ชีวกโกมารภัจจ์

“ไม่มีอะไรที่ไร้ประโยชน์” มุมมองชีวิตแบบชีวกโกมารภัจจ์

“ไม่มีอะไรที่ไร้ประโยชน์” มุมมองชีวิตแบบ ชีวกโกมารภัจจ์ – บทความจากพระไพศาล วิสาโล

ชีวกโกมารภัจจ์ หรือ “หมอชีวก” เป็นบุคคลที่แพทย์แผนไทยทุกคนเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาชนิดที่หาใครเทียบได้ยากแล้ว ท่านยังเป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า  มีผลงานมากมายจารึกไว้ในพระไตรปิฎก

เกร็ดประวัติตอนหนึ่งของท่าน ซึ่งเล่าขานสืบต่อกันมาคือ หลังจากท่านศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์สำนักทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักสิลาเป็นเวลานานถึง 7 ปี ท่านอยากรู้ว่าต้องเรียนอีกนานเท่าใดจึงจะจบการศึกษา อาจารย์จึงทดสอบความรู้ของท่านโดยให้ถือเสียมไปตรวจดูว่า บริเวณ 1 โยชน์รอบเมืองตักสิลามีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ตัวยา ท่านตรวจอยู่นานก็หาไม่พบ เมื่อกลับมาบอกอาจารย์ อาจารย์จึงว่าท่านสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านจึงเดินทางกลับกรุงราชคฤห์

ในสายตาของผู้รู้อย่างหมอชีวก แม้กระทั่งวัชพืชที่ใคร ๆ มองเห็นว่าไร้ค่า น่ารังเกียจ หรือมีพิษ เช่น หญ้าคา ไมยราบ อุตพิด ล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น นอกจากประโยชน์ใช้สอยทั่ว ๆ ไป เช่น มุงหลังคา ทำรั้ว ยังสามารถทำเป็นยารักษาโรคได้ด้วย

จะว่าไปแล้วสิ่งที่หมอชีวกค้นพบนั้นสะท้อนความจริงที่กว้างกว่านั้นคือ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไร้ประโยชน์เลย อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือรู้จักใช้มากน้อยเพียงใด อะไรก็ตามที่เราคิดว่าไม่มีประโยชน์หรือเป็นโทษนั้น แท้จริงเป็นเพราะเรามองไม่เป็นหรือไม่รู้จักใช้ต่างหาก

ความจริงที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะทุกสิ่งที่เราเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยมือเท่านั้น หากยังรวมถึงทุกอย่างที่เราประสบหรือทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งที่เรารังเกียจหรือทำให้เกิดความทุกข์ ใช่หรือไม่ว่าความยากลำบากทำให้เราเข้มแข็ง ส่วนความล้มเหลวก็ให้บทเรียนที่ปูทางไปสู่ความสำเร็จในวันหน้า แม้แต่ความพิการก็ช่วยให้ศักยภาพของอวัยวะปกติส่วนอื่นสามารถพัฒนาขึ้นได้ คนตาบอดจำนวนไม่น้อยพบว่าหูและสัมผัสของตนไวขึ้นชนิดที่คนธรรมดาเทียบไม่ได้ คนออทิสติกไม่น้อยมีความจำเป็นเลิศ บางคนจำหนังสือได้ถึง 9,000 เล่ม

ยิ่งประโยชน์ในทางธรรมด้วยแล้ว กล่าวได้ว่า ไม่มีอะไรที่นำมาใช้ในการพัฒนาจิตใจไม่ได้ รอยยิ้มของหญิงสาวที่กระตุ้นราคะของใครหลายคนนั้น เมื่อมองด้วยสายตาที่ใคร่ครวญของพระลกุณฏกภัททิยะก็ทำให้ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีได้ เช่นเดียวกับพระติสสะที่บรรลุอรหัตตผลเมื่อบังเอิญได้ฟังเสียงเพลงของนางทาสี

ในทำนองเดียวกัน สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็มีประโยชน์ทางธรรมไม่น้อย คำต่อว่าด่าทอนั้นนอกจากเป็นแบบฝึกหัดสร้างขันติและฝึกสติให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ยังสอนเรื่องโลกธรรมให้แก่เราด้วยว่า สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน คำตำหนิติฉินเป็นธรรมดาโลก ของหายแต่ละครั้งสอนให้เราระมัดระวังมีสติ และตระหนักถึงความจริงว่า ความพลัดพรากเป็นธรรมดาโลก เพราะไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ส่วนโรคภัยไข้เจ็บก็บอกเราว่าสังขารนี้ไม่เที่ยง เต็มไปด้วยทุกข์และบังคับบัญชาไม่ได้

แม้แต่อารมณ์อกุศลที่เกิดขึ้นในใจ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความเศร้า ก็ล้วนเป็นอุปกรณ์สำหรับการปฏิบัติธรรม นอกจากช่วยฝึกสติให้ว่องไวปราดเปรียว สามารถรู้ทันและปล่อยวางมันอย่างทันท่วงทีแล้ว การเห็นความเกิด - ดับและสาเหตุของความเกิด - ดับ ยังทำให้เกิดปัญญาจนเห็นสัจธรรม คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างแจ่มแจ้ง

เจออะไรก็มีประโยชน์ทั้งนั้น หากรู้จักมอง แต่เป็นเพราะเรามองไม่เป็น เมื่อเจอสิ่งไม่พึงปรารถนาจึงปล่อยให้มันทำร้ายจิตใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือถึงกับหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต แต่ถึงจะทุกข์อย่างไรก็ไม่สาย ที่จะหาประโยชน์จากมัน โดยเฉพาะการเปิดใจรับสัจธรรมจากมัน แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อมีสติ เห็นทุกข์ ไม่เผลอเป็นผู้ทุกข์

หากเห็นมันอย่างแจ่มแจ้ง สัจธรรมที่มันเผยแสดงออกมาย่อมช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

photo by pixabay

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine


บทความน่าสนใจ

จมทุกข์ – เมื่อเธอเพิ่งรู้ว่าธรรมะช่วยเยียวยาความทุกข์ได้

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.