การเมือง

การเมือง … เรื่องเล็ก?

ย้อนไปในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ระหว่างที่ผมบวชเป็นพระอยู่นั้น ผมและเพื่อนพระใหม่ด้วยกันได้มีโอกาสนั่งรถติดตามพระอาจารย์ของพวกเราไปที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยพระอาจารย์ดูแลพระใหม่ (กว่า) ซึ่งเพิ่งเข้าอุปสมบทหมู่สด ๆ ร้อน ๆ กันเป็นจำนวนมาก

ขณะนั้นเป็นช่วงที่เหตุการณ์ทางการเมืองในกรุงเทพฯยังร้อนระอุและยังคงลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ

ระหว่างทางที่นั่งรถข้ามกรุงเทพฯออกไปนอกเมือง รถของพวกเราต้องติดอยู่บนทางด่วนนานมาก เพราะวันนั้นมีการเดินขบวนและปะทะกันในหลายพื้นที่

ด้วยความกังวลว่าจะไปถึงที่พักช้ากว่ากำหนด พวกเราพระใหม่ก็พูดกันเล่น ๆ ว่า ที่จริงเราก็ไม่ได้ไปทำกรรมดีกรรมชั่วเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ทำไมถึงต้องมารับกรรมรถติดไปกับเขาด้วย

พระอาจารย์ท่านนั่งฟังอยู่ด้วยก็เลยหันมาพูดยิ้ม ๆ ว่า ถึงกายเราไม่ได้ไปทำอะไรกับเขา แต่ใจเราก็เข้าร่วมทำกรรมกับเขาไปแล้วใช่ไหม เราถึงโดนหางเลข “เศษกรรม” ลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปกับเขาด้วย

ตอนนั้นพวกเราพระใหม่ก็ว่าจริงของพระอาจารย์ ก่อนหน้าที่จะบวช (หรือตอนที่เป็นพระอยู่ก็เถอะ) ถึงแม้เราจะไม่ได้ไปเข้าร่วมขบวนการต่อต้านประท้วงอะไรกับเขา แต่ใจเราก็ยังแอบเชียร์ แอบชม แอบด่าฝ่ายนั้นฝ่ายนี้อยู่ตลอดเวลา เรียกว่า ใจเราเข้าร่วมเวรร่วมกรรมไปกับเขาแล้วจริง ๆ นั่นแหละ ก็คงไม่ต้องแปลกใจถ้าเราจะต้องเข้าร่วมรับผลเวรผลกรรมไปกับเขาด้วย แม้จะไม่ได้รุนแรงเท่ากับคนที่เข้าไปสร้างกรรมเองจริง ๆ ก็เถอะ

กว่าหนึ่งปีจากวันนั้น เหตุการณ์บ้านเมืองแม้จะคลี่คลายลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องร้อนระอุให้ประชาชนอย่างเราๆ ได้ติดตามและร่วมลุ้นกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปอีกบ้าง โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่ผ่านมาที่เปิดโอกาสให้เราใช้สิทธิของประชาชนในการกำหนดอนาคตของประเทศ

เพียงแค่ในช่วงค่ำของวันเลือกตั้ง เมื่อเริ่มมีการประกาศผลการเลือกตั้ง แม้จะยังไม่เป็นทางการ แต่ก็พอจะเดา ๆ กันได้นั้น ผมสังเกตว่าเพื่อน ๆ ของผมหลายคนเริ่มแสดงอาการเสียใจหรือดีใจกันอย่างมากแล้ว หลายคนตีโพยตีพายเมื่อเห็นฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุนพ่ายแพ้ ในขณะที่อีกหลายคนก็ดีใจเมื่อฝ่ายตัวเองชนะ ยิ่งเมื่อได้เห็นข้อความต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ตแล้วยิ่งไปกันใหญ่ และหลายคนก็เริ่มด่าทออีกฝ่ายเมื่อผลไม่เป็นไปตามต้องการ

ตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงบทสนทนากับพระอาจารย์ที่ผ่านมา

การเมือง
Image by Peggy und Marco Lachmann-Anke from Pixabay

สุดท้ายใจเราก็ยังเข้าไปทำเวรทำกรรมกับเขาด้วยอยู่นั่นเอง หลายคนพอได้ยินข่าวว่าฝ่ายตัวเองชนะ จิตก็เริ่มคิดไปไหนต่อไหน ความดีใจเริ่มฟูขึ้นมาจนท่วมท้น บางคนลุกลามพานดึงความโกรธแค้นให้ฟูล้นขึ้นมา ขุดเรื่องราวในอดีตออกมาตอกย้ำให้อีกฝ่ายเจ็บใจ รู้สึกสมน้ำหน้าฝ่ายที่แพ้ อยากจะหัวเราะใส่หน้าเสียให้สะใจ

ฝ่ายที่เริ่มรู้ว่าตัวเองแพ้ จิตก็วิ่งไปไกลไม่แพ้กัน หลายคนคิดไปถึงขั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ฝ่ายที่ตัวเองเห็นว่าเป็นศัตรูนั้นจะทำเรื่องอะไรให้เราเจ็บแค้นเสียใจอีกบ้าง เขาทำอย่างไรถึงได้ชนะ ทั้งๆ ที่ไม่ควรชนะในความเห็นของเรา หรือเป็นชัยชนะที่ได้มาด้วยการโกงอีกกระมัง…คิดไปไกลถึงนั่น!

ผมลองคิดเล่น ๆ ว่า ถึงผลการเลือกตั้งจะออกมาตรงกันข้าม ความคิดต่าง ๆ ที่เพื่อน ๆ หลายคนคิดข้างต้นก็คงไม่ต่างไปจากที่เป็นอยู่เท่าไร เพียงแต่เปลี่ยนฝ่ายคนคิดเท่านั้นเอง ฝ่ายแพ้ก็ยังด่าฝ่ายชนะ ฝ่ายชนะก็ด่าฝ่ายแพ้ แล้วเดี๋ยวเราก็เข้าร่วมเวรร่วมกรรมไปกับเขาอีกเรื่อย ๆ

ผมคิดว่า ความจริงการที่เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องเรียบร้อยก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่หลังจากนั้นเราต้องวางตัววางใจของเราให้ถูกต้องด้วย คงไม่ใช่เรื่องผิดปรกติอะไรสำหรับปุถุชนอย่างเราที่จะดีใจหรือเสียใจไปกับผลการแข่งขัน แต่ความสามารถในการ “รู้ทัน” ความคิดเหล่านั้น ก่อนที่มันจะพากิเลสทั้งหลายในใจให้ออกมาเพ่นพ่านต่างหาก คือสิ่งที่เราต้องฝึกกันต่อในฐานะนักเดินทางที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป

ผู้ชนะหากรู้ทันใจของตัวเองก็คงวางตัวได้อย่างสงบ ไม่แสดงอาการดีใจจนเกินงาม หรือสมน้ำหน้า สะใจ ด่าทอให้ฝ่ายแพ้เจ็บแค้น หรือผู้แพ้หากรู้ทันใจของตัวเองก็คงวางตัวได้อย่างสงบเช่นกัน ไม่ฟูมฟาย ท้อแท้ ด่าทอฝ่ายที่ชนะให้เจ็บแค้นเป็นเวรเป็นกรรมกันไปอีก

ชาวพุทธทั้งหลายย่อมรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่เที่ยง ไม่คงอยู่และดับไปเองตามธรรมชาติของมันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศชาติ การเมือง ความพ่ายแพ้และชัยชนะของเราด้วย หลายสิ่งหลายอย่างรอบ ๆ ตัวเราไม่ว่าที่เป็นไปตามผลกรรมที่เราทำไว้หรือเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ ย่อมเป็นสิ่งที่เรากำหนดควบคุมไม่ได้ทั้งนั้น แล้วเหตุใดเราจึงต้องเก็บเอามาใส่ใจ ยึดมั่นเป็นเรื่องของเรา ให้เป็นทุกข์ ให้เป็นเวรเป็นกรรมกันไม่จบสิ้น

ผมว่า คนเราส่วนใหญ่ลึก ๆ ก็รู้กันอยู่แล้วครับว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า เราเองนั่นแหละที่ “อนุญาต” ให้กิเลสทั้งหลายมาบังตา มาเหวี่ยงใจเรากายเราให้วุ่นวายไปตามกระแส

การเมืองเป็นสิ่งที่ประชาชนอย่างเราต้องสนใจในฐานะพลเมืองคนหนึ่งก็จริง แต่อย่าให้มันต้องกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตของเราเป็นทุกข์ ต้องสร้างเวรสร้างกรรมต่อไปจนข้ามภพข้ามชาติเลยครับ

ตรงกันข้าม อาจจะเป็นโอกาสด้วยซ้ำที่เราจะได้เอาเรื่องการเมืองอันวุ่นวายนี้แหละมาฝึกจิตของเราให้รู้ทันใจของเรา เป็นเรื่องไม่ยากที่แม้ปุถุชนธรรมดาอย่างเรา ๆ ก็หัดทำเองได้โดยไม่ต้องไปเข้าสำนักปฏิบัติธรรมอะไรที่ไหน

มาร่วมกันเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสกันครับ สร้างอนาคตของเราด้วยใจของเรา หลายคนลืมไปแล้วว่า “สิทธิ” มาคู่กับ “หน้าที่” ตอนนี้เราได้ออกไปใช้ “สิทธิ” กันแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะกลับมาทำ “หน้าที่” ของเรา ทั้งในฐานะประชาชนของประเทศและในฐานะมนุษย์ผู้แสวงหาหนทางหลุดพ้นกันแล้วละครับ

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  พุทธิณัฐ

Image by tikisada from Pixabay

Secret Magazine (Thailand)


บทความน่าสนใจ

เหตุเกิดเพราะอยากช่วยชาติ สนทนาธรรมกับ พระอาจารย์มานพ อุปสโม

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.