วิกกี้ อัมมิเปจ

วันที่คนตาบอดมองเห็นวิญญาณ เรื่องจริงของ วิกกี้ อัมมิเปจ

วันที่คนตาบอดมองเห็นวิญญาณ เรื่องจริงของ วิกกี้ อัมมิเปจ

ต้นไม้เป็นสีเขียว ก้อนเมฆเป็นสีขาว ท้องทะเลเป็นสีคราม แม้แต่รุ้งก็มีเจ็ดสี… หากลองถามเด็กที่วิ่งเล่นกันอยู่คงตอบได้ แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน

แม้จะรู้ว่าต้นไม้มีสีเขียว แต่ก็เป็นสีเขียวที่คนอื่นเล่าให้ฟัง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีเขียวเป็นอย่างไร ตั้งแต่เกิดมาฉันมองเห็นแต่เพียงสีดำเท่านั้น นานมาแล้วแม่เคยเล่าให้ฟังว่า ฉันเกิดมามีอวัยวะครบ 32 แต่โชคร้ายที่ต้องตาบอด เพราะออกซิเจนในตู้อบเด็กมีปริมาณมากเกินไป ดังนั้นจะพูดว่าฉันตาบอดมาตั้งแต่เกิดก็คงไม่ผิดนัก

มันคงเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มาก ถ้าวันหนึ่งคน “ตาบอด” อย่างฉันจะสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้

ฉันชื่อ วิกกี้ อัมมิเปจ (Vicki Umipeg) ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันรู้จักโลกใบนี้ผ่านการบอกเล่าของคนอื่น ฉันจึงได้แต่จินตนาการถึงลักษณะและสีสันของสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นเช่นไร มันจะแตกต่างจาก “สีดำ” มืดมิดของฉันหรือไม่

วิกกี้ อัมมิเปจ

จนวันนั้นมาถึง วันที่ฉันคิดว่าฉันมองเห็นภาพเป็นครั้งแรก มันคือสีสันแปลกใหม่ที่ทั้งชีวิตของฉันไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน…

มันคือภาพของห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ผนังห้องทาด้วยสีขาว มีผู้คนแปลกหน้ามากมายอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวทั้งตัว กำลังยืนล้อมรอบร่างหญิงคนหนึ่งที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง

ความรู้สึกแรกที่เห็นสร้างความตกใจให้กับฉัน ฉันจ้องมองร่างที่นอนอยู่ตรงนั้น สัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยอันน่าประหลาด… ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั้นคือตัวฉันเอง

ฉันจำแหวนทองที่ใส่บนนิ้วนางนั้นได้ มันมีดอกส้มที่มุมของแหวนวงนั้นด้วย แต่น่าแปลกตรงภาพที่เห็นนั้นเหมือนฉันกำลังมองลงมาจากด้านบน

ที่แท้มันคือภาพมุมสูง และฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังลอยอยู่บนเพดานห้อง!!!

ถ้าร่างที่นอนอยู่ตรงนั้นคือตัวฉัน แล้วฉันที่กำลังลอยอยู่ตรงนี้ล่ะคือใคร หรือว่านี่คือวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง ฉันตายแล้วอย่างนั้นหรือ!!!

เพียงชั่วแวบเดียว ความทรงจำก่อนหน้านี้ก็ไหลกลับเข้ามาในหัว ฉันระลึกได้ว่าตัวเองเพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้ฉันควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง และบรรดาคนแปลกหน้าที่ฉันเห็นก็คงเป็นหมอและพยาบาล พวกเขากำลังให้การรักษาฉันอยู่กระมัง

ขณะที่กำลังคิดเพลิน ๆ อยู่นั้น ฉันรู้สึกเหมือนวิญญาณของตัวเองถูกดูดให้ลอยขึ้นสูงเหนือโรงพยาบาล มีเสียงระฆังสดใสดังมาจากทั่วทิศทาง แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนหายเข้าไปในหลุมดำมืดมิด ภายในนั้นฉันมองไม่เห็นอะไร เป็นความมืดที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี พอเข้ามาในนี้ตัวของฉันก็ยังคงลอยสูงขึ้นไป ๆ จนพบเจอกับแสงสว่างเล็ก ๆ ตรงหน้า ฉันคิดว่าที่นั่นคงเป็นจุดหมาย เพราะฉันกำลังลอยเข้าไปหามัน

วิกกี้ อัมมิเปจ
photo : projectavalon.net

พอได้เข้าไปอยู่ในแสงสว่างนั้น ฉันกลับรู้สึกตัวว่ากำลังนอนอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง มีแสงสว่างอยู่ในทุก ๆ ที่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนส่องสว่าง เป็นแสงสว่างที่สัมผัสได้ถึงความรัก

ที่นี่มีทั้งสัตว์และผู้คนมากมาย ฉันได้เจอคนรู้จักของฉันที่นี่ด้วย พวกเขากำลังยืนต้อนรับฉันอยู่ มีทั้งเพื่อน คุณป้า พี่เลี้ยง คุณยาย ซึ่งพวกเขาล้วนตายไปแล้วทั้งสิ้น ฉันรู้สึกยินดีที่ได้พบพวกเขาอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะพูดอะไร ฉันก็มองเห็นแสงสว่างเจิดจ้าจากอีกจุดหนึ่ง มันเป็นแสงที่ส่องสว่างมากกว่าสิ่งใด ฉันตระหนักได้โดยทันทีว่านั่นคือ “พระเจ้า”

พระองค์พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและไพเราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา พระองค์บอกว่าฉันควรกลับไป แต่ฉันปฏิเสธ เพราะชอบสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้ฉันสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันได้อยู่กับแสงสว่าง ได้อยู่กับความรักที่มีอยู่ทั่วพื้นที่ แต่พระองคยังคงยืนยันคำเดิม “เจ้าจะได้มาที่แห่งนี้อีกครั้งแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้..เจ้าควรจะกลับไป”

ฉันหันกลับไปมองกลุ่มคนรู้จักของฉัน พวกเขายิ้มแย้มและพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพระองค์

ทันใดนั้น เหมือนมีแรงบางอย่างดึงดูดวิญญาณฉันกลับลงมา ฉันรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ และใช้เวลาเพียงไม่นานนักทุกอย่างก็ดูสงบนิ่ง จากนั้นฉันก็รู้สึกตัวขึ้นมาสัมผัสกับความอ่อนนุ่มของที่นอน พร้อมกับมองเห็นภาพเดิมอีกครั้ง ภาพที่มองเห็นแต่ “สีดำ” เท่านั้น!!!

เฮเลน เคลเลอร์ นักเขียนตาบอดหญิงชาวอเมริกา เคยพูดว่า “สำหรับคนทั่วไป ความตายไม่ได้มากมายไปกว่าการย้ายจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง”

…แต่สำหรับฉันมันแตกต่าง เพราะในอีกห้องหนึ่งนั้นฉันสามารถมองเห็นได้

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  ศักรินทร์ ศิรินัย

photo by Helmut_Strasil on pixabay

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine


บทความน่าสนใจ

วิญญาณบนยอดเขา – เรื่องเล่าลึกลับ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.