ท่านติช นัท ฮันห์

ท่านติช นัท ฮันห์ ชีวิตเพื่อสันติภาพ

สงครามโหดร้ายเพียงไหน ใครเล่าจะเข้าใจได้ดีเท่ากับผู้ที่ผ่านสงครามมาแล้ว ดังเช่น ท่านติช นัท ฮันห์ ผู้ที่เกิดและอยู่ท่ามกลางไฟสงครามมาตลอดชีวิต

เด็กชายนัท ฮันห์ เกิดวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2469 ซึ่งเป็นปีที่ 53 นับตั้งแต่เวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ครอบครัวของท่านทุกข์ยากแสนสาหัสเช่นเดียวกับครอบครัวของชาวเวียดนามที่ไร้เสรีภาพทั่วไป แต่ท่านก็ได้รู้จักความสุขและความล้ำค่าของชีวิตจากแม่ของท่านเอง

““ความรักของแม่ช่างหอมหวนดั่งกล้วย ข้าวที่หวานหอม และน้ำอ้อย…ข้าพเจ้าไม่เสียใจที่ทิ้งแม่มาบวช แต่เสียใจที่ตัวเองต้องตัดสินใจเช่นนั้น… ทุกคืนข้าพเจ้าจะสวดภาวนาให้แม่ แต่ไม่อาจจะได้ลิ้มรสกล้วยที่เยี่ยมยอด ข้าวหอมหวานคุณภาพเลิศ และน้ำอ้อยแสนอร่อยอีกต่อไป””

ท่านบวชเป็นเณรในพุทธศาสนานิกายเซน เมื่ออายุเพียง 16 ปี ในขณะที่เด็กหนุ่มส่วนใหญ่ได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมกับขบวนการเวียดมินห์เพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศส

ด้วยปณิธานอันแรงกล้า ที่จะทำงานรับใช้พี่น้องร่วมชาติ หลังจากเข้ารับการอุปสมบทที่วัดตื่อฮิ้ว เมืองเว้ ในปี 2492 ติช นัท ฮันห์ หรือพระนัท ฮันห์ ก็เริ่มเดินทางเทศน์สั่งสอนให้กำลังใจผู้คนตั้งแต่เหนือจรดใต้

ในที่สุดกองทัพเวียดมินห์ก็สามารถรบชนะฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟู ฝรั่งเศสจึงตัดสินใจคืนเอกราชให้เวียดนาม แต่เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน ประเทศเวียดนามจึงถูกแบ่งเป็นสองส่วนคือ เวียดนามเหนือเป็นคอมมิวนิสต์ และเวียดนามใต้เป็นประชาธิปไตย ตามสนธิสัญญาเจนีวาปี 2497 นับแต่นั้นชาวเวียดนามต่างก็ลุกขึ้นฆ่าฟันกันเอง

ท่านติช นัท ฮันห์
เครดิตภาพ @vinhnghiemvn.com

ตลอดเวลาที่มีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น ท่านติช นัท ฮันห์เป็นเสมือนเสาหลักแห่งคุณธรรมที่ส่งเสริมให้เวียดนามรวมกันได้อย่างสันติ วัดตื่อฮิ้วที่ท่านจำวัดอยู่จึงเป็นที่หลบภัยของทั้งสองฝ่าย ส่วนโรงเรียนสำหรับเยาวชนเพื่อให้บริการสังคมที่ท่านก่อตั้งก็ได้รับการขนานนามจากสื่อต่างชาติว่าเป็น “”เมล็ดพันธุ์เล็กๆ แห่งสันติภาพ”” นักเรียนกว่า 10,000 คนที่จบจากที่นี่จะเดินทางไปยังท้องถิ่นชนบท เพื่อช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านที่พังทลายเนื่องจากสงคราม

ความพยายามช่วยเหลือชาวเวียดนามให้สามารถใช้ชีวิตอย่างสันติท่ามกลางสงคราม ทำให้ท่านได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จนได้เข้าศึกษาวิชาศาสนาเปรียบเทียบและสอนศาสนธรรมที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในปี 2503 – 2506

ปี 2508 สหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยเหลือเวียดนามใต้อย่างเต็มตัวเพื่อชิงอำนาจจากเวียดนามเหนือ ท่านจึงเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อต่อต้านสงครามครั้งนี้โดยยึดหลักอหิงสา แต่การเห็นใจทั้งสองฝ่ายกลับทำให้ท่านถูกต่อต้านจากรัฐบาลเวียดนามอย่างหนัก และในปี 2509 ขณะที่ท่านเดินสายแสดงปาฐกถาในสหรัฐฯเพื่อเรียกร้องให้ยุติสงคราม ท่านก็ถูกห้ามกลับเข้าประเทศ

อย่างไรก็ตาม เพียง 2 ปีที่ลี้ภัยในฝรั่งเศส ท่านติช นัท ฮันห์ก็จัดตั้ง Unified Buddhist Church เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้อพยพชาวเวียดนามได้สำเร็จ ในปี 2525 ท่านซื้อที่ดินในเมืองบอร์โดและสร้างหมู่บ้านพลัมขึ้นเพื่อเป็นทั้งวัดและศูนย์ปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นชุมชนทางจิตวิญญาณที่ต้อนรับผู้สนใจการพัฒนาจิตทุกเชื้อชาติศาสนาจำนวนหลายพันคนในแต่ละปี

ท่านติช นัท ฮันห์ได้หลอมรวมความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายแบบเซนเข้ากับหลักธรรมในพุทธศาสนาและปรัชญาตะวันตก จนได้วิธีการสอนธรรมะที่มีรูปแบบเฉพาะตัวและเพลิดเพลิน คือสอนโดยใช้ถ้อยคำเรียบง่าย ทว่าเปรียบเปรยลึกซึ้ง เช่น เปรียบมนุษย์ทุกคนเหมือนดอกไม้ที่สามารถเบ่งบานได้ด้วยตัวเอง เปรียบสติที่ไม่ได้ฝึกเหมือนกบตัวน้อยที่กระโดดไปมา ท่านได้สร้างกิจกรรมที่สอดแทรกกุศโลบายให้ผู้ฝึกหมั่นใช้สติในกิจวัตรประจำวันโดยไม่มีลักษณะฝืนใจหรือบังคับ เช่น การสงบนิ่งเมื่อได้ยินเสียงระฆัง การเดินชมสวนและจิบชาอย่างมีสติ รวมถึงการทำสมาธิภาวนาหลากหลายรูปแบบ

ท่านติช นัท ฮันห์
เครดิตภาพ @cafef.vn

เมื่อสงครามเวียดนามยุติลง ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ทราบว่ามารดาและเพื่อนรักของท่านเสียชีวิตแล้ว ข่าวนี้ทำให้ท่านเสียใจมากจนล้มเจ็บ ท่านพยายามเยียวยาตัวเองด้วยการเจริญสติตามลมหายใจ ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับวิธีที่ท่านสอนเหล่าศิษย์ให้ปฏิบัติอยู่เสมอ

“”ลมหายใจจะนำเรากลับมาอยู่กับกาย เมื่อกายกับใจอยู่ที่เดียวกัน เราก็อยู่กับปัจจุบันขณะ การหายใจอย่างมีสติ ทำให้เกิดพลังแห่งสติ เกิดพลังของสมาธิ เมื่อเรามีสติ มีสมาธิ เราจะสามารถสัมผัสสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเราอย่างลึกซึ้ง นำมาซึ่งพลังแห่งปัญญาซึ่งจะเยียวยาให้เราออกจากความโกรธ ความเศร้า ความสับสน มีความมั่นคงในตัวเอง””

อย่างไรก็ดี ใช่แต่เหยื่อเท่านั้นที่ได้รับผลจากสงคราม ผู้ลงมือก็ทุกข์ทรมานไม่ต่างกัน ลูกศิษย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งเคยร่วมรบในสงครามเวียดนามเล่าว่า เขาเคยอบคุกกี้ผสมดินปืน แล้วเอาไปวางตามถนนเพื่อล้างแค้นให้เพื่อนที่ถูกทหารเวียดกงฆ่า ภาพของเด็กที่ท้องไส้ทะลัก ดิ้นทุรนทุรายเพราะกินคุกกี้เหล่านั้นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ทำให้เขาทุกข์ทรมานใจมาตลอด 20 ปี

ท่านติช นัท ฮันห์ บอกกับศิษย์คนนี้ว่า ““วันนั้นเธอฆ่าเด็กไปห้าหกคน แล้ววันนี้เธอจะช่วยชีวิตเด็กสักห้าหกคนได้ไหม…”” เขาจึงตกลงใจช่วยเหลือเด็กๆ และเริ่มต้นชีวิตใหม่

อันที่จริง สงครามคงไม่เกิดขึ้นถ้ามนุษย์ปฏิบัติตามคำสอนของท่านติช นัท ฮันห์ ที่บอกว่า ถ้าเรามองดูตัวเองอย่างลึกซึ้ง เราจะมองเห็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งอื่นๆ เสมอ และเมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เราจะไม่สามารถทำร้ายใครได้เลย

แม้รัฐบาลเวียดนามจะอนุญาตให้ท่านกลับเข้าประเทศได้ตั้งแต่ปี 2548 แต่ปัจจุบันท่านติช นัท ฮันห์ ก็ยังคงพำนักอยู่ที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเขียนหนังสือ สั่งสอนธรรม และเดินทางไปแสดงปาฐกถาช่วยคนทั่วโลกให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมปัจจุบัน

สังคม…ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและเหี้ยมโหดไม่แพ้สังคมในภาวะสงคราม

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  Violet

ภาพ  tudosobreobudismo.blogspot.com, dhammajak.net

Secret Magazine (Thailand)

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.