ชิอุเนะ สึกิฮาร่า

วีซ่าเพื่อชีวิต ของ ชิอุเนะ สึกิฮาร่า

ชิอุเนะ สึกิฮาร่า (Chiune Sugihara) กงสุลใหญ่ญี่ปุ่นประจำประเทศลิทัวเนีย จำได้ดีว่า เช้าวันหนึ่งปลายเดือนกรกฎาคม ปี 1940 จู่ ๆ ก็มีชาวยิวมายืนล้อมรอบกำแพงสถานกงสุลเต็มไปหมด

คนเหล่านี้มาหาชิอุเนะด้วยเหตุผลเดียว นั่นคือ ต้องการให้เขาออกวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวให้ ทว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่วีซ่าเพื่อการพักผ่อนอย่างที่ระบุไว้ในเอกสาร แต่เป็นวีซ่าเพื่อการรอดชีวิต

ชิอุเนะ สึกิฮาร่า

ช่วงเวลานั้นมีชาวลิทัวเนียและชาวโปแลนด์เชื้อสายยิวจำนวนมากต้องการอพยพหนีออกนอกประเทศ เพราะลิทัวเนียตกอยู่ในอาณัติของสหภาพโซเวียตและถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ลิทัวเนียต้องรับมือในการสู้รบกับกองทัพนาซีที่แข็งแกร่งและกำลังจะพ่ายแพ้ ซึ่งถ้าแพ้ก็หมายความว่าชาวยิวในลิทัวเนียจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และหากไม่มีวีซ่าพวกเขาก็จะไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศอย่างปลอดภัยได้เป็นอันขาด

“แม้แต่นายพรานก็ยังไม่สังหารนกที่บินมาหลบภัย”

สุภาษิตของซามูไรบทนี้ปรากฏชัดขึ้นในใจของชิอุเนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้ตัวว่าเขาคือนายพรานที่ฝูงนกบินมาพักอาศัย ชิอุเนะโทรเลขปรึกษากระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นเพื่อขออนุญาตออกวีซ่าให้ชาวยิวเป็นกรณีพิเศษถึง 3 ครั้ง เพราะชาวยิวส่วนใหญ่ไม่มีเอกสาร ไม่มีพาสปอร์ต และไม่มีแม้แต่เงินค่าเดินทาง….แต่ทุกครั้งได้รับการปฏิเสธ…เวลาหนีเหลือน้อยลงทุกที ผู้คนมาเข้าแถวรอหน้าสถานกงสุลมากขึ้นเรื่อย ๆ ชิอุเนะจึงปรึกษายูกิโกะ ภรรยาของเขา ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า เขาจะออกวีซ่าให้ชาวยิวทุกคน แม้ไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม!

ชิอุเนะ สึกิฮาร่า

ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม – 28 สิงหาคม ปีนั้น ชิอุเนะและภรรยาช่วยกันออกวีซ่าซึ่งต้องเขียนด้วยมือตามระเบียบของกระทรวงฯ วันละ 18 – 20 ชั่วโมง และทั้ง ๆ ที่โซเวียตสั่งให้สถานทูตทุกแห่งปิด แต่ชิอุเนะก็ทำเรื่องขอเปิดดำเนินการต่ออีก 20 วัน ในคืนสุดท้ายก่อนที่จะต้องเดินทางออกจากลิทัวเนีย เขาและภรรยานั่งเขียนวีซ่าตลอดทั้งคืน…ชิอุเนะยังคงเขียนแม้ในขณะที่นั่งอยู่ในรถยนต์เพื่อไปยังสถานีรถไฟ และไม่หยุดเขียนแม้ตอนที่ไปถึงสถานีแล้ว ซึ่งที่นั่นมีชาวยิวเฝ้ารอเขาอยู่เป็นจำนวนมาก กระทั่งรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากชานชาลา ชิอุเนะจึงโยนกระดาษเปล่าที่มีลายเซ็นของเขาออกมาทางหน้าต่าง สุดท้ายก็โยนตราประทับของสถานกงสุลออกมาด้วย เพื่อว่าชาวยิวจะใช้มันทำวีซ่าปลอมได้

ชิอุเนะ สึกิฮาร่า

นักประวัติศาสตร์ประเมินว่า การกระทำที่กล้าหาญของชิอุเนะสามารถช่วยเหลือชาวยิวได้ถึง 6,000 – 10,000 คน แม้ว่าทางกระทรวงฯจะไม่ได้สอบสวนเขาต่อกรณีที่เกิดขึ้น ทว่าผลจากการตัดสินใจโดยพลการครั้งนั้นทำให้ชิอุเนะหมดอนาคตในหน้าที่การงานอย่างสิ้นเชิง เขาถูกกดดันให้ลาออกในปี 1947 หลังจากนั้นชิอุเนะต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นล่าม แปลเอกสาร และเป็นผู้จัดการบริษัทส่งออก ซึ่งทำให้เขาต้องจากครอบครัวไปใช้ชีวิตลำพังในโซเวียตนานถึง 16 ปี เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องราวในลิทัวเนียให้ใครฟังเลย กระทั่งถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี 1986 ดังนั้นชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักผู้ชายคนนี้

ทว่าเมื่อถึงวันฝังศพของเขา ทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่นพร้อมด้วยชาวยิวที่รอดชีวิตจากการช่วยเหลือของชิอุเนะได้มารวมตัวกันเพื่อเคารพศพและให้กำลังใจยูกิโกะ สื่อมวลชนจึงสนใจเรื่องราวของอดีตนักการทูตคนนี้ขึ้นมา ภายหลังจึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ให้เขาทั้งในญี่ปุ่นและในอีกหลาย ๆ เมืองทั่วโลก ผู้คนนำเรื่องของ “ชิอุเนะ สึกิฮาร่า” ไปสร้างเป็นละครและภาพยนตร์ และทำกิจกรรมหลายอย่างเพื่อรำลึกถึงเขา…จนทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า จะดีมากเพียงใดถ้าเขาได้รับสิ่งเหล่านี้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชิอุเนะต้องเผชิญความยากลำบากและความว้าเหว่เป็นเวลานาน เราคงมิบังอาจคิดว่าเขาและครอบครัวจะไม่มีความสุข แท้จริงแล้ว ความซาบซึ้งใจที่ได้ช่วยชีวิตคนนับพันนับหมื่นคนยังคงติดตรึงอยู่ในใจของสามีภรรยาคู่นี้ ดังที่ยูกิโกะได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2004 ว่า

“ฉันจำได้ว่ามีคนมารอที่สถานีรถไฟเต็มไปหมด สีหน้าของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณ เมื่อรถไฟเคลื่อนตัว หลายคนวิ่งตามและโบกมือให้ มีคนตะโกนขึ้นมาว่า ‘เราจะไม่ลืมคุณ เราจะได้พบกันอีก’…ฉันและสามีมองภาพนั้นแล้วมิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ แม้แต่ในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน”

 

คลิกดูสารคดีความยาว 12 นาที เรื่อง “A Japanese Holocaust Rescuer” ที่สร้างจากเรื่องจริงของชิอุเนะ สึกิฮาร่า

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  Violet

ภาพ  nippon.com, wikipedia

Secret Magazine (Thailand)


บทความน่าสนใจ

เจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ฝ่ายดูแลลูกค้าช่วยชีวิตลูกค้าที่อยู่ห่างไปหลายร้อยไมล์

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.