ยิ่งให้ ยิ่งได้

ยิ่งให้ ยิ่งได้

ยิ่งให้ ยิ่งได้ – เรื่องเล่าเตือนสติให้ระลึกถึงอานิสงส์ของ “การให้” อันแสดงถึงความมีน้ำใจต่อผู้อื่น

เคยได้ยินประโยคที่ว่า “อยากมีความรู้ ให้สอนคนอื่น” ไหมคะ?

ได้ยินแรกๆ แอบคิดว่า พูดอะไรไม่เห็นจะเข้ากันเลย…ที่เราอยากมีความรู้ ก็เพราะไม่มีความรู้ไม่ใช่หรือ เมื่อไม่มีความรู้แล้วจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไรกัน

ถึงวัยหนึ่ง วัยที่เปลี่ยนผ่านและได้เรียนรู้ในหลายเรื่องราว ทำให้เริ่มเห็นจริงตามคำกล่าวนั้นขึ้นมา ระลึกย้อนไปถึงในวัยเรียน ไม่แน่ใจว่าใครเป็นเหมือนฉันบ้าง จำได้ว่าช่วงใกล้สอบ ฉันต้องเร่งอ่านหนังสือตั้งใหญ่สูงท่วมหัว อ่านเท่าไรก็ไม่หมดสักที ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อและทรมานใจสุดจะบรรยายจริงๆ

 

…อ่านไปอ่านมาก็ชักจะง่วงเหงาหาวนอน หนังสือเรียนน่ะยานอนหลับดีๆ นี่เอง…

…ไปเดินเล่น กินน้ำ กินขนมเสียหน่อย…

…ดูต้นไม้อีกนิด แวะไปดูปลาที่เลี้ยงไว้ในอ่างหน่อยแล้วกัน…

…โทร.คุยกับเพื่อน เมาท์กันเล็กๆ …

เอ๊ะ…เปิดดูข่าวสารบ้านเมืองหน่อยน่า…

อ้าว…ละครเรื่องนี้กำลังสนุกนี่นา…

คราวนี้เลยไปไกลถึงไหนๆ…กู่ไม่กลับ ในที่สุดก็อ่านหนังสือไม่ทัน ตอนทำข้อสอบก็ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามเรื่องตามราว ตามบุญตามกรรมกันไป

ครั้นวันหนึ่ง ฉันและเพื่อนๆ ได้คิดกันว่า เมื่ออ่านหนังสือคนเดียวไม่ทัน ก็ควรจะแบ่งกันอ่าน อ่านแล้วก็ทำสรุปส่งต่อให้เพื่อนอ่าน พวกเราจึงต่างแบ่งวิชาที่ตัวเองถนัด ก่อนแยกย้ายกันไปอ่าน

เด็กเรียนปานกลางอย่างฉันน่ะ ความจริงไม่ถนัดเลยสักวิชา แต่ก็ต้องรับมาอ่าน 2 วิชา แล้วนี่ยังจะต้องเป็น “คนติว” ให้เพื่อนๆ อีก เราตกลงกันว่า คนติวต้องอ่านและทำสรุปย่อให้เสร็จเรียบร้อยก่อนวันสอบอย่างน้อย 2 วัน และหากจำเป็นก็จะต้องอธิบายสรุปย่อนั้นให้เพื่อนได้เข้าใจด้วย…จะทำได้หรือนี่

บ่นกับตัวเอง… งานเข้าเสียแล้วสิเรา!!!

 

จากความกังวลนั้นทำให้ฉันเกิดอาการขมีขมันอ่านหนังสือ ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรง พลังกายพลังใจมาจากไหน สมาธิดีเยี่ยม อ่านได้ดีได้เร็วจนทึ่งตัวเอง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อ่านหนังสือจบและทำสรุปย่อเสร็จก่อนกำหนดวันสอบถึง 3 วัน

“การติว” ผ่านไปอย่างราบรื่น ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ คะแนนสอบในเทอมนั้นของฉันสูงขึ้นมาเกือบทุกวิชา ไม่เพียงได้คะแนนดีในวิชาที่รับหน้าที่ติวเท่านั้น แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่พุ่งทะยานนำหน้าคะแนนสอบไปเสียอีก นั่นก็คือ “ความภาคภูมิใจและมั่นใจในตัวเอง”

ใช่แล้ว ฉันรู้สึกภาคภูมิใจที่ตัวเองทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาได้จนสำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี เกิดความตระหนักขึ้นมาในใจว่า เรานี่ก็เก่งนะ เราทำได้เหมือนกันนี่นา และหากมุ่งมั่นตั้งใจจริง ก็ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ที่สำคัญ ฉันกลายเป็นคนเรียนดีเรียนเก่งไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ลองมาใคร่ครวญดู…ทำไมในเวลาปกติ การอ่านหนังสือก่อนสอบสำหรับฉันจึงเป็นยาขมหม้อใหญ่ที่น่าเบื่อหน่าย ไม่อยากอ่าน อ่านไม่จบ แต่เมื่อได้รับมอบหมายจากเพื่อนๆ กลับมีพลังมากมายมหาศาลที่จะอ่านหนังสือ ทำสรุป และท่องหนังสือได้จนขึ้นใจ ทำได้ดี ทำได้โดยสะดวกอย่างมีความสุขเสียด้วย ความขี้เกียจ ความง่วงเหงาหาวนอนพากันหลบลี้หนีหายไปหมดเลย

เป็นไปได้ไหมว่า เพราะเรากลัวเสียหน้าน่ะสิ…เสียงเล็กๆ ในหัวท้วงขึ้นมา หรือจะเป็นเพราะเจ้า “ตัวตนอัตตา” ของเรามันพากันมาเร่งเร้ากระตุ้นให้มุ่งมั่นทำอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยกลัวเพื่อนๆ จะตำหนิ แล้วเราจะรู้สึกแย่ พานเสียความมั่นใจในตัวเองไปเสียละกระมัง

จะว่าไปก็อาจมีส่วนอยู่บ้างที่เราทำเพราะกลัวเสียหน้า…แต่มาคิดๆ อีกที ฉันก็อดจะเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า คงต้องมีอานิสงส์จากความตั้งใจที่จะ “ให้” ด้วย ทำให้เกิดความรับผิดชอบ เกิดความกระตือรือร้นที่จะอ่าน ทำความเข้าใจกับเรื่องที่อ่าน ผลก็คือทำให้ “ได้” ความรู้ นั่นคือการได้ความรู้จากการสอนคนอื่นนั่นเอง

ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง หากไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็คงไม่สมบูรณ์ เพราะประสบการณ์นี้ทำให้ฉันเข้าใจและได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในชีวิตการทำงาน การดำเนินชีวิต การคบหากับเพื่อนฝูงได้อย่างกลมกลืนและมีความสุข

ด้วยฉันตระหนักและระลึกรู้ว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก การให้ย่อมผูกใจ เป็นการสร้างไมตรีต่อกัน จึงได้รับมิตรภาพอันงดงามตอบแทนจากคนรอบข้างอยู่เสมอ

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  ใบไม้แสงจันทร์

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine


บทความน่าสนใจ

ตัวอย่างของ การทำทานด้วยเจตนาอันไม่บริสุทธิ์  ข้อคิดดี ๆ ที่ชาวพุทธควรรู้

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.