กรรม ย้ำให้ทำดี

เล่าเรื่องกรรมย้ำให้ทำดี กับ “เจน ญาณทิพย์” (1)

เล่าเรื่อง กรรม ย้ำให้ทำดี กับ “เจน ญาณทิพย์” (1)

หลายคนอาจไม่เชื่อเรื่องภพเรื่องชาติ กรรม การเวียนว่ายตายเกิด การมีหูทิพย์ตาทิพย์ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้คิดพิจารณาคือ สิ่งที่เรามองเห็นอยู่เป็นจำนวนมากก็ไม่ตรงกับความเป็นจริง ขณะเดียวกันก็มีความจริงอีกจำนวนมากที่เรามองไม่เห็น อย่างเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกฎแห่ง กรรม ก็มีอยู่จริงแต่คนในยุคปัจจุบันเป็นจำนวนมากไม่เชื่อเรื่องนี้

ตามสื่อต่างๆ เราจะพบว่ามีคนที่มีสัมผัสพิเศษหรือมีญาณทิพย์ออกมาปรากฏตัวมากมาย ซึ่งสำหรับนักสังคมวิทยา นี่คือการสะท้อนอะไรบางอย่าง ทั้งสภาพสังคมที่อ่อนแอ คนขาดที่พึ่งจนต้องพึ่งบุคคลเหล่านี้ แต่สำหรับคนที่หมดหนทางในการแก้ปัญหา นี่คือทางออกสุดท้ายสำหรับพวกเขา

ผู้มีญาณทิพย์นั้นมีมากมายหลายคน แต่คนที่ชี้แนะสอนสั่งให้คนทำความดีโดยไม่คิดถึงอามิสสินจ้างหรือรางวัล แถมยังพาผู้คนไปสู่แก่นธรรมที่แท้จริงด้วยการวิปัสสนานั้นยังมีไม่มากนักและหนึ่งในนั้นคือหญิงสาวที่ใช้ชื่อว่า “เจน ญาณทิพย์

เจน ญาณทิพย์ คือใคร ทำไมถึงมีญาณทิพย์ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า “กฎแห่งกรรม” มีจริง

ดวงตาเห็นกรรม

ผู้คนส่วนใหญ่อาจรู้จักดิฉันในชื่อ “เจน ญาณทิพย์” แต่ชื่อจริงๆ คือ เจนจิรา เรียบร้อยเจริญ ดิฉันเกิดในครอบครัวธรรมดาๆ  มีคุณพ่อรับราชการทหาร ส่วนคุณแม่เป็นแม่ค้า เรามีกัน 3 คนพี่น้องชีวิตวัยเด็กไม่ได้แตกต่างกับเด็กคนอื่น ชอบวิ่งเล่นสนุกสนานไปตามวัย ถ้าจะมีอะไรพิเศษออกไปบ้าง ก็คงเป็นการมีคุณพ่อที่สนใจในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า

ท่านเล่าให้ฟังว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่หอม วัดชากหมากอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ตอนหนุ่มๆ ท่านบวชเป็นพระก่อนจะสึกมาแต่งงานกับคุณแม่ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนให้พี่สาวและดิฉันนั่งสมาธิกำหนด “พุทเข้า โธออก” ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แรกๆ ดิฉันไม่ชอบเพราะรู้สึกว่าโดนบังคับ จนกระทั่งเมื่อทำบ่อยเข้าๆ ทุกวันจึงกลายเป็นความเคยชิน และเป็นลูกคนเดียวในบ้านที่นั่งสมาธิตามคุณพ่อ

ชีวิตของดิฉันคงดำเนินไปตามปรกติ ถ้าวันนั้นไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น…

วันนั้น ในวัยราว 9 ขวบ คุณพ่อขับรถกระบะมุ่งหน้าไปบนถนนเพชรเกษมโดยมีดิฉันนั่งไปด้วย ระหว่างทางท่านขับรถไปชนกับรถเมล์เข้าอย่างจัง ทำให้ศีรษะของดิฉันไปกระแทกกับคอนโซลด้านหน้าของรถ หลังฟื้นจากสลบก็เกิดอาการความจำเสื่อมชั่วคราว แต่หลังจากนั้นอาการต่างๆ ก็เหมือนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ สามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้หมด แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ จากเด็กเรียนเก่งก็กลายเป็นคนความจำไม่ดีเรียนไม่ทันเพื่อน และสอบเกือบได้ที่โหล่ของห้อง รวมทั้งมีอาการปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ จนคุณพ่อต้องพาไปหาหมอ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ท่านจึงพาไปนั่งสวดมนต์ทำสมาธิที่วัดจนอาการปวดค่อยๆ ทุเลาลง หลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดๆ ก็เกิดขึ้น ดิฉันเริ่มเห็นดวงวิญญาณต่างๆ และยังสามารถเห็นกรรมของคนอื่นได้ด้วย

นอกจากนั้นทุกครั้งที่ทำอะไรก็ตามจะมีภาพกระดานสีดำและภาพกระดานสีขาวปรากฏขึ้นในหัว ถ้าทำเรื่องไม่ดี ภาพกระดานสีดำจะปรากฏขึ้นมาพร้อมเครื่องหมายกากบาท ถ้าทำเรื่องดีๆ ภาพกระดานสีขาวจะปรากฏขึ้นมาพร้อมเครื่องหมายถูก

การเห็นกรรมของคนอื่นและภาพกระดานสีดำ…สีขาวที่ปรากฏขึ้นในหัวทำให้ดิฉันซึ่งตอนนั้นยังเป็นเด็กรู้สึกสับสนมากจนเกือบคิดว่าตัวเอง “บ้า” ไปแล้วจริงๆ เพราะเมื่อไปเที่ยวห้างสรรพสินค้ากับพี่สาว ขณะที่นั่งกินไอศกรีมอยู่นั้นก็จะเห็นกรรมของคนที่เดินผ่านไปมา

ลักษณะของการเห็นคือ จะเป็นเหมือนจอโทรทัศน์ปรากฏที่หน้าของคนคนนั้น และเห็นเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาไปทำมาเหมือนกำลังดูละครที่คนคนนั้นกำลังแสดงให้ดู ยิ่งเห็นมากเข้าก็ยิ่งกลัวยิ่งสับสน จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คุณพ่อฟัง

ท่านไม่เชื่อและคิดว่าคงเกิดจากความผิดปกติของสมองตอนรถชน เลยพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล แต่หมอตรวจดูแล้วก็ไม่พบว่ามีความผิดปกติอะไร

แล้ววันหนึ่งดิฉันก็ได้พิสูจน์ความจริงให้คนในครอบครัวได้เห็นเป็นครั้งแรก

ทายทักเรื่องกรรม

สมัยเป็นเด็ก คุณแม่มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ “พี่ม่วย” พอดิฉันเกิด เธอไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรก็เลยมาช่วยเลี้ยงดูดิฉันตั้งแต่แบเบาะ แต่มีช่วงหนึ่งพี่ม่วยขอไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัดหลังจากหายไปนานหลายปี วันที่กลับมาพี่ม่วยถามว่าจำเธอได้หรือเปล่า ดิฉันตอบว่าจำได้ และที่ยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อมองหน้าพี่ม่วย ดิฉันก็เห็นเป็นภาพว่าที่ผ่านมาเธอร้องไห้ทุกวัน ด้วยความเป็นคนชอบพูดตรงๆ เลยถามพี่ม่วยไปตามประสาเด็กว่า

“พี่ร้องไห้ทุกวันเพราะทุกข์ใจเรื่องความรักใช่ไหม”

พูดจบพี่ม่วยก็ปล่อยโฮเลยทีเดียว ถามว่า “ไปรู้มาจากไหน”

ดิฉันไม่ตอบ แต่กลับถามพี่ม่วยไปว่า “พี่ถูกข่มขืนใช่ไหม”

พี่ม่วยยอมรับว่าถูกข่มขืนจริง คนที่ข่มขืนเป็นญาติของเธอเอง ที่เธอร้องไห้ก็เพราะกลัวว่าจะตั้งท้อง ดิฉันจึงบอกเธอว่ามันเป็นกรรมของเธอที่ทำเยี่ยงเดียวกันนี้มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ขอให้อโหสิกรรมให้เขา อย่าจองเวรต่อกันอีกเลย

ตอนนั้นแม้พี่ม่วยจะขอร้องให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่สุดท้ายดิฉันก็นำไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังจนได้ ท่านทั้งสองตะลึงกับความจริงที่ได้รู้ รวมถึงแปลกใจและไม่เชื่อว่าเรารู้จริง ด้วยเหตุนี้คุณพ่อจึงหาทางทดสอบด้วยการให้คนงานที่ทำงานใกล้บ้านมาเปิดกรรมกับดิฉัน ปรากฏว่า ดิฉันสามารถรู้เห็นการกระทำของเขาที่ผ่านมาทุกอย่างราวกับนั่งดูหนังเลยทีเดียว หลังจากนั้นมาคุณพ่อก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าลูกสาวไม่ได้มีอาการผิดปกติทางสมองแต่อย่างใด

ส่วนคุณแม่ก็ไม่ได้แตกต่างกับคุณพ่อมากนัก ตอนแรกท่านมองว่าดิฉันเป็นเด็กชอบพูดเพ้อเจ้อ เพราะตั้งแต่เด็กๆ ดิฉันมักจะบอกท่านว่า “ต่อไปหนูจะดังเลยนะแม่ ได้ออกทีวีหลายช่อง” คิดดูว่าเมื่อเด็กคนหนึ่งพูดแบบนี้ ผู้ใหญ่ที่ไหนจะเชื่อ แต่แล้ววันหนึ่งคุณแม่ก็ต้องเชื่อดิฉัน เมื่อบอกท่านว่า “แม่ เดี๋ยวไม่นานตลาดจะโดนไฟไหม้”หลังจากนั้นไม่นานไฟก็ไหม้ตลาดจริงๆ คราวนี้ทั้งคุณพ่อคุณแม่ และพี่สาวก็เริ่มเชื่อในสิ่งดิฉันที่พูดมากขึ้น

เปิดบ้านช่วยคน 

สมัยเรียนประถม ดิฉันดูดวงให้เพื่อนๆ และครูในโรงเรียนโดยคิดเงินคนละ 1 บาท จนใครๆ เรียกว่า “หมอดู 1 บาท” แต่เงินที่ได้ ดิฉันไม่เคยนำไปใช้จ่ายส่วนตัวเลยแม้แต่บาทเดียว กลับนำไปทำบุญที่วัดใกล้โรงเรียนทุกวัน รวมถึงชวนเพื่อนๆ ไปไหว้พระ สวดมนต์เป็นประจำ

เหตุที่ทำให้ดูดวงเป็น ฟังดูแล้วอาจประหลาดสำหรับใครหลายคน แต่เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นกับดิฉันจริงๆ

เรื่องมีอยู่ว่า มีอาแปะคนหนึ่งมาเปิดตำราโบราณสอนดูดวงและโหงวเฮ้งให้ “ในฝัน” หลังจากนั้นดิฉันก็ดูดวงให้คนอื่นเรื่อยมาแต่ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องดูดวงแต่อย่างใด เพราะแค่มองหน้า เห็นรูปถ่าย ดิฉันก็สามารถรู้เรื่องราวของคนคนนั้นได้ทันที ถ้าบุคคลนั้นอนุญาตให้ดิฉันเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเขา

หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยดิฉันก็ใช้ชีวิตทำงานเหมือนคนอื่นๆและบางช่วงบางจังหวะก็ได้ใช้สัมผัสพิเศษของตัวเองเพื่อช่วยให้งานสำเร็จ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ “งาน” ที่แท้จริงสำหรับชีวิตดิฉัน เพราะตลอดเวลาที่ทำงานไปตามปรกติก็มี “เสียง” ของครูบาอาจารย์บอกอยู่เสมอว่า “ถึงเวลาต้องช่วยคน”

ที่สุดดิฉันก็ต้องลาออกจากงานและเปิดบ้านช่วยเหลือคนโดยไม่เรียกเก็บเงิน ในขณะที่หญิงสาวในวัยเดียวกันพากันแต่งตัวสวยงามนั่งทำงานในออฟฟิศ แต่ดิฉันกลับนุ่งขาวห่มขาว เปิดบ้านดูกรรมให้ผู้คนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เวลาส่วนตัวแม้กระทั่งไปซื้อของ ดูหนังฟังเพลงก็ไม่มีเหมือนคนอื่นเขา แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่เคยทำให้ท้อใจ กลับคิดว่าในเมื่อเราเกิดมามีโอกาสได้ทำกุศลผลบุญให้คนหมู่มาก เราก็ต้องตั้งจิตตั้งใจทำให้ได้ตลอด

หลายคนมักเรียกดิฉันว่า “หมอเจน คนรู้กรรม” หรือ“หมอตาทิพย์” หรือ “คนมีญาณ”แต่ไม่ว่าใครจะเรียกอะไรก็แล้วแต่

ดิฉันคิดเสมอว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้มานั้นมาจากสวรรค์เบื้องบนประทานมาให้เพื่อช่วยเหลือแนะนำแนวทางให้ผู้อื่นให้คนที่ไม่รู้บาปบุญหรือกรรมเวรได้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำ และให้พวกเขาได้ย้อนกลับมามองสิ่งรอบข้างในปัจจุบันว่า ได้ทำกรรมไม่ดีโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างไรบ้าง แต่สิ่งสำคัญคือ ดิฉันจะบอกให้ทุกคนที่มาหามุ่งทำทานรักษาศีล และหมั่นเจริญภาวนา ทำแต่สิ่งที่ถูกที่ควร หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ดิฉันสามารถเห็นกรรมในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เห็นโรคภัยไข้เจ็บที่แฝงอยู่ตามร่างกาย รวมไปถึงรู้กรรมที่เป็นต้นเหตุให้เกิดโรค ดูฮวงจุ้ยบ้าน บริษัท สำนักงานต่างๆ ด้วยญาณ และสืบหาศพและคนหายจากภาพถ่าย

ทั้งหมดนี้ดิฉันรู้จริงขนาดไหน มีเรื่องราวอะไรมาเป็นเครื่องพิสูจน์ และได้แนะนำพวกเขาเหล่านั้นให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง…คราวหน้าจะเล่าให้ฟังค่ะ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


บทความน่าสนใจ

Dhamma Daily : เราสามารถ ชนะกรรม ได้หรือไม่

สุกรเปรต วิบากกรรมของผู้ยุยงให้คนอื่นแตกแยก

กรรมของ คนเห็นแก่ตัว คืออะไร เรามีคำตอบมาฝาก

สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ ลูกกรรมกรผู้กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพราะธรรมะ

ชวนเที่ยวไหว้ 5 พระอรหันต์ กิจกรรมนี้ทำได้ทุกเมื่อ

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.