เบาหวานเป็นได้ในคนทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงวัยยิ่งเป็นง่าย!

ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy)

พยาธิสภาพของหลอดเลือดเล็กๆ ที่ Glomeruli จะทำให้ Nephron ยอมให้ albumin รั่วออกไปกับ filtrate ได้ Proximal tubuleจึงต้องรับภาระในการดูดกลับสารมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิด Renal failure ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 3 ปีนับจากแรกเริ่มมีอาการ

ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy)

หากหลอดเลือดเล็กๆ ที่มาเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณปลายมือปลายเท้าเกิดพยาธิสภาพ ก็จะทำให้เส้นประสาทนั้นไม่สามารถนำความรู้สึกต่อไปได้ เมื่อผู้ป่วยมีแผล ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัว และไม่ดูแลแผลดังกล่าว ประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรค และแล้วแผลก็จะเน่า และนำไปสู่ Amputation ในที่สุด

การดูแลป้องกันโรคเบาหวาน

1.ดูแลสุขภาพตนเองให้ดีโดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหาร

2.ออกกำลังกายอยู่เสมอ ควบคุมปริมาณอาหารประเภทแป้ง น้ำตาลและไขมัน

3.ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ควรตรวจปีละ 2 ครั้ง เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

4.ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่หรือสารเสพติด

5.ถ้าหากสงสัยว่าเป็นโรคเบาหวานควรรีบพบแพทย์ทันที

การควบคุมปริมาณน้ำตาลเพื่อรักษาโรคเบาหวาน

1.การรักษาด้วยการฉีดหรือกินฮอร์โมนอินซูลิน

การรักษาด้วยการฉีดหรือกินฮอร์โมนอินซูลินเพื่อควบคุมอาการของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมให้ไม่เกิดเป็นอันตรายกับตัวผู้ป่วยได้ ซึ่งรักษาด้วยการผู้ป่วยรับประทานหรือทำการฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือดทดแทนฮอร์โมนอินซูลินตามธรรมชาติ เพื่อที่ร่างกายจะได้ทำการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้ ซึ่งการรับประทานหรือการฉีดฮอร์โมนอินซูลินนี้ต้องได้รับการควบคุมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้เอง

นอกจากนั้นแล้วผู้ป่วยยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย การรักษาด้วยวิธีนี้มักจะใช้ทำการรักษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอิซูลินตามธรรมชาติได้เอง หรือจะใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการหนักมากและต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ร่างกายสามารถปรับสมดุลได้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งทำการรักษาด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไป เมื่อร่างกายมีการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินในระดับที่ปกติแล้ว แพทย์จะทำการหยุดการให้ฮอร์โมนอินซูลินและใช้การรักษาวิธีอื่นแทน

2.การรักษาด้วยยา

การรักษาด้วยยาเป็นการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ยาที่ช่วยรักษาระดับปริมาณน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมดุล เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว ถ้ามีปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดสูงอยู่ตลอดเวลา เช่น โรคไต โรคหัวใจ เป็นต้น โดยตัวยาจะมีหน้าที่ในการออกฤทธิ์อยู่ 2 ลักษณะ คือ

2.1 ตัวยาจะทำหน้าที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินให้สามารถทำหน้าที่ในการดูดซึมน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น จึงสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้

2.2 ตัวยาจะทำหน้าที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนให้มีการสร้างฮอร์โมนอินซูลินในปริมาณที่มากขึ้น เมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินที่มากขึ้น ก็จะสามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดได้มากขึ้นตามปริมาณของฮอร์โมนอินซูลินนั่นเอง

ซึ่งปริมาณยาหรือชนิดของยาที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้นั้น จะขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยคำนึงถึงตัวผู้ป่วยเป็นหลัก

3.การรักษาด้วยออกกำลังกาย

โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาในการรักษาเสมอไปเพราะโรคเบาหวานสามารถที่จะรักษาได้ด้วยตัวผู้ป่วยเอง ซึ่งการออกกำลังกาย นับเป็นวิธีที่ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ เพราะการออกกำลังกายจะเป็นลดปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในเลือดให้น้อยลงจนอยู่ในระดับที่ปกติ โดยร่างกายจะทำการดึงน้ำตาลเข้าไปเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการออกกำลัง นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะบริเวณเส้นประสาทส่วนปลายจึงช่วยลดอาการปลายเส้นประสาทชา แต่ว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องเป็นการออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก เช่น การวิ่งเหยาะ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือการทำกิจกรรมภายในบ้าน เป็นต้น

การรักษาโรคเบาหวานจะต้องอาศัยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาซึ่งทั้งนี้ต้องการกำลังใจของผู้สูงอายุ และความร่วมมือจากญาติ พี่น้องหรือผู้ดูแล การใช้ยารักษาจะเริ่มเมื่อผู้ป่วยสูงอายุไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายและการออกกำลังกาย การใช้ยาจึงมีความสำคัญมากต่อชีวิตผู้ป่วยเบาหวานในปัจจุบันซึ่งมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากในอดีต

โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาที่เหมาะสม คือออกฤทธิ์ไม่แรงและหมดฤทธิ์เร็ว เริ่มจากขนาดยาต่ำๆ ก่อน มีวิธีการใช้ยาที่ง่ายและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่ใช้ยาจะต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกายร่วมด้วยเสมอ ผู้ที่จะต้องใช้ยาตลอดชีวิตเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล และอาการของโรคเบาหวานตามเป้าหมายที่กำหนด ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรผู้ป่วยสูงอายุจึงจะอยู่กับโรคเบาหวานและการใช้ยาอย่างมีความสุข

ข้อมูลประกอบจาก: กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.