วิธีรักษาโรคทางกายจากพระไตรปิฎก
พระไตรปิฎกนับว่าเป็นแหล่งคลังทางปัญญา สามารถแสวงหาความรู้ได้ในหลายศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ ศาสนศาสตร์ แม้กระทั่งศาสตร์ทางการแพทย์ พระพุทธเจ้าทรงเป็นแพทย์ผู้รักษาเวไนยสัตว์ให้หายจากการหลงในอวิชชาด้วยยาคือคำสอนของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีวิธีรักษาโรคทางกายด้วยวิธีทางการแพทย์ มาดูกันค่ะว่า วิธีรักษาโรคทางกายจากพระไตรปิฎก มีอะไรกันบ้าง
พระพุทธเจ้าทรงจำแนกผู้ป่วยออกเป็น 3 ประเภท คือ (1) ผู้ป่วยที่รักษาไม่หาย (2) ผู้ป่วยที่รักษาหายเป็นปลิดทิ้ง และ (3) ผู้ป่วยที่เดี๋ยวหายเดี๋ยวไม่หาย วิธีการรักษาโรคทางกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท (1) การรักษาด้วยสมุนไพร (2) การรักษาด้วยเทคนิค (3) การรักษาด้วยพุทธมนต์ และ (4) การรักษาด้วยการบำเพ็ญภาวนาทางจิต แต่ในวันนี้เราจะนำเสนอเพียงการรักษาโรคด้วยสมุนไพร ซึ่งเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจมิใช่น้อย
การรักษาโรคด้วยสมุนไพรในสมัยพุทธกาล ประกอบด้วยสมุนไพรจากพืช สัตว์ แร่ธาตุ และสมุนไพรหลายตัวมารวมกัน
การรักษาโรคด้วยสมุนไพรมีปรากฏในพระไตรปิฎกว่า
ครั้งพระพุทธเจ้าประทับยังเมืองสาวัตถี มีภิกษุหลายรูปอาพาธ บางรูปต้องการฉันรากไม้เพื่อเป็นยา บางรูปต้องการฉันน้ำฝาดเพื่อเป็นยา บางรูปต้องการฉันใบไม้เพื่อเป็นยา บางรูปต้องการฉันผลไม้เพื่อเป็นยา บางรูปต้องการฉันยางไม้เพื่อเป็นยา บางรูปต้องการฉันยาดองเพราะป่วยเป็นโรคลมในท้อง พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บัญญัติพระวินัยว่าภิกษุฉันรากไม้ น้ำฝาด ใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ และยาดองเพื่อรักษาโรคได้เท่านั้น
หรืออย่างกรณีพระปิลินทวัจฉะอาพาธด้วยโรคลม แพทย์ต้องรักษาท่านด้วยน้ำมันผสมน้ำเมา (เหล้า) พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตยกเว้นให้ภิกษุสามารถฉันน้ำเมาได้ในฐานะที่เป็นยารักษาโรคเท่านั้น
หรือแม้กระทั่งครั้งหนึ่งพระอรหันต์อย่างพระสารีบุตรอาพาธเป็นไข้ตัวร้อน พระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นสหายสอบถามอาการ พระสารีบุตรขอให้พระเถระไปเก็บรากและเหง้าบัวมาเพื่อฉันเป็นยาลดไข้ให้ทุเลา พระมหาโมคคัลลานะก็ไปนำรากและเหง้าบัวมาจากสระโบกขรณีมันทากินี พอพระสารีบุตรฉันรากและเหง้าบัวแล้วอาการทุเลาลงจนหายเป็นปกติ
พระสารีบุตรป่วยอีกครั้งเป็นโรคลมเสียดท้อง พระมหาโมคคัลลานะก็ช่วยเหลือโดยการนำกระเทียมมาให้พระสารีบุตรฉัน อาการจึงดีขึ้น
พระพุทธเจ้าทรงเคยถ่ายหนักไม่ออกหลายวัน หมอชีวกโมมารภัจจ์ แพทย์ประจำพระองค์แนะนำให้พระอานนท์ทำพระวรกายของพระพุทธเจ้าให้ชุ่มเป็นเวลา 2-3 วัน (น่าจะหมายถึงการเช็ดพระวรกายด้วยน้ำ) หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าต้องเสวยยาถ่าย แต่หมอชีวกเกรงว่าการถวายยาเนื้อหยาบแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร (อาจเพราะตอนประชวร พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุมากแล้ว) ท่านจึงอบก้านบัวด้วยยาต่าง ๆ สำหรับช่วยขับถ่าย โดยหากทรงสูดดมหนึ่งครั้งจะช่วยให้พระองค์ทรงถ่ายหนักถึง 10 ครั้ง หมอชีวกถวายก้านบัวอบยาแด่พระพุทธเจ้า 3 ก้าน ทำให้พระองค์ทรงถ่ายหนักถึง 30 ครั้ง
ระหว่างที่หมอชีวกทูลลากลับ ในใจคิดว่าพระพุทธเจ้าพึงถ่ายหนักแค่ 29 ครั้งเป็นพอ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยทิพยญาณจึงถ่ายหนักแค่ 29 ครั้ง เมื่อหมอชีวกเข้าเฝ้าเพื่อตรวจพระอาการ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราถ่าย 29 ครั้ง ตามที่ท่านแนะนำ เรื่องสร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่หมอชีวกเป็นอย่างมาก หมอชีวกถวายคำแนะนำพระพุทธเจ้าว่า ห้ามเสวยพระกระยาหารที่ปรุงจากน้ำต้มผักจนกว่าพระอาการหายเป็นปกติ
พระพุทธเจ้าตรัสถึงโทษของการไม่เคี้ยวไม้สีฟัน (อาจเทียบได้กับการแปรงฟันในปัจจุบัน) 5 ประการ คือ (1) นัยน์ตาไม่สดใส (2) ปากเหม็น (3) ลิ้นรับรสอาหารไม่เต็มที่ (4) ดีและเสมหะจะห่อหุ้มอาหาร (5) ไม่ชอบทานอาหาร
มีภิกษุและภิกษุณีที่ล้มป่วยพอฉันเนื้อสัตว์แล้วหาย เช่น ภิกษุณีเป็นไข้ ฉันปลาและเนื้อแล้วหาย ภิกษุถูกผีเข้า พอฉันเนื้อสดแล้วหาย เป็นต้น
มีกรณีที่ภิกษุดื่มยาถ่ายแล้วเป็นไข้หนัก อยากฉันน้ำเนื้อต้ม นางสุปปิยาก็อาสาทำมาถวาย นางให้คนใช้ไปซื้อเนื้อที่ตลาด แต่กลับไม่มีเนื้อขาย นางสุปปิยาต้องแล่เนื้อขาของตนเองปรุงเป็นน้ำเนื้อต้มแล้วให้คนใช้นำไปถวายพระภิกษุรูปนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จมายังเรือน ด้วยพุทธคุณทำให้แผลที่ขาของนางหาย
พระเวลัฏฐสีละ พระอุปัชฌาย์ของพระอานนท์ป่วยเป็นโรคฝีดาษ ก็รักษาด้วยหินผสมขี้วัว (โคมัย) แต้มตามจุดฝี
พระภิกษุถูกงูกัด พระพุทธเจ้าทรงให้รักษาด้วยยามหาวิกัฏ 4 อย่าง คือ คูถ มูตร เถ้า ดิน
พระพุทธเจ้าตรัสถึงการที่ปราศจากโรคคือไม่เบียดเบียนสัตว์และกินอาหารแต่น้อย โรคก็จะไม่เบียดเบียน
ที่มา : การรักษาโรคในพระไตรปิฎก โดย วิโรจน์ นาคชาตรี
ภาพ : pixabay
บทความน่าสนใจ
Dhamma Daily : หากเราเจริญสติได้เป็นอย่างดีแล้วจะมีโอกาสเป็น โรคอัลไซเมอร์ตอนชรา หรือไม่
ท่านพุทธทาสภิกขุระงับ โรคหัวใจวาย และน้ำท่วมปอดด้วยธรรมโอสถของพระพุทธเจ้า