แบงค์ แคลช

แบบฝึกหัดชีวิตของ แบงค์ แคลช – ปรีติ บารมีอนันต์

แบบฝึกหัดชีวิตของ แบงค์ แคลช – ปรีติ บารมีอนันต์

ถ้ามองรูปลักษณ์ภายนอก คุณคิดว่า แบงค์ แคลช – ปรีติ บารมีอนันต์ เป็นคนแบบไหน – นักร้องผมสั้นเกรียน มีรอยสัก ท่าทางห้าว ๆ ไม่ยอมใคร

ชีวิตจริงเขาคือหลานชายที่น่ารักของย่า ลูกชายที่รักพ่อแม่ พี่ชายที่ดีของน้อง และวันนี้เขาคือเสาหลักของครอบครัว ที่ผ่าน “แบบฝึกหัดชีวิต” จากวันที่ขึ้นสูงสุดจนลงต่ำสุด บททดสอบต่าง ๆ ทำให้เขาเข้าใจชีวิตและเต็มไปด้วยความคิดด้านบวกเช่นวันนี้

ชีวิตจากสูงสุดสู่ต่ำสุด

ชีวิตของผมเจอความผกผันตั้งแต่เด็ก ผมเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ คุณพ่อเป็นรองแชมป์โลกช่างตัดผม มีตึกอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 39 ซอยเดียวกับตึกแกรมมี่สมัยก่อน ลูกค้าของพ่อมีทั้งศิลปินและคนดัง ความเป็นอยู่ที่บ้านดีมาก มีรถ BMW ซีรี่ส์ 5 มีคนขับรถ ในขณะที่เพื่อนขี่รถถีบ แต่ผมมีรถเด็กเล่นที่ขับโดยใช้มอเตอร์

ด้วยความทะเยอทะยานของคุณพ่อ พอมีเงินท่านรู้สึกว่าต้องก้าวต่อไป จึงไปลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ สร้างหมู่บ้านจัดสรรแบบไพรเวตที่คนมีเงินซื้อกัน คนมาจองเต็มทั้งโครงการ แต่มาเจอวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ทุกคนทิ้งเงินจอง ทิ้งบ้านที่จองไว้ จนกลายเป็นหมู่บ้านร้าง คุณพ่อติดหนี้ธนาคารเป็นสิบล้าน และโดนโกงซ้ำเข้าไปอีก จึงต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ ทำให้ยอดหนี้ที่มีพุ่งสูงขึ้นไปอีกเท่าตัว

ตอนนั้นผมอยู่ ป.3 รู้แล้วว่าครอบครัวเราเปลี่ยนไปเพราะต้องย้ายบ้าน ต่อมาก็ไม่มีน้ำใช้ ต้องไปขอต่อใช้น้ำจากข้างบ้าน แต่ไม่มีเงินจ่ายเขา เขาก็ไม่ให้ ต้องไปซื้อน้ำถังใหญ่ ๆ แล้วใช้กันอย่างประหยัดมาก ส่วนไฟฟ้าก็มีใช้บ้างไม่มีบ้าง คุณย่าต้องจุดเทียน เอาพัดมาพัดให้ผมและน้องชาย

วันหนึ่งก็มีคนมายกตู้เย็นที่บ้านไป เซฟ น้องชายผมเพิ่งอายุ 4 ขวบ เซฟชอบกินน้ำแข็งมาก หันไปถามแม่ว่า “แม่ แล้วเซฟจะกินน้ำแข็งที่ไหน” คำพูดน้องแทงทะลุไปถึงหัวใจเลยนะ ขนาดตู้เย็นครอบครัวเราก็ยังดูแลไม่ได้ แล้วชีวิตจะยังไงต่อไป ต่อมาผมก็โดนครูทวงค่าเทอมตอนเข้าแถว ตอนนั้นผมอายที่สุด แต่ผมไม่สามารถบอกคนอื่นได้ว่าบ้านเราล้มละลาย เพราะเด็กวัยนั้นไม่สามารถเถรตรงได้แบบนี้ และยังต้องการเกราะป้องกันตัวเพื่อให้รู้สึกดีเหมือนเดิม

ผมเจอเรื่องแบบนี้หลายครั้ง เหมือนโดนต่อยมาเรื่อย จนวันหนึ่งผมกับน้องรอปู่มารับที่โรงเรียน ปกติปู่จะมารับห้าโมงเย็น แต่วันนั้นสามทุ่มแล้วก็ยังไม่มีใครมารับ แล้วฝนก็ตกอีก โทรศัพท์ที่บ้านก็ไม่มีเพราะโดนตัดไปแล้ว ผมโมโหมาก เพราะสงสารน้องชายที่อยู่แค่อนุบาล 3 ต้องรอและถูกยุงกัด พอสามทุ่มครึ่งผมเห็นพ่อเดินกางร่มเข้ามา ผมต่อว่าพ่อต่าง ๆ นานา พ่อก็เงียบฟังผม แล้วก็อธิบายว่า “พ่อเดินออกมาจากบ้านตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะมีเงินพอแค่พาแบงค์กับเซฟนั่งรถเมล์กลับเข้าบ้านแค่นั้นเอง”

นั่นแสดงว่าพ่อต้องเดินมาเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตรเพื่อให้ผมและน้องได้นั่งรถกลับ ผมรู้สึกได้เลยว่า พ่อคือฮีโร่ตัวจริงที่ผมสัมผัสได้ พ่อเป็นผู้ชายที่สง่างามมาก แต่แล้ววันหนึ่งตำรวจมาค้นที่บ้าน ทำให้พ่อต้องหนี ผมกับย่าต้องช่วยกันเปิดประตูบ้านบังไม่ให้ตำรวจเห็นว่าพ่อปีนกำแพงหนีไปทางหลังบ้าน พ่อต้องเดินฝ่าดงหญ้าธูปฤาษีที่มีน้ำขังเท่าเอวออกไป จากวันนั้นท่านก็หายไป เพราะต้องหนีเอาตัวรอดไปก่อน ส่วนแม่ก็พยายามทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

ผมรู้อยู่ตลอดว่าครอบครัวเรามีปัญหา แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะยังเด็กมาก ช่วยอะไรใครไม่ได้ ผมไม่สามารถเก่งแบบเด็กในหนังที่ช่วยพ่อแม่ให้ดีขึ้นได้ แต่ผมไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจที่วันหนึ่งเราเคยมีเงินแล้วกลายเป็นไม่มีอะไรเลย พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็ไปทำงานพิเศษหารายได้ซึ่งผมก็ภูมิใจ แต่วัยนั้นก็ไม่ได้รู้หรอกว่า นี่เราทำดีอยู่นะ เราหาเลี้ยงตัวเองได้

หลายคนบอกว่าผมเก่งนะที่เจอปัญหาขนาดนี้แต่ไม่หลงไปในทางที่ผิด จริง ๆ ผมไม่ได้เก่ง ไม่ได้น่าสรรเสริญอะไรขนาดนั้น ผมเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่รู้จักผิดชอบชั่วดีและไม่เห็นประโยชน์ในการหนีปัญหาไปพึ่งพาทางที่ผิด และการเป็นลูกชายคนโตก็เหมือนถูกมัดมือไว้แล้วว่าต้องทำเพื่อครอบครัว ซึ่งผมพร้อมที่จะทำทุกอย่าง

ปรีติ บารมีอนันต์

หยุดฝันก็ไปไม่ถึง

ผมได้รับการปลูกฝังให้อ่านหนังสือมาแต่เด็ก ผมอ่านหนังสือพิมพ์ทุกหน้าทุกวัน ตั้งแต่เรื่องสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไปจนถึงบันเทิง ตอนเด็ก ๆ ก็เหมือนเด็กทั่วไป อยากเป็นหมอรักษาคน โตขึ้นมาหน่อยอยากเป็นนักฟุตบอล แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าไม่ใช่ จนวันหนึ่งมาเจอดนตรี

ต้องบอกว่าผมเป็นเด็กแก่แดดพอสมควร คือรู้มากกว่าคนอื่น พอที่บ้านฐานะแย่ลง ไม่มีของเล่นแพง ๆ อีกแล้ว ผมจึงพยายามซอกแซกหาอย่างอื่นที่ไม่ได้ใช้เงินมากขนาดนั้น แต่คูลได้เท่ากัน ผมเริ่มฟังเพลงของวงเนอร์วานา ไมเคิล แจ็คสัน และอาร์. เคลลี แล้วก็หัดร้องตาม โดยไม่รู้เทคนิคอะไร แค่ร้องเลียนแบบไปเท่านั้น

ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองร้องเพลงดี แต่ทุกเช้าเพื่อนจะมาเรียก “ปรีติ ๆ ร้องเพลงไมเคิล แจ็คสัน ให้ฟังหน่อย” ที่เพื่อนชอบเพราะร้องเหมือน ผมก็สนุกกับการร้องเพลงมาตลอด จนวันหนึ่งรุ่นพี่ที่โรงเรียนชวนให้เป็นนักร้องนำในวงเพื่อประกวด Hotwave Music Awards ซึ่งเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ใครชนะเวทีนี้จะดังมาก เมื่อไปประกวดวงก็ได้รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ผมได้รางวัลนักร้องยอดเยี่ยม แต่เส้นทางเข้าสู่วงการเพลงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด

หลังประกวด วงเราเนื้อหอมมาก มีค่ายเพลงมาติดต่อเยอะมาก แต่เราใช้วิธีขอเสียงจากทุกคนในวง เมื่อสมาชิก 3 ใน 5 อยากอยู่แกรมมี่ วงก็ไปตามเสียงส่วนมาก พอเข้าแกรมมี่ผมต้องเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ถึง 4 ปี เริ่มแรกคือค่ายให้ไปเรียนร้องเพลง เรียนเต้นเป็นเหมือนวงบอยแบนด์เลย ทั้งวงมีผมเข้าไปคนเดียว เพราะคนอื่นเป็นนักดนตรีกัน ผมต้องไปเพื่อรักษาสิทธิ์ของวงไว้ ไปให้ทางค่ายเขาเห็นหน้าทั้งที่ใจรู้ว่าไม่ใช่แนวเราเลยสักนิด

ตอนนั้นศิลปินฝึกหัดมีแต่ลูกครึ่ง หน้าตาสะอาดสะอ้าน ส่วนผมดูสกปรก ดำเหม็น เหมือนเป็นกาในฝูงหงส์ ทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง แต่ก็ตั้งใจเรียน จนวันหนึ่ง พี่ปาน – ธนพร ซึ่งเป็นครูสอนร้องเพลงชมว่าผมร้องเพลงดีและได้คะแนนการสอบสูงสุดในบรรดาเด็กทั้งหมด ผมรู้สึกดีใจและพอใจแล้ว หลังจากนั้นก็เลิกไปเรียนและมุ่งแต่งเพลงทำเพลงอย่างเดียว

ผมและวงทำเพลงไปส่งก็ยังไม่ผ่าน เพราะผู้ใหญ่เห็นว่าวงเรายังไม่มีอะไรที่โดดเด่น จนเกือบจะโดนคัดออก แต่ พี่เล็ก – บุษบา ส่งต่อให้ พี่ต่อ – แสนคม สมคิด บอสของค่ายอัพจีรับวงแคลชไปดูแล วันหนึ่งผมทำเดโมเพลง “กอด” ซึ่งเป็นเพลงแรกที่แต่งเอง โดยแต่งให้กับแฟนคนแรก และอินกับเพลงนั้นมาก แต่พี่ต่อฟังแล้วกลับขว้างซีดีใส่หน้า เพราะวันนั้นเพลงกอดไม่เหมือนเพลงไทยทั่วไป เป็นเพลงจังหวะแปลกที่ไม่มีใครเล่นกัน ผมก็ได้แต่คิดว่า พี่คงยังไม่เข้าใจ และสักวันคงเข้าใจเอง ผมพยายามปรับไปเรื่อย ๆ จนพี่ต่อเข้าใจ และเพลงนี้ก็ผ่าน กลายเป็นซิงเกิลแรกของวงแคลช

4 ปีที่ต้องรอนั้น ผมไม่เคยท้อ เพราะรู้แค่ว่าต้องเป็นนักร้องให้ได้ ไม่ว่าเป็นนักร้องประเภทไหนก็ตาม เป็นนักร้องในผับก็เอา เพราะงานนี้คืองานที่ผมรัก ผมพร้อมจะสู้และรอให้ถึงวันนั้น จนสุดท้ายก็ได้เป็นนักร้องจริง ๆ ออกอัลบั้มแรกก็ถือเป็นวงที่น่าจับตามอง ต่อมาก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก

ผมอยากบอกว่า คนที่มีความฝัน อย่าไปเสียเวลาท้อ เอาเวลานั้นไปใช้หาวิธีแก้ปัญหาดีกว่า แล้วเดินหน้าต่อไป ถ้าท้อ เราจะห่างจากความฝันไปเรื่อย ๆ เราวิ่งตามความฝันแม้จะเหนื่อย แต่ถ้าตั้งใจจริง ๆ เราจะถึงความฝันนั้น

เริ่มจากติดลบ

ช่วงที่เป็นศิลปินฝึกหัด ความเป็นอยู่ที่บ้านก็ยังไม่ดีขึ้น พอออกอัลบั้มแรกก็เอาเงินมาใช้หนี้ทั้งหมด คนอาจมองว่า เป็นนักร้องได้เงินเยอะ ต้องฐานะดีแน่ ๆ คนอื่นอาจเป็นอย่างนั้น แต่ผมไม่ใช่ คนที่เคยลำบากมาก่อนเข้าวงการเขาเริ่มกันมาจากศูนย์แล้วบวกขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผมเริ่มจากติดลบ เพราะครอบครัวมีหนี้เป็นสิบล้านที่ต้องใช้

5 ปีแรกผมไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย มีแค่รถเต่าคันเดียว ราคา 55,000 บาท พอฐานะครอบครัวเริ่มดีขึ้นคุณแม่ก็ป่วยหนัก ผมพาท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ค่ารักษา 3 ล้านบาท ซึ่งต้องจ่ายเงินสด ผมก็ถอนเงินมาจ่าย เหลือเงินติดบัญชีแค่ 8 พันบาท คิดว่าไม่เป็นไร มีงานโชว์อีกหลายงาน ก็ยังน่าจะไปต่อได้

ต่อมาหลังจากคุณแม่เสีย ถึงรู้ว่ามีหนี้บัตรเครดิตก้อนใหญ่ประมาณ 1 ล้านบาท เพราะตอนเพิ่งเข้าวงการผมไม่ค่อยละเอียดเรื่องรายรับรายจ่าย ก็ให้คุณแม่ดูแล ท่านก็จัดการเงินมาให้ ไม่เพียงเท่านั้น ผมเคยบ่น ๆ ว่าอยากได้รถใหม่ คุณแม่ก็จัดการให้ โดยที่ผมไม่รู้ว่ารถโบราณคันที่รักมากซึ่งจอดอยู่ที่บ้านติดจำนำอยู่แปดแสนบาท

พอรู้เรื่องผมก็โกรธคุณแม่นะ โกรธที่แม่มาคิดแทนผม ใจจริงผมไม่ได้อยากอะไรในชีวิตเยอะนักหรอก บางครั้งก็แค่บ่นเฉย ๆ แต่ก็รู้ว่าที่แม่ทำไปเพราะรักลูก และคิดว่าตัวเองจะหาย แล้วกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม

ผมอยู่วงการมา 17 ปี มาใช้หนี้หมดจริง ๆ ตอนปีที่ 10 เพราะมีหนี้เฉลยมาเรื่อย ๆ อย่างที่บอก ที่ผ่านมาแทบไม่ได้ใช้เงินเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเลย ได้ซื้อของให้ตัวเองก็เมื่อห้าหกปีที่ผ่านมานี่เอง แต่ผมพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ ไม่ได้อยากมีบ้านที่หลังใหญ่กว่านี้หรือรถแพงกว่านี้ เพราะคนเราจะแพงไม่ได้อยู่ที่รถที่บ้าน แต่อยู่ที่สมอง ที่แยกเปลือกกับแก่นได้

เมื่อก่อนผมเคยตามวัฒนธรรมของนักร้องฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี คือต้องอวดรวยตลอดเวลา ศิลปินบางคนก็รวยจริงถึงมีเครื่องประดับมีของแบรนด์เนม แต่ศิลปินที่เพิ่งเริ่มอาจต้องพยายามไปซื้อหาเพื่อให้รู้ว่าฉันมาทางนี้นะ ช่วงหนึ่งผมเป็นเหมือนกัน แต่เบรกตัวเองทัน เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เราทำงานให้ดีดีกว่า

ปรีติ บารมีอนันต์

เข้มแข็งเพื่อแม่

ผมกับแม่สนิทกันมาก คุยกันได้ทุกเรื่อง ตอนที่คุณแม่เริ่มป่วยด้วยโรค MDS (ระบบการผลิตเม็ดเลือดบกพร่อง) ผมคิดว่ายังไงแม่ก็ต้องหาย เพราะแม่ก็ดีขึ้น แม่กลับมาอยู่บ้านได้หลายเดือนแต่กลับทรุดลงไปอีก เพราะโรคนี้พัฒนากลายเป็นลูคีเมีย ผมก็ต้องแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ถึงเวลาก็ต้องสูญเสีย แต่ในใจก็มีความหวังเสมอว่าแม่ต้องไม่เป็นอะไร

จนวันหนึ่งผมไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด ก่อนขึ้นเวที คุณหมอโทร.มาบอกว่า “คุณแบงค์ต้องเลือกแล้วแหละว่า อยากให้คุณแม่อยู่ต่อด้วยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ หรือจะเลือกให้คุณแม่ไป” ผมนั่งคิดสักแป๊บแล้วโทร.กลับไปถามคุณหมอว่า

“ถ้าแม่ของหมอกำลังจะตายพรุ่งนี้ หมอจะทำยังไง”

คุณหมอก็ตอบว่า คงปล่อยให้แม่ไป เพราะการยื้อชีวิตอาจทำให้ท่านเจ็บปวด โดยไม่สามารถกลับมาดีเหมือนเดิม พอวางสาย ผมก็ขึ้นไปร้องเพลงตามปกติ ลงจากเวทีก็บอกเพื่อน เช้าก็บินกลับมาดูใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย

ก่อนเข้าไปหาแม่ ผมขอร้องพ่อและน้องชายว่า เมื่อเราสามคนเดินเข้าไปหาแม่ ห้ามร้องไห้ ห้ามเศร้า ห้ามให้แม่เห็นน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เพราะแม่ไม่ชอบคนอ่อนแอ ถ้าแม่เห็นผู้ชายคนใดคนหนึ่งในบ้านเราอ่อนแอ แม่จะมีห่วง ผมรอให้ญาติ ๆ เข้าไปหาแม่ก่อน ผมเดินเข้าไปหาคุณแม่เป็นคนสุดท้ายและบอกท่านว่า

“แม่รู้ไหมที่แบงค์ไม่ร้องไห้ไม่ใช่ไม่รักนะ แต่แบงค์อยากให้แม่รู้ว่า เสาหลักต้นนี้จะเป็นต้นต่อไปและต้องอยู่ให้ได้ แบงค์ไม่ใช่คนที่หมัดหนักที่สุดในโลก แต่ถ้าแบงค์โดนหมัดหนักนั้นต่อย แบงค์จะไม่ล้ม ต่อให้ล้มแบงค์ก็จะยืนขึ้นมาได้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”

จากนั้นผมก็ดูแม่จากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว แต่หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ผมขับรถไปทำงานวันนั้นฝนตก ได้ยินเพลงหนึ่งที่มีเนื้อความประมาณว่า “คุณคือหมอ คุณคือเพื่อน คุณคือครู คุณคือคนที่ให้คำปรึกษา คุณคือทั้งพ่อและแม่” ใจผมฉุกคิด นี่คือแม่เรานี่นา แล้ววันนี้แม่ไปไหน ความรู้สึกที่เก็บกดไว้ในใจเพื่อให้เราดูเข้มแข็งมาตลอดนั้นถูกปลดปล่อยออกมาหมด ผมร้องไห้หนักขนาดที่ในชีวิตนี้ไม่เคยร้องมาก่อน และร้องไห้อยู่นานมาก จนบอกตัวเองว่า ร้องให้พอใจเลยนะ ที่เก็บเอาไว้ปล่อยไปให้หมด

การจากไปของแม่ถือเป็นการสูญเสียครั้งแรกในชีวิตที่ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของตัวเองและทุกคนในครอบครัว และทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่า ไม่อยากตาย เพราะถ้าผมตายไปครอบครัวพังแน่นอน ไหนจะหนี้สินที่มีอยู่ น้องก็ยังเรียนไม่จบคุณพ่อก็ยังกำลังใจไม่ดี ผมเริ่มระวังตัวไปหมด ขับรถช้าลง ไม่ทำอะไรที่เสี่ยง เพื่อประคองชีวิตเพื่ออยู่กับครอบครัวให้นานที่สุด

ถึงวันที่เปิดใจ

ถึงได้ทำงานเพลงที่ผมรักมาก แ ต่ก็มีหลายครั้งที่ผมเบื่อไม่อยากร้องเพลงตัวเองด้วยซ้ำ เพราะการร้องเพลงเดิม ๆ ทุกวันทำให้รู้ล่วงหน้าว่าเดี๋ยวต้องร้องเพลงนี้ พอถึงท่อนนี้ แฟนเพลงต้องร้องต่อ เหมือนอ่านหนังสือเล่มเดิมหน้าเดิมทุกวัน ที่เรารู้แล้วว่าบรรทัดต่อไปหนังสือจะเขียนว่าอะไร ทำให้เบื่อมาก ผมเคยใช้เหล้าแก้ปัญหาจนติดเหล้า เพราะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด สุดท้ายเริ่มเปิดใจเปิดตัวเองและมารับงานละครเวที เมื่อเรียนการแสดงกับ หม่อมน้อย ความคิดหลายอย่างจึงเปลี่ยนไป

หม่อมน้อยสอนว่า ตัวละครต้องตายทุกวัน นั่นคือเมื่อเราแสดงจบเราต้องปล่อย ให้ตัวละครนั้นตายไป เพื่อที่จะเกิดใหม่ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งก็คือการปล่อยเรื่องอดีตทิ้งไปและพร้อมเริ่มต้นใหม่ในทุกวัน มีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเอามาใช้กับการร้องเพลงก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ที่ผ่านมาผมอาจร้องเพลงแค่ผ่านไป แต่กลับไม่เคยฟังเนื้อร้องเลย แม้จะเป็นเพลงที่แต่งเองก็ตาม เมื่อมีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ทำตรงหน้าทำให้ผมอินกับเนื้อเพลงมากขึ้นและร้องเพลงได้ดีขึ้น

การได้ไปเล่นละครเวทีเป็นการเปิดอีกโลกหนึ่ง ที่ผ่านมาผมมักคิดว่า ผมเป็นศิลปิน ผมเป็นแบบนี้ อย่ามาเปลี่ยนแปลงผม แต่เมื่อเปิดใจทำให้รู้ว่าเรามีความสามารถหลากหลายนะ เหมือนในตัวผมมีตู้ยาจีน ลิ้นชักเยอะเต็มไปหมด แต่ผมเลือกเปิดแค่ลิ้นชักเดียวเท่านั้น พอได้ลองเปิดลิ้นชักอื่น ลองทำอย่างอื่นดู เออ เราก็ทำได้นะ

เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเล่นละครเวที จะร้องมิวสิคัลได้ ตอนเล่น ลอดลายมังกร เดอะมิวสิคัล ทุกคนก็ประหลาดใจ แต่เชื่อไหมว่ามีบทร้องไห้ ผมร้องไห้ได้ทุกครั้งแบบไม่เคยพลาดเลย จึงกลายเป็นว่าสนุกกับงานแสดง ผมบอกทุกคนว่า บทอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แบงค์ เพราะการเป็นนักแสดง เราต้องทำให้คนอื่นเชื่อว่า เราไม่ใช่แบงค์ แคลช

ชีวิตผมมีหลายมุมที่ไม่ค่อยมีคนรู้ เพราะเมื่อก่อนก็ต้องมีภาพลักษณ์ไปตามการโปรโมต แต่ทุกวันนี้มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค คนเห็นสิ่งที่ผมเป็นมากขึ้น หลายคนเริ่มเห็นภาพของผมอยู่บ้าน ทำกับข้าว อยู่กับย่า หรือเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว กลายเป็นมุมอ่อนโยนไป ในช่วงที่ชีวิตเริ่มนิ่ง ผมเริ่มรู้สึกว่าบ้านมีค่ามาก บ้านเป็นเหมือนร่างกาย และรู้ว่าเมื่อก่อนผมพลาดมากที่ชอบออกไปข้างนอก ไปใช้ชีวิตวุ่นวายท่ามกลางผู้คน

วันนี้การที่ได้อยู่บ้าน ได้อยู่กับย่า ผมมีความสุขมาก ผมใช้ชีวิตมาก็น่าจะครึ่งชีวิตแล้ว แต่สำหรับย่าคือบั้นปลายชีวิต ผมอยากมีส่วนร่วมในชีวิตของย่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนหมาแมวก็มีอายุสั้นกว่าเรา เราก็ควรอยู่กับมัน เพราะสัตว์เลี้ยงไม่ใช่เครื่องประดับ เราเลี้ยงเพราะเรารักมันก็ควรให้เวลากับมันด้วย

แบบฝึกหัดชีวิต

เพราะวันนี้ผมมีพลังบวกในตัวเยอะมาก มองทุกอย่างเป็นบวก เช่น เมื่อก่อนอากาศร้อน ผมก็อาจจะบ่น แต่ถ้าเป็นวันนี้ผมจะคิดว่า อากาศร้อนก็ดีนะ เผาผลาญดี คือถ้าคิดในแง่ดี ทุกอย่างก็ดี การปรับความคิดของเราเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และความสุขในครอบครัวสำคัญที่สุด เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่หัวใจของเรา

น้องชายเคยพูดกับผมว่า “คงจะดีนะถ้าที่ผ่านมาไม่มีหนี้” ผมตอบว่า “ไม่เห็นจะดีเลย ถ้าเราไม่มีหนี้ พี่อาจไม่เป็นคนแบบนี้ก็ได้” ผมอาจเป็นคนอื่นที่ไม่แกร่งแบบนี้

ผมมองชีวิตที่มีทั้งจุดสูงสุดและจุดตกต่ำที่สุดเป็น “แบบฝึกหัด” ที่ทดสอบตัวเรา ครั้งแรกที่ล้ม ผมอาจใช้มือยันพื้นไว้จนมือเป็นแผล ถ้าลงครั้งที่ 2 ก็เปลี่ยนเอาศอกลง แต่พอครั้งที่ 3 อาจฉลาดพอที่จะม้วนตัวแล้วกลับมายืนได้ใหม่ ผมโชคดีที่ผ่านแบบฝึกหัดมาหมดแล้ว ตั้งแต่ครอบครัวพังพินาศแล้วสร้างขึ้นใหม่ ผมจึงรู้ว่าถ้าชีวิตขึ้นสูงอีกครั้งจะไม่หลงระเริง หรือถ้าลงไปอีกก็จะไม่ทำให้ชีวิตแตะจุดต่ำเท่าเดิมอีก

เพราะแบบฝึกหัดชีวิตสอนผมมาหมดแล้ว

 

ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 229

เรียบเรียง : เชิญพร คงมา

ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี

Secret Magazine (Thailand)


บทความน่าสนใจ

สุกัญญา มิเกล ความสุขในวันนี้ กับตัวตนที่แท้จริง

โอม ค็อกเทล กับการเรียนรู้ในทุกจังหวะของชีวิต

ชายผู้ไม่เคยหมดแรงบันดาลใจ โอม ชาตรี คงสุวรรณ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.