มากไปคือไม่รับ! บุคคล 3 จำพวกที่หันหลังให้ พระพุทธเจ้า เช็คเลยว่าใช่คุณไหม?

2.พระฉันนะ ผู้มีความ “เชื่อมั่นมากไป”

 

พระฉันนะไม่ใช่คนอื่นคนไกล หากแต่เป็นอดีตมหาดเล็กคู่พระทัยตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ยังทรงครองฆราวาสวิสัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง ภายหลังนายฉันนะได้เข้าบวชพร้อมกับเจ้านายในศากยวงศ์แต่กลับไม่บรรลุธรรมด้วยเหตุว่า ขณะที่เจ้านายองค์อื่นๆ ต่างตั้งหน้าปฏิบัติธรรมจนได้เป็นพระอรหันต์ พระฉันนะกลับมีวิธีคิดที่ต่างออกไป

ท่านถือว่าตัวเองนั้นเป็น “ข้าเก่าเต่าเลี้ยง” ในระดับ “เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตรลบ…” แปลตรงๆ คือท่านถือว่าตัวเองรู้จักพระพุทธเจ้าดีกว่าใครทั้งหมดทั้งสิ้น และในเมื่อรู้จักดีอยู่แล้ว จึงเฉยๆ กับสิ่งที่พระองค์ทรงเทศน์ทรงสอน ถือเสียว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะอย่างไรก็เคยสนิทเสวนากับพระองค์มาก่อนคนอื่นทั้งสิ้น นั่นทำให้ท่านจึงเป็นได้อย่างดีก็แค่ “ป้ายบอกทาง” ของคนที่เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้าเท่านั้น กล่าวคือ ทุกวันท่านจะนั่งรับแขกอยู่ตรงหน้าสถานปฏิบัติธรรม คอยตอบคำถามรายวันว่า พระพุทธองค์ทรงอยู่ ไม่ทรงอยู่ หรือทรงอยู่ตรงไหนเท่านั้น

ทุกวันพระฉันนะจะนุ่งห่มเรียบร้อย นั่งเป็นฝ่ายปฏิคมคอยต้อนรับแขกอยู่หน้าวัด ไม่สนใจใฝ่ฟังธรรม ท่านทำของท่านอยู่อย่างนั้น โดยไม่เคยสนใจฝึกหัดพัฒนาตนเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งพระพุทธองค์ทรงล่วงลับดับขันธ์ ท่านจึงเริ่มรู้สึกตัว เพราะคณะสงฆ์ทั้งวัดไม่มีใครสุงสิงกับท่านเลย ท่านรู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตนอีกต่อไป จึงไปถามพระอานนท์ พุทธอนุชา

พระอานนท์อธิบายว่า พระพุทธองค์ทรงสั่งไว้ว่า ตอนที่ยังอยู่ ท่าน (ฉันนะ) ไม่เคยสนใจฟังพระธรรมคำสอน ดังนั้นหากพระองค์ทรงล่วงไปแล้ว ก็ขอให้สงฆ์จงลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ ด้วยการปล่อยให้ท่านใช้ชีวิตตามอัธยาศัย ท่านจะทำอะไรก็ปล่อยท่านไป สงฆ์ทั้งปวงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับท่านอีกต่อไป (“พรหมทัณฑ์” เป็นการลงทัณฑ์แบบพรหมหรือแบบผู้ดี = การไม่ยอมรับ ไม่สนใจในความมีอยู่ของบุคคลคนนั้น) พอรู้ว่าท่านถูกสั่งลงพรหมทัณฑ์ พระฉันนะถึงกับเป็นลมสลบไปทันที

เมื่อฟื้นขึ้นมา ท่านจึงได้คิดว่าตัวเองพลาดตรงไหน นับแต่นั้นก็เริ่มต้นปฏิบัติธรรม ปรากฏว่าใช้เวลาไม่นานก็ได้เป็นพระอรหันต์สมใจ แสดงว่าเดิมท่านเป็นคนฉลาดมาก แต่ที่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็เพราะท่านเชื่อมั่นในความฉลาดของตัวเองมากเกินไป

อาการอย่างนี้ท่านเรียกว่า “อติบัณฑิต” คือเป็นปัญญาชนเลยเถิด ฉลาดมากเกินไปจนไม่เห็นหัวใครแม้แต่พระพุทธเจ้า

อาการอย่างนี้อาจเข้ากับสำนวนที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” ตอนที่พระพุทธองค์ยังอยู่ไม่เคยสำนึก พอพระองค์ทรงล่วงไปแล้วนั่นแหละเพิ่งนึกขึ้นมาได้

ในสังคมของเรา คนฉลาดเกินไปอย่างนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไป เที่ยวใช้ปัญญาของตนฟาดฟันคนอื่นเขาไปทั่ว เข้าใจเอาเองว่าตนเท่านั้นฉลาดที่สุด หลักแหลมที่สุด รอบรู้ที่สุด กล้าหาญที่สุด ใครต่อใครข้าก็วิพากษ์วิจารณ์ได้ทั้งนั้น หารู้ไม่ว่าในขณะที่กำลังภูมิใจในความเป็นปัญญาชนของตัวเองอยู่นั้น พอรู้สึกตัวอีกทีหนึ่งก็พบความจริงว่าไม่มีเพื่อนเหลืออยู่รอบกายเลยแม้แต่คนเดียว ไม่แต่เพียงเท่านั้น ทุกครั้งที่ตั้งท่าวิพากษ์วิจารณ์ใครต่อใคร เขาก็ได้เพิ่มจำนวนศัตรูขึ้นมาอย่างมากมายโดยไม่รู้สึกตัวอีกต่างหาก

ที่สำคัญเมื่อตั้งท่าเป็นผู้รู้เสียแล้ว ก็จักไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรจากใครอีก เพราะใครต่อใครก็ไม่กล้าสอน เหมือนที่พระพุทธองค์ทรงทิ้งพระฉันนะ เพราะพระฉันนะถือว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว

อ่านต่อหน้า 3

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.