Emergency Room

6 วินาที ใน Emergency Room ความเป็นความตายอยู่ใกล้กันเพียงพลิกฝ่ามือ

“อะไรก็เกิดขึ้นได้” คำนี้พี่สาวแสนดีพูดบ่อย แต่ฉันเพิ่งเข้าใจจริงๆ ก็วันนี้… Emergency Room

วันนั้นเป็นวันธรรมดา ๆ วันหนึ่งขณะเล่นปิงปองใกล้จบเกม จู่ ๆ ก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายก็เกิดอาการ “รวนเร” ขยันทำงานขึ้นมากะทันหัน ฉันพยายามควบคุมสติ เก็บอาการ เพราะไม่อยากให้เพื่อน ๆ หมดสนุก จึงประคองตัวเล่นปิงปองต่อจนจบเกม

ฉันขับรถไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง โดยมีเพื่อนติดรถมาด้วยอย่างงง ๆ เพราะฉันไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้น พอมาถึงแผนกฉุกเฉิน ฉันก็แทรกตัวฝ่าฝูงคนที่ออกันอยู่ตรงประตูอย่างแน่นขนัด เข้าใจว่าคงมีเคสอุบัติเหตุจากที่ไหนสักแห่ง…แล้วปรี่ตรงไปที่เคาน์เตอร์ ซึ่งก็มีแต่พยาบาล ส่วนหมอนั้นกระจายอยู่ตามเตียงคนไข้หมด แต่นาทีนี้จะเป็นใครก็ช่าง ฉันขอทำ ECG (Electrocardiogram) โดยด่วน พยาบาลงงว่าคนไข้โรคหัวใจเดินมาขอตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเอง (ไม่รู้ซะแล้วว่าฉันขับรถมาเองด้วยซ้ำ)

พยาบาลชี้ให้ฉันเดินไปที่ห้องตรวจอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่สำหรับฉันในนาทีนั้นมันช่างไกลเหลือเกิน ฉันรวบรวมสติอีกครั้ง แข็งใจเดินต่อไปอย่างตุปัดตุเป๋ชนโต๊ะเก้าอี้ล้มโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังพอมีสติรับรู้ได้ว่า ทั้งหมอ ทั้งคนไข้ต่างหันมามองฉันเป็นตาเดียว

ในที่สุดฉันก็พาตัวเองมาถึงเตียงคนไข้ และเพียงครู่เดียวก็มีคนมารุมฉัน ไม่นานก็ถอยออกไป เหลือไว้เพียงสายระโยงระยางที่เชื่อมตัวฉันเข้ากับอุปกรณ์ข้างเตียง ไม่นานหมอก็มาถึง พร้อมอ่านกราฟและพูดอะไรบางอย่างกับพยาบาล ซึ่งฉันได้ยินไม่ถนัด

ต่อมาฉันก็ถูกย้ายไปนอนบนเตียงที่อยู่ใกล้เครื่องมือต่าง ๆ มากขึ้น หมออธิบายว่าหัวใจของฉันเต้นเร็วเกิน 200 ครั้ง/นาที และนานกว่า 15 นาทีแล้ว (ตั้งแต่ฉันเริ่มมีอาการที่โต๊ะปิงปองนั่น) ซึ่งเสี่ยงเกินไปที่จะรอให้มันเบรกเอง ทันใดนั้นพยาบาลคนหนึ่งก็เดินกลับมาพร้อมยาเบรก (หัวใจ)

ฉันถามเรื่องผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากยานั่น และได้คำตอบสั้น ๆ เพียง “ก็…อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้” ฉันอุทานสั้นกว่าคำตอบของหมอว่า “อ้าว…” และคิดต่อในใจว่า “ใครจะยอมฉีด (ฟะ!)” ฉันต่อรองหมอ…ขอเวลาอีกหน่อย เผื่อว่าหัวใจฉันมันจะกลับมาเป็นปกติได้เอง หมอจึงผละไปดูคนไข้เตียงอื่น ขณะที่พยาบาลเริ่มนำอุปกรณ์ต่าง ๆ มาพันธนาการฉันไว้มากขึ้น ยากที่จะรู้ว่ามันคืออะไรบ้าง เพราะฉันไม่สนิทกับของเหล่านี้ แต่ที่แน่ ๆ ฉันขอไม่รับออกซิเจนที่แม้มันจะช่วยชีวิตคนได้ ทว่าสำหรับฉันมันแสบซ่านและอึดอัดเอาการ

Emergency Room
Image by sutulo from Pixabay

ระหว่างนั้น เครื่องจับสัญญาณชีพที่อยู่ข้างเตียงร้องดังแสบแก้วหูเป็นระยะ บอกว่ามันจับสัญญาณได้เกินกว่า 200 ครั้ง/นาที มันดังเตือนอยู่หลายรอบจนฉันเริ่มชิน ส่วนหมอเริ่มกระวนกระวาย แล้วมันก็ดังถี่ขึ้น ขณะที่ความดันเริ่มตก เอาละสิ…หมอวิ่ง 100 เมตรเข้ามาทั้งที่อยู่ห่างไปไม่เกิน 10 เมตรพลางสั่งพยาบาลว่า “ต้องฉีดยาเบรกแล้วละ อันตรายเกินไป”

ดูเหมือนว่า…บางครั้ง ทางเลือกในชีวิตของเราก็มีอยู่จำกัด ฉันยอมรับ…การฉีดยาเพื่อเบรกการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นเหมือนดิสก์เบรกในรถรุ่นเก่า เพราะนั่นอาจทำให้จอดสนิท “หัวใจหยุดเต้น” ไม่กลับมาอีกเลย

แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเบรกแบบไหนในที่สุดหัวใจฉันก็ต้องถูกเบรก ยาที่ฉีดเข้าเส้นเลือดใกล้หัวใจออกฤทธิ์เพียง 6 วินาที แต่สำหรับฉัน 6 วินาทีนั้นเป็นเหมือนภาพสโลว์โมชั่น…นานเหลือเกิน…รู้สึกวูบ…โหวง…อ่อนแรง…อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ใช่…ฉันยังไม่เคยตาย แต่ 6 วินาทีนั้นก็คล้ายเป็นการซ้อมฉากสุดท้ายของชีวิต

เวลานั้นฉันรู้เพียงว่าต้องยกหูโทร.หาพี่ชาย เล่าเรื่องราวให้เขาฟังด้วยแรงที่เหลืออยู่และบอกว่า “ขอวางหูก่อนค่อยโทร.หาใหม่” แต่ประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยินคือ “ไม่วางนะ…อยู่ด้วยกัน” น้ำเสียงดุดันพอประมาณ คงเพื่อให้แรงพลังมาถึงปลายสายที่อยู่ห่างกันเกือบพันกิโลเมตรได้ หลังจากตื่นขึ้น ฉันยังจำเสียงนั้นได้ และยอมรับว่ามันมีค่ามากกว่าคำบอกรักใด ๆ ในเวลานั้น

ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น คนที่ล้อมรอบฉันอยู่ในชุดสีขาว บ้างก็ถือเข็มฉีดยา บ้างก็ถือผ้าพันแผล ดีใจจัง…อย่างน้อยก็ไม่ใช่ชายกำยำใส่ผ้าม่วงสีแดง ในมือถือหอก แม้ที่ที่ฉันลืมตาขึ้นมานี้จะไม่ใช่ “สวรรค์” แต่อย่างน้อยฉันก็มั่นใจว่าไม่ใช่ “นรก”

ภายหลังฉันได้เข้าพบแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ หมอวินิจฉัยว่า ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิด SVT (Supraventricular Tachycardia) และควรได้รับการรักษาโดยด่วน เพราะในเคสของฉัน แม้ไม่ได้เป็นบ่อย แต่อาการค่อนข้างรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตกะทันหัน (Sudden Death) ซึ่งในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะกว่า 400,000 คน นับเป็น 2 ใน 3 ของจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจทั้งหมด

ฉันขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผ่านช่วงวิกฤติมาได้

6 วินาทีในห้องฉุกเฉินทำให้เรียนรู้ว่า “ความเป็นความตายอยู่ใกล้กันเพียงพลิกฝ่ามือ ชีวิตจึงประมาทไม่ได้” อย่างที่พระไพศาลท่านเคยกล่าวว่า “เราไม่มีวันรู้หรอกว่า…พรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึงก่อนกัน” ฉะนั้น อย่าเสียเวลาโกรธเกลียดใครอีกเลย มันป่วยการ แต่จงบอกรักและโอบกอดคนที่คุณรัก โดยด่วน!

ฉันพูดจริง…สาบานได้

Emergency Room

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  กังสดาล ชวลิตธำรง

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine


บทความน่าสนใจ

ความประมาท 5 ประการที่ชาวพุทธควรหลีกเลี่ยง บทความดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.