วังคีสะ

วังคีสะ หมอดูผู้พยากรณ์ชาติหน้าของคนตายด้วยหัวกะโหลก

วังคีสะไม่รอช้า เริ่มเคาะกะโหลกแรกทันที ก็พยากรณ์ถูกจนกระทั่งมาถึงหัวกะโหลกอันสุดท้าย ปรากฏว่าเขากลับไม่สามารถพยากรณ์ได้ จึงสร้างความสงสัยให้กับวังคีสะเป็นอย่างมาก

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “หัวกะโหลกอันที่ 5 นี้ เจ้าของไปเกิดเป็นอะไร แล้วอยู่ที่ใดในตอนนี้”

“ข้าพเจ้าไม่รู้” วังคีสะตอบ

“เราตถาคตรู้ “

“พระองค์ทรงทราบวิธีพยากรณ์ที่สูงกว่าข้าพเจ้าเช่นนั้นหรือ”

“ใช่”

วังคีสะทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงสอนศาสตร์การพยากรณ์หัวกะโหลกชั้นสูงให้ตน แต่พระพุทธเจ้าทรงมีข้อแม้ว่า วังคีสะต้องบวชเป็นพระภิกษุในสำนักของพระองค์ วังคีสะหลงคิดว่าหากตนได้ครอบครองศาสตร์ชั้นสูงนี้แล้วจะทำให้ตนมีแต่ความมั่งคั่งเป็นทวีคูณ และเหนือกว่าผู้ใดในปฐพี

เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนพระวังคีสะด้วยพระกรรมฐาน มี อาการ 32 เป็นอารมณ์ ไม่นานนัก สิ่งที่พระวังคีสะได้รับกลับไม่ใช่ศาสตร์พยากรณ์กระโหลกคนตายชั้นยอด แต่กลับเป็นการบรรลุอรหัตตผลแทน

 

วังคีสะ

 

เรื่องของพระวังคีสเถระ อดีตหมอดูหัวกะโหลกคนตาย สะท้อนให้เห็นว่าในสังคมอินเดียโบราณที่ร่วมสมัยกับพระพุทธศาสนา มีความเชื่อเรื่องชาติหน้าเหมือนพระพุทธศาสนา สังเกตจากศาสตร์การพยากรณ์ของวังคีสะ ที่สามารถทำนายชาติหน้าของคนตายได้

ส่วนกระโหลกอันที่ 5 ที่วังคีสะทำนายไม่ได้นั้น เป็นหัวกะโหลกของพระอรหันต์ ทำไมศาสตร์พยากรณ์ของวังคีสะไม่สามารถทำนายกะโหลกอันนี้ได้ เป็นเพราะเจ้าของกะโหลกนี้ได้เข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว โดยเป็นสภาวะที่ไร้ตัวตน ไม่เหลือดวงจิตให้วังคีสะล่วงรู้ถึงชาติถัดไปของผู้ตายได้อีก

ส่วนการที่ชาวบ้าน หรือพุทธศาสนิกชน กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าของเราได้หรอก” อันนี้สะท้อนให้เห็น ซึ่งก็เป็นตามจริงเพราะมีปรากฏตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาอยู่หลายครั้งว่า พระพุทธเจ้าล่วงรู้เรื่องชาติหน้าของสัตว์โลกได้อย่างแม่นยำ

ครั้งหนึ่งพระอานนท์เคยทูลถามพระพุทธเจ้าถึงชาติหน้าของพุทธบริษัท 4 ท่านว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาฬหเถระ นันทาเถรี สุทัตตอุบาสก และสุชาดาอุบาสิกาได้ล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาไปเกิดเป็นอะไรและอยู่ที่ใด”

พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า “เดี๋ยวก่อนอานนท์ สาฬหเถระ ได้ทำให้ตนแจ้งด้วย เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ ทำให้ไร้ซึ่งอาสวกิเลส เพราะการสิ้นไปแห่งกิเลสด้วยปัญญาในปัจจุบัน (ขณะ) จึงเข้าถึงอยู่ (นิพพาน) นันทาเถรี เมื่อมรณภาพแล้วเกิดเป็นอุปปาติกะ (เกิดเองโดยปราศจากพ่อแม่ เป็นเทวดา พรหม นาคและครุฑบางจำพวก) แล้วจะนิพพานในภพนั้น (แสดงว่านันทาเถรีเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส เพราะเป็นที่สถิตของพระอนาคามี เมื่อสิ้นอายุขัยก็เข้าสู่พระนิพพานทันที) สุทัตตอุบาสก สำเร็จเป็นพระสกทาคามี เพราะละสังโยชน์ 3 มีกิเลส 3 เบาบาง ต้องกลับมาเกิดบนโลกอีกครั้งจึงจะพบพระนิพพาน ส่วนสุชาดาอุบาสิกา สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เพราะละสังโยชน์ 3 (เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติจึงเข้าพระนิพพาน)”

การทูลถามของพระอานนท์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน คิญชกาวสถสูตร สังเกตว่า การจากไปของพุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ต่างสำเร็จในขั้นของพระอริยบุคคลทั้ง 4 คือ พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกคามี และพระโสดาบัน

แม้แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามว่า พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีผู้เป็นที่รัก ไปเกิดอยู่ที่ใดเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ความเป็นไปของสัตว์โลกอย่างแท้จริง


ที่มา 

อรรถกถานิโครธกัปปสูตร

คิญชกาวสถสูตร

ภาพ 

https://pixabay.com


บทความน่าสนใจ

เบอร์โทร.และฮวงจุ้ย กิ๊ก – มยุริญ ผ่องผุดพันธ์

หมอดู ทำนายอนาคต ได้ถูกต้องจริงหรือ

จางเหิง หมอดู “ แผ่นดินไหว ” ผู้นำประโยชน์สู่มนุษยชาติ

ปัญหาธรรม : หมอดูล่วงรู้ ดวงชะตา เราได้อย่างไร

ปัญหาธรรมประจำวันนี้ : เราจะเชื่อเรื่อง โชคดวง ที่หมอดูทำนายทายทักได้หรือไม่

การจัดวางที่อยู่อาศัย หรือ ฮวงจุ้ย มีผลกับชีวิตของเราจริงไหม

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.