เคยมีการสอบถามผู้คนว่า จะเลือกข้อไหน ระหว่าง
ก) ได้เงิน 5,000 แต่เพื่อนร่วมงานได้ 3,000
ข) ได้เงิน 10,000 แต่เพื่อนร่วมงานได้ 15,000
คนส่วนใหญ่เลือกข้อ ก) ทั้งๆที่ตัวเองได้แค่ครึ่งเดียวของข้อ ข) เหตุผลนั้นมีประการเดียวคือ ต้องการได้มากกว่าคนอื่น ส่วนจำนวนนั้นเป็นเรื่องรอง พูดอีกอย่างก็คือ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่าตนมีเท่าไร แต่ขึ้นอยู่กับคนอื่นว่ามีเท่าไรต่างหาก ตราบใดที่เขามีมากกว่าฉัน ฉันก็ไม่มีความสุข ความคิดเช่นนี้แหละเป็นที่มาของความทุกข์ของคนทุกวันนี้ เพราะไม่ว่าจะได้มากเท่าไร ก็ต้องมีคนอื่นที่ได้มากกว่าเราเสมอ ตราบใดที่เราไม่เลิกเปรียบเทียบกับคนอื่น เราจะหาความสุขไม่ได้เลย แม้จะมีโชคได้แหวนเพชรเม็ดงามก็ยังทุกข์ หากรู้ว่าคนอื่นได้เพชรเม็ดใหญ่กว่าหรือแพงกว่า มีรถราคาเป็นล้านก็ยังทุกข์เมื่อเห็นเพื่อนบ้านขับรถราคาแพงกว่า ได้เป็นผู้จัดการก็ยังทุกข์หากรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นได้เป็นซีอีโอบริษัทใหญ่กว่า ได้คู่ครองที่ซื่อตรงก็ยังทุกข์เมื่อเห็นเพื่อนได้คู่ครองที่เอาอกเอาใจมากกว่า รูปร่างดีแต่ก็ยังเป็นทุกข์เพราะเห็นเพื่อนๆ สวยกว่าซื้อของได้ถูกก็ยังทุกข์เมื่อรู้ว่าคนอื่นซื้อได้ถูกกว่า
ตราบใดที่เรายังเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่เสมอ เราจะหาความสุขไม่ได้เลย ไม่ว่าร่ำรวยแค่ไหน ได้โชคได้ลาภเพียงใดก็ตาม แต่ทันทีที่เรารู้จักพอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้ ความสุขจะบังเกิดขึ้นทันที แทนที่จะเฝ้ามองสมบัติของคนอื่นว่าดีกว่าอย่างไร เราลองหันมาชื่นชมสิ่งที่เรามี เห็นข้อดีหรือประโยชน์ของสิ่งที่มีอยู่ ความพอใจก็จะเกิดขึ้น ความรุ่มร้อนก็จะหายไป แทนที่จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่เราไม่มีทำไมไม่หาความสุขจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในขณะนี้
ถ้าวางใจได้อย่างนี้ แม้จะมีเพื่อนที่รวยกว่า เก่งกว่า ดังกว่าหรือสวยกว่า เราก็ไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีทั้งความรู้สึกด้อยหรืออิจฉากลับรู้สึกยินดีมีมุทาจิตด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วเมื่อหันมาใส่ใจกับสิ่งที่เรามีอยู่ เราก็จะพบว่าเรายังมีสิ่งดีๆ อีกมากมายที่น่าชื่นชม ซึ่งบางอย่างคนอื่นอาจไม่มีหรือมีไม่เท่าก็ได้ เช่น แม้จะมีเงินน้อยกว่า ตำแหน่งต่ำกว่า แต่เราก็มีสุขภาพดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีชีวิตที่ราบรื่น เพียงเท่านี้ก็น่าจะมีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ
ความสุขมีอยู่กับเราอยู่แล้วทุกขณะ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่เท่านั้น
ที่มาจากบทความ “มองเป็นก็เห็นสุข” นิตยสาร Secret โดยพระไพศาล วิสาโล