสัมพันธ์มากกว่า จำได้ว่า เย็นวันนั้นหลังจากที่พี่ ๆ แกล้งให้น้องทำนั่นทำนี่จนเหนื่อยแล้ว พวกเขาก็มานอนเรียงคว่ำหน้าอยู่บนชายหาดแล้วให้น้องเดินเหยียบหลังข้ามไป พี่ ๆถามพวกเราว่า รู้ไหม ทำไมถึงให้ทำอย่างนี้ส่วนใหญ่เราจะตอบว่า เพราะพี่ ๆ อยากบอกว่าธรรมศาสตร์สอนให้เราทุกคนมีความเท่าเทียมกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

พี่ที่เป็นหัวหน้าบอกกับพวกเราว่ากว่าที่พวกเราจะเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้นั้น เราต้องเหยียบย่ำคนมาตั้งเท่าไหร่ หนึ่งต่อหนึ่งพันคน หนึ่งต่อหนึ่งหมื่นคน มีลูกตาสีตาสาลูกชาวไร่ชาวนาอีกมากมายที่เขาอยากมาเรียนที่นี่ แต่ไม่มีโอกาส แล้วเงินที่เราใช้เรียนก็มาจากภาษีของประชาชน เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเราเรียนเพื่อตัวเองแต่จงเรียนเพื่อคนอื่น ๆ ที่ไม่มีโอกาส และนำความรู้ที่ได้ไปช่วยพวกเขา ตาประทับใจคำสอนของธรรมศาสตร์มาก และใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน

หลังจากประกวดนางสาวไทยแล้วตาก็เข้าสู่วงการบันเทิง เป็นพิธีกร เล่นละคร และที่ดังเป็นพลุแตกก็ตอนรับบทเป็นผู้หญิงขายตัวในละครเรื่อง คุณหญิงนอกทำเนียบ ที่มี นุสบา ปุณณกันต์เป็นนางเอก คุณแดง - สุรางค์ เปรมปรีดิ์จับพลิกบทบาทแบบสุดขั้ว จากนางงามมาเป็นนางร้ายปากจัดจนคนอินกันทั่วบ้านทั่วเมือง

แต่ดังเป็นพลุแตกได้ไม่นาน ตาก็ทิ้งชื่อเสียงเงินทองในฐานะดาราไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ทำไมจึงเป็นประเทศนี้ เดี๋ยวตาจะเล่าให้ฟัง… (โปรดติดตามตอนต่อไป)

 

ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 134

เรื่อง : สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

ผู้เขียน/ผู้แต่ง : เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ

ภาพ : ฝ่ายภาพ อมรินทร์พริ้นติ้งฯ


บทความน่าสนใจ

ไฮดี แมคเคนซี นางงามวีลแชร์ กับแฟชั่นผู้พิการ

ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข…สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (3)

ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (จบ)

ชีวิตนี้ไม่เสียชาติเกิด ครูลิลลี่ กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์

มารีญา พูลเลิศลาภ งามจิตใจด้วยธรรมะ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.