เชื่อไหมว่า ผมเป็นคนโทสะแรงมาก ก่อนที่ผมจะฝึกเจริญสติเมื่อหลายปีก่อน แค่คนขับรถปาดหน้าก็จะลงจากรถเข้าไปต่อยเขาแล้ว ไม่เคยกลัวใคร ตายเป็นตาย!
แต่หลังจากเริ่มดูกายดูใจตัวเองเป็น โทสะที่เคยแรงมากก็ลดระดับลงแทบไม่เหลือ อย่างเมื่อวันก่อนกำลังยืนต่อแถวเพื่อจ่ายสตางค์ในห้างดัง อยู่ ๆ ก็มีคนเดินมาแซงคิวแบบเนียน ๆ ผมก็ขัดใจ แต่รู้ทันและมีสติพิจารณาบอกได้ว่า เราไม่รีบ การได้จ่ายเงินช้าลง 1 – 2 นาที คงไม่ได้เปลี่ยนชีวิตเราขนาดนั้น
แต่บางครั้งหากโกรธมาก ๆ เราพิจารณาไม่ทัน ก็ต้องให้สติเข้ามาช่วย อย่างเช่นเหตุการณ์ดังต่อไปนี้…
หลังจากผมพบว่าลูกน้องทำงานผิดพลาดในสิ่งที่ไม่ควรผิด รับปากอะไรแล้วไม่ดำเนินการให้เรียบร้อย ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ในฐานะผู้จัดการ ผมเรียกเขาเข้ามาคุยและตักเตือน แต่ลูกน้องคนนั้นกลับมีข้ออ้างและข้อแก้ตัวแบบเดิม ๆ ที่ใช้มาแล้วหลายรอบ และไม่เคยแก้ไขตัวเองเลย
ผมเริ่มโมโหจนหน้าแดง ใจเต้นแรง มือสั่น หายใจถี่ รู้สึกเหมือนอยากจะต่อว่าลูกน้องคนนั้นแรง ๆ ให้สะใจ ซึ่งหากไม่เคยฝึกสติดูจิตดูใจ ปฏิบัติธรรมมาก่อน ผมอาจต่อยอดจากการต่อว่าเป็นการกระโดดเข้าไปต่อยลูกน้องแล้วก็ได้
วินาทีนั้นรู้สึกเหมือนภายในตัวมีแรงดันคล้ายกับท่อที่มีน้ำร้อน ๆ กำลังพลุ่งขึ้นมา จิตของผมคล้ายมีทางแยกเป็นสองทาง ทางแรกคือ ด่าลูกน้องออกไปแรง ๆ อีกทางคือ บอกกับตัวเองว่าถ้าพูดออกไปตอนนี้จะเป็นการใช้อารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล และถ้าพูด สุดท้ายเราต้องกลับมานั่งรู้สึกผิดเอง พอมองไปที่สองทางแยกนั้น สติของผมกลับมาโดยอัตโนมัติ
นั่งมองใจตัวเองสักพัก ชั่งใจตัวเองว่าจะเลือกทางไหน… มองไปมองมา ความโกรธที่กำลังเดือดปุด ๆ หายวับ ใจกลับมาสงบ เย็นอกเย็นใจ เหมือนเวลาอากาศร้อน ๆ แล้วได้ทาแป้งเย็น
สุดท้าย เรื่องจบลงที่รอยยิ้มและคำพูดของผมที่พูดกับลูกน้องตัวดีว่า… “อย่าทำอีกนะครับ”
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมเปลี่ยนวิธีคุยกับลูกน้องคนนี้ใหม่ คืออดทนอธิบายบ่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะเตือนให้เขาปรับปรงุตัวเอง ซึ่งวิธีนี้ทำให้เขากลัวผมน้อยลงและทำงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขากล้าที่จะเดินมาคุยกับผมมากขึ้น ทำให้เวลามีปัญหา เราสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
เห็นไหมครับ…ว่าการ “ไม่โกรธ” มีประโยชน์แค่ไหน
Secret
พื้นฐานการฝึกสติต้องมีศีลกับทานก่อน เพราะหากไม่มีศีล สติจะเกิดขึ้นได้ยาก การรักษาศีลไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเริ่มด้วยความตั้งใจ… แค่เราตั้งใจว่าจะรักษาศีลเพียงเท่านี้ ศีลก็เกิดแล้ว เพราะศีลเกิดจากเจตนาวิรัติหรือเจตนาจะงด ส่วนทานนั้นก็ไม่ใช่การนำเงินไปหยอดตู้บริจาคเท่านั้น แค่เพียงรู้จักให้อภัย เช่น มีคนขับรถปาดหน้าแล้วเราอภัยให้…เท่านั้นทานก็เกิดแล้ว…สิ่งเหล่านี้จะเอื้อให้เวลาเจริญสติ จะทำให้สามารถปฏิบัติได้ง่ายขึ้น
พิทยากร ลีลาภัทร์ เจ้าของหนังสือธรรมะและเพจ “ธนาคารความสุข” นักเขียน นักคิด และวิทยากรผู้บรรยายเรื่องธรรมะแบบเข้าใจไม่ยาก
ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม 21 ปี
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง พิทยากร ลีลาภัทร์ / เรียบเรียง ณัฐนภ ตระกลธนภาส
ภาพ นิตยสาร Secret
บทความน่าสนใจ
“รู้” ใจ…ได้งาน – ศรันย์ ไมตรีเวช (ดังตฤณ)
สติ คือบอดี้การ์ดแห่งชีวิต – ภัทริน ซอโสตถิกุล
ปล่อยจิตให้เป็นโสด (บ้างเถอะ!) – ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ