พรวรินทร์ นุตราวงศ์

พรวรินทร์ นุตราวงศ์ เธอคือพยาบาลผู้รักษาใจด้วยการกอด

พลังของการกอด

“ได้พบคุณป้าคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่นอกตึกผู้ป่วย เราก็อดที่จะถามไม่ได้ “คุณป้าเป็นอะไรคะ บอกแอ้ได้นะคะ”

“ คุณป้าตอบด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นว่า “เขาจะให้พาลุง (สามี) กลับบ้าน แล้วจะกลับได้อย่างไร ถ้าเป็นอะไรไป ใครจะช่วย ที่บ้านก็ไม่มีใครเลย”

“ สิ่งที่พอจะปลอบโยนคุณป้าท่านนี้ได้คือการให้กำลังใจ เราจึงเข้ากอด คุณป้าตัวแข็งทื่อเลย คิดว่าตอนนั้นคงตกใจ แต่คุณป้าก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร “ขอบคุณมาก ๆ นะหนู ขอบคุณมาก ๆ ”

“ หลังจากนั้นก็เจอคุณป้าอีก เราเข้าไปกอดอีกครั้ง ครั้งนี้คุณป้ายอมและมีท่าทีที่อ่อนลง แล้วยังกอดเรากลับด้วย จึงนัดกอดกันทุกเช้า เชื่อว่าคุณป้าคงสัมผัสได้ถึงกำลังใจที่เรามอบให้ มีวันหนึ่งเราได้เข้าไปเยี่ยมคุณลุงพร้อมกับคุณป้าท่านนี้ เราบอกให้คุณป้าลองกอดคุณลุงดู ตอนแรกก็ไม่ยอมท่าเดียว จนเราต้องพูดแกมบังคับ คุณป้ากำลังก้มลงกอดคุณลุง แต่ปรากฏว่าคุณลุงเป็นฝ่ายกอดคุณป้าแทน คุณป้าบอกสามีว่า

“รักพี่นะ ไม่อยากให้พี่ตาย”  คุณลุงตอบกลับว่า “พี่ก็รักและห่วงน้อง ถ้าพี่ไม่อยู่แล้ว น้องจะอยู่อย่างไร”

“ การกอดครั้งนี้ได้ผล ทำให้คุณป้าไม่คิดลังเลหรือเขินอายเลยที่จะกอดเพื่อให้กำลังใจสามี เมื่อคุณป้าพาคุณลุงกลับบ้านที่ต่างจังหวัด คุณป้าโทร.มาเล่าให้ฟังว่ายังกอดคุณลุงทุก ๆ วัน หลังจากนั้นผ่านมาได้ 7 เดือน อาการก็ทรุดลง คุณป้าโทรมาปรึกษาเรา เราพยายามปลอบคุณป้าว่าคุณลุงอาการต้องดีขึ้น แต่ถ้าอาการยังไม่ดีพาคุณลุงมาที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะคะ คุณป้าบอกว่า

 

พรวรินทร์ นุตราวงศ์

 

“จะกอดเขาอยู่ที่บ้านอย่างนี้แหละ ไม่พาไปโรงพยาบาลแล้ว”

“ หลังจากนั้น 1 เดือนคุณลุงก็จากไป คุณป้าบอกว่า ได้กอดสามีไว้ในอ้อมกอดจนถึงวันสุดท้ายของเขา จะมีใครบ้างที่โชคดีที่ได้ตายอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เรารักอย่างคุณลุงท่านนี้อีก

“ มีเคสหนึ่ง เป็นนักศึกษาสาวที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เธอขาดความอบอุ่นเพราะคุณพ่อมีภรรยาใหม่ แล้วเธอรับไม่ได้ จึงแยกออกมาอยู่คนเดียว ตอนที่เธอป่วยคุณพ่อเดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาเฝ้า แต่เธอกลับไม่สุงสิงอะไรกับคุณพ่อเลย เราเป็นพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยคนนี้ จะอาบน้ำและเช็ดตัวให้ทุกวัน จนวันหนึ่งได้ขอน้องเขากอด และกอดน้องแบบนี้ในทุก ๆ วัน ความอบอุ่นที่ขาดหายไป ได้รับการเติมเต็ม เธอจึงขอเรียกเราว่า “แม่แอ้” แล้วเราก็รักน้องเหมือนลูกจริง ๆ เสียด้วย น้องจะบันทึกเรื่องราวในแต่ละวัน และพูดถึงเราว่าเราทำอะไรให้เขาบ้างไว้ในสมุดบันทึก ในวันที่น้องตาบอดเพราะมะเร็งลามได้ไปถึงสมองส่วนการมองเห็นแล้ว เราจับมือน้องไว้แน่น และบอกว่า “แม่อยู่ตรงนี้นะลูก หนูไม่ต้องกลัวอะไรนะ” หลังจากนั้นไม่นาน น้องก็จากไปโดยมีเราอยู่เคียงข้าง ”

 

แม่อยากเห็นปริญญา 

“ ผู้ป่วยบางรายไม่คาดว่าเขาจะได้ทำสิ่งนี้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะตาย อย่างผู้ป่วยมะเร็งปอดคนหนึ่งอยากเห็นปริญญาของลูก เขาบอกกับเราว่า

“คุณแอ้ พี่ขอตายเดือนมกราคมได้ไหม”

“พี่…ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราจะไปตอนไหน แอ้จะตายคืนนี้ยังได้เลย แต่เดือนมกราคมมีอะไรเหรอคะ”

“คุณแอ้ ลูกพี่เรียนจบแล้ว จะรับปริญญาเดือนมกราคม พี่ขอเห็นลูกรับปริญญาก่อนได้ไหม แล้วพี่จะตายอย่างไรก็ไม่ว่า”

 เราก็บอกเขาว่า “เดี๋ยวแอ้จัดการให้ค่ะ”

เราโทรไปบอกลูกชายของผู้ป่วยว่า “น้องไปมหาวิทยาลัยแล้วบอกอาจารย์เลยว่า คุณแม่ป่วยหนักอยากเห็นปริญญา ขอปริญญามาให้คุณแม่ดู และน้องพอเช่าชุดครุยมาได้ไหม”

“ได้ครับ ที่หน้ามหาวิทยาลัยมีร้านเช่าชุดครุยพอดี”

“เช่ามาเลย เดี๋ยวมาถ่ายรูปที่เตียงคุณแม่กัน”

แล้วปรากฏว่าผู้ป่วยได้ตัดชุดผ้าไหมสีฟ้าเตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เราบอกให้น้องเตรียมมาด้วย พอถึงวันนั้น เราเปลี่ยนชุดผ้าไหมสีฟ้าที่ตั้งใจตัดไว้ให้กับเขา แล้วถ่ายรูปกันที่เตียงผู้ป่วย ลูกชายเข็นคุณแม่ลงไปถ่ายรูปต่อที่สนามหญ้าหน้าวชิรพยาบาล จำภาพในวันนั้นได้เลยว่า ผู้ป่วยมีความสุขมากขนาดไหน เราช่วยออกค่าล้างรูปให้ด้วยเงินใต้ฐานพระ ซึ่งเป็นเงินที่เราแบ่งจากค่าตอบแทนที่ไปเป็นวิทยากรตามหน่วยงานต่าง ๆ ใส่ไว้ใต้ฐานพระที่บ้านทุกครั้ง พอมีเคสที่คนไข้ไม่มีเงิน จะนำเงินจากตรงนี้มาช่วยเหลือ ผู้ป่วยคนนี้อยู่ต่อมาอีก 1 เดือน ก็จากไป โดยยังมีรูปถ่ายในวันนั้นอยู่บนเตียง ”

 

คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป >>>

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.